คืนถิ่น

2160 Words
ห้าปีต่อมา…  สำอางเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเรียบร้อย จึงหันไปมองลูกสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “เสร็จหรือยังลูก” ลลิตาหันไปมองมารดาแล้วถอนหายใจยิ้มๆ ความจริงหล่อนไม่คิดอยากกลับไปยังบ้านเก่า ทว่าเป็นความต้องการของมารดาหล่อนจึงต้องยอมท่าน  “เสร็จแล้วจ้ะแม่” ห้าปีที่ผ่านมากับชีวิตในเมืองใหญ่ ทำให้ความเป็นอยู่ของหล่อนและแม่ดีขึ้นมาก ระหว่างที่ทำงานหญิงสาวมีโอกาสได้เรียนต่อระดับปริญญาตรี ความที่เป็นคนหัวดีทำให้หญิงสาวสามารถเรียนจนจบได้ภายในสามปีครึ่ง และเริ่มทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เมื่อแม่ต้องการกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิด หล่อนจึงต้องยอมตามใจ แม้ลึกๆ นั้นหวั่นว่าจะพบกับเรืองฤทธิ์ คนดีมีน้ำใจที่หล่อนร่วมมือกันทำร้ายจิตใจให้เจ็บช้ำ หญิงสาวยิ้มให้ตนเอง สมแล้วที่ถูกเขาไล่ออกจากงาน เพราะหากเป็นหล่อนเองมาเจอเรื่องแบบนี้ ก็คงจะทนไม่ได้เหมือนกัน “คืนนี้นอนเร็วหน่อยนะลูก เราต้องเดินทางกันอีกหลายชั่วโมง แม่ตื่นเต้นจังเลย” สำอางเอ่ยด้วยสีหน้าดีใจที่จะได้กลับบ้าน ทำให้ท่านเหมือนกับเด็กๆ จนลลิตาต้องหัวเราะออกมาเบาๆ การกลับไปคราวนี้ทั้งหล่อนและแม่ไม่ได้ไปอยู่ที่เดิม ทว่าเช่าห้องอยู่ในเมืองเพราะหญิงสาวได้งานเป็นพนักงานบัญชีอยู่ในห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็คิดเสมอว่าจะต้องซื้อที่ดินผืนเล็กๆ สักผืนเอาไว้ให้แม่ปลูกผักสวนครัวเอาไว้กิน  หญิงสาวล้มตัวลงนอนข้างท่าน ใบหน้าหวานที่งดงามขึ้นกว่าเก่าเพราะความสมบูรณ์ของวัยสาวนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็หวั่นเล็กน้อย ว่าถ้าได้พบเจอเรืองฤทธิ์อีกครั้งโดยบังเอิญจะทำอย่างไร หญิงสาวส่ายหน้า บอกตนเองว่าเรื่องมันผ่านมาแล้ว จบไปตั้งนานแล้ว ฉะนั้นเลิกคิดถึงมัน ดีไม่ดี ป่านนี้เขาคงมีเมียมีลูกไปแล้วด้วยซ้ำไป คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มเศร้า ภาวนาให้เขาพบแต่คนที่ดีและรักเขาจริง ชีวิตครอบครัวพบแต่ความสุขสมหวัง อย่างน้อยก็ทำให้หล่อนสบายใจได้ว่า เขาจะไม่ต้องพบเจอกับความทุกข์ใจเรื่องความรักเหมือนที่ผ่านมา ร่างสูงใหญ่กำยำผลักบานหน้าต่างจนกว้างเต็มบาน ชายหนุ่มหาวหวอดๆ พลางส่ายตามองไปข้างนอก อากาศเช้านี้ค่อยข้างเย็น หมอกลงค่อนข้างหนา ทำให้คนที่สวมแต่กางเกงขาก๊วยเดินกลับเข้าไปข้างใน แล้วหยิบเสื้อยืดออกมาสวมก่อนจะเดินตรงไปที่ครัว จัดการลูบหน้าแปรงฟัน เสร็จแล้วก็เตรียมทำอาหารเช้าง่ายๆ เหมือนอย่างทุกวันก่อนลงสวน  ชีวิตของเขาเป็นแบบนี้มาเนิ่นนาน นานจนบางครั้งยังรู้สึกถึงความเหงา อายุของเขาก็ปาเข้าไปสามสิบเจ็ดแล้ว แต่ยังไม่มีครอบครัว ไม่ใช่ไม่มีคนชอบ แต่สำหรับเขาแล้วยังไม่ใช่ ถ้าต้องฝืนแต่งเพราะความเหงาเพียงอย่างเดียว ขออยู่เป็นโสดจนแห้งตายเสียดีกว่า… บ่ายโมง ชายหนุ่มและลูกจ้างช่วยกันขนส้มโอขึ้นรถบรรทุก จากนั้นไม่นานรถบรรทุกทั้งสองคันก็เคลื่อนตัวออกจากบ้าน ร่างสูงจึงกลับเข้ามาที่ใต้ถุน ตักน้ำในกระติกขึ้นมาดื่ม แล้วเอนตัวนอนยาวไปบนแคร่พลางถอนหายใจเฮือก “ฤทธิ์! ฤทธิ์!”  เสียงเรียกจากใครสักคนที่หน้าบ้านทำให้ชายหนุ่มต้องผงกศีรษะขึ้นมอง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครเขาก็ยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะรกเรื้อด้วยหนวดเคราแต่ไม่ทำให้เขาดูดีน้อยลง  “ว่าไงน้ายุทธ” น้ายุทธเดินยิ้มแป้นมาแต่ไกล ในมือมีถ้วยแกงมาด้วย “ยายน้อยมันแกงปลาช่อนใส่ใบมะขาม เห็นว่าเอ็งชอบก็เลยตักมาแบ่ง” เรืองฤทธิ์ยิ้มกว้างทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น  “ขอบคุณมากครับ กำลังนึกอยากกินอยู่เชียว” เมื่อเขายกถ้วยขึ้นสูดกลิ่น ท้องก็ร้องโครกคราก ทำเอาน้ายุทธถึงกับหัวเราะลั่นพลางเอ่ยถาม “ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มขันตัวเอง “ยังเลยน้า เพิ่งขึ้นส้มโอเสร็จ” น้ายุทธพยักหน้า พลางเอ่ย “งั้นไปกินข้าวกินปลาซะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะไปเสียก่อน” พูดจบก็ลุกขึ้น กำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วเท้าที่กำลังจะก้าวต้องชะงักลงแล้วหันกลับมาหาหลานชาย “เออฤทธิ์ วันก่อนน้าเจอนังสำอางในเมืองแน่ะ” คำบอกเล่าของน้าชายทำให้ชายหนุ่มชะงักลง เขามองอีกฝ่ายพลางนึก แล้วใบหน้าของสำอางพร้อมลูกสาวก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ “น้าสำอางที่เคยทำงานในสวนผมน่ะเหรอ” น้ายุทธพยักหน้าหงึกหงัก “เออ นั่นแหละ ได้คุยกันสองสามคำ บอกว่าย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดเราแล้ว ว่าอยู่ในเมืองนั่นแหละ แต่ยังไม่ทันถามว่าอยู่กันตรงไหน ลูกสาวมันต้องรีบไปทำงานก็เลยลากันแค่นั้น”  เรืองฤทธิ์นิ่งงันไปอีกพักใหญ่หลังจากที่น้ายุทธกลับบ้านไปแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินข่าวคราวของสองแม่ลูกอีก จนกระทั่งวันนี้… ส้มโองวดนี้ให้ผลดกกว่าทุกครั้ง รายได้จึงเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนๆ ประกอบกับได้ราคาดี ทำให้เรืองฤทธิ์ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ วันนี้เป็นอีกวันที่ชายหนุ่มเดินทางมากับรถบรรทุกส้มโอด้วยตนเอง เขาเข้าไปทักทายเพื่อนพ่อค้าแม่ค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี  “ไงฤทธิ์ วันนี้มาเองเลยนะ” พ่อค้าคนกลางร้องทัก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ครับพี่ ว่าจะมาทำธุระในเมืองด้วยสักหน่อย พี่สบายดีนะครับ” “สบายดี  วันนี้ได้เจอฤทธิ์ก็ดีเลย จะได้คุยกัน ส่วนส้มโอวันนี้พี่เหมาหมดเลยนะ เอาไปคราวก่อนขายหมดไม่ทันข้ามวัน คนมารับไปขายอีกต่อหลายราย” เรืองฤทธิ์ยิ้มอย่างยินดี  “ได้สิครับพี่” หลังจากนั้นชายหนุ่มสองวัยก็นั่งคุยกันสัพเพเหระ ก่อนจะตกลงราคาเรียบร้อยจ่ายเงินเสร็จ ชายหนุ่มจึงขับรถกระบะของตนออกมาจากตลาดกลาง ระหว่างทางเขาต้องผ่านตลาดนัดขนาดใหญ่ ที่เรียกว่าตลาดนัดคลองถม จึงหาที่จอดแล้วแวะเข้าไปหาของกินของใช้ ระหว่างที่กำลังเดินดูอยู่นั้น สายตาของชายหนุ่มก็ไปเห็นสำอางเข้าโดยบังเอิญ ร่างสูงหยุดอยู่กับที่ และกวาดตามองร้านเล็กๆ ของสำอางที่เปิดขายขนมหวานสารพัด หน้าร้านติดป้ายว่าถุงละสิบบาท ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนเข้าร้านไม่ขาด เขาซุ่มมองอยู่พักใหญ่ จึงได้เห็นร่างบอบบางใบหน้าอ่อนหวาน ผิวขาวใสก้าวออกมาจากหลังร้าน ผมยาวสลวยมัดเป็นหางม้าเอาไว้ด้านหลัง กำลังช่วยมารดาหยิบจับขนมใส่ถุง ใบหน้ายิ่งงดงามยามยิ้มแย้ม เขายังได้ยินเสียงหวานๆ คุยตอบโต้กับลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อขนม “แม่ค้าน่ารักจังเลย อยากเหมาให้หมด จะได้ไม่ต้องเมื่อยขาแข็ง” หนุ่มหน้าทะเล้นเอ่ยแซว จึงถูกหญิงสาวที่มาด้วยค้อนขวับ “เห็นคนสวยไม่ได้ แซวจัง ระวังเมียจะตามมาแหกอก” หนุ่มหน้าทะเล้นหันไปทำตาค้อน ก่อนบอก “ก็อย่าไปบอกสิวะ ของพี่ห้าถุงจ้า” ลลิตายิ้มขัน พลางหยิบขนมใส่ถุงให้ลูกค้าหนุ่มแล้วรับเงินไปใส่ตะกร้า “ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวยิ้มให้มารดา สำอางยิ้มตอบก่อนหันไปตักขนมใส่ถุงเตรียมขายต่อไป ส่วนหญิงสาวหันไปเรียงขนมที่หน้าร้านให้ดูสวยงาม จนเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกมองจากใครบางคนจึงเงยหน้าขึ้นเตรียมยิ้มหวาน ทว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวหัวใจกระตุกวาบ มือสั่นยืนตัวแข็ง ใบหน้าเรียวหวานเหลอหลาจนดูน่าขบขันในสายตาของเรืองฤทธิ์ แต่ก็ยังไม่ลืมทำความเคารพเขาอย่างเช่นคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี “บัวลอยไข่หวานสี่ถุง” เสียงคุ้นหูทำให้สำอางหันไปมองที่หน้าร้าน แล้วก็ต้องนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนขยับลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดข้างลูกสาว “สวัสดีครับพี่อาง”  สำอางมองคนตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “สวัสดีจ้ะ ฤทธิ์สบายดีหรือ” เอ่ยถามพลางมองไปยังลูกสาวที่หยิบขนมใส่ถุง “สบายดีครับ ตอนแรกที่เห็นคิดว่าไม่ใช่ ก็เลยเดินเข้ามา ดูท่าทางขายดีนะครับ” เขาเอ่ยถาม ทว่าสายตามองที่ลลิตา หญิงสาวส่งถุงขนมให้เขาโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะยังตกใจที่เจอเขาและละอายใจเรื่องที่เคยก่อเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มรับถุงขนมมาจากหญิงสาว เขามองหล่อนนิ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้สำอางพร้อมกับส่งเงินแบงค์ร้อยให้อีกฝ่ายแล้วบอก “ไม่ต้องทอนนะครับ” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ลลิตาเงยหน้าขึ้นมองเขา รู้สึกเหมือนถูกสบประมาท จึงหยิบเงินทอนออกมาหกสิบบาทแล้วส่งให้เขา “ซื้อแค่ไหนก็จ่ายแค่นั้นค่ะ” คราวนี้ไม่มีการหลบตาอีกต่อไป ชายหนุ่มนึกอยากรู้ว่าหล่อนจะจ้องตาเขานานสักแค่ไหนจึงจ้องตากลับ และหล่อนก็ไม่ยอมหลบสายตาของเขาจริงๆ จนกว่าเขาจะรับเงินทอน ทว่าชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้แล้วจึงไม่ยอมรับเงินทอนไป  “ผมกลับก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินหันหลังให้สองแม่ลูก ทำให้หญิงสาวต้องเม้มปากด้วยความไม่พอใจ  “แม่เดี๋ยวหนูมานะ”  “เดี๋ยว! ลูกตาล” หญิงสาวหันไปมองแม่ สำอางหยิบขนมใส่ถุงแล้วส่งให้ลูกพลางบอก “ถ้าเขาไม่ยอมรับเงินทอน หนูก็เอาขนมนี้ให้เขาไปก็แล้วกัน บอกให้รู้ว่าเราจะไม่รับอะไรจากเขาอีก ที่ผ่านมาก็มากพอแล้ว” หญิงสาวมองแม่นิ่ง ก่อนจะยิ้มให้ท่านแล้วหมุนตัวเดินแกมวิ่งตามเขาไปติดๆ ร่างสูงก้าวไปถึงรถกระบะของเขา กำลังจะเปิดประตูเข้าไปแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่เรียกชื่อจากด้านหลัง “คุณฤทธิ์คะ คุณฤทธิ์” เรืองฤทธิ์หันกลับไปมองคนเรียกแล้วต้องชะงัก คิ้วสีเข้มเหนือลูกตาดำใหญ่เลิกสูง รอจนหญิงสาวก้าวมาหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้เธอเรียกว่าอะไรนะ” หญิงสาวนิ่งอึ้ง หลบสายตาลง เมื่อก่อนหล่อนเคยเรียกเขาว่าน้าฤทธิ์ แต่หลังจากถูกเขาไล่ออกจากงานและกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความสัมพันธ์อันดีก็เปลี่ยนไป เกิดความรู้สึกห่างเหินและทำตัวไม่ถูก ความผิดที่เคยก่อทำให้หล่อนไม่กล้าเรียกเขาอย่างสนิทสนมอีก และหล่อนกับเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันเสียด้วย การเรียกเขาว่า ‘คุณ’ คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ “ฉันเอาเงินทอนมาให้คุณฤทธิ์ค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับเงินทอน ฉันขอให้คุณรับขนมถุงนี้ไปแทน” เรืองฤทธิ์มองเงินและขนมในมือของหญิงสาว ก่อนสบตาคู่งามที่มองเขาอย่างรอคอย  “เธอนี่ดื้อจริงๆ” เขาตำหนิซึ่งหน้า ทำให้หญิงสาวหน้าแดงเรื่อ และเรืองฤทธิ์ก็เห็นเต็มตา มันทำให้ใจของเขากระตุก เผลอถอยหลังไปสองก้าว เคยเห็นสาวๆ หน้าแดงให้บ่อยๆ แต่ไม่มีสักคนที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวเหมือนสาวน้อยตรงหน้า ห้าปีที่จากกัน ตอนนั้นหล่อนสิบเก้า ตอนนี้ก็คงจะยี่สิบสี่ เป็นสาวเต็มตัวแล้วจริงๆ แถมยังสวยมากเสียด้วย แล้วแบบนี้หล่อนจะมีแฟนหรือยังนะ… ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ เมื่อนึกได้ว่าเขาคิดบ้าอะไรนอกลู่นอกทาง  “ว่าไงคะ จะรับเงินหรือว่าขนม” ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม เขาไม่รับทั้งเงินและขนม แต่ทิ้งท้ายเพียงว่า “อยากทอนเงิน ก็ตามไปให้ที่บ้านแล้วกันนะ” พูดจบเขาก็ก้าวขึ้นรถแล้วปิดประตูสตาร์ตรถทันที ทิ้งให้หญิงสาวยืนอึ้งอยู่กับที จนกระทั่งไฟท้ายรกระบะของชายหนุ่มห่างออกไปจนลับตา หญิงสาวก้มมองเงินและขนมในมือ ก่อนจะเม้มปากแล้วบ่นอุบ “แล้วใครจะกล้าไป”   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD