17เรื่องมันยังไม่จบ...แต่เพิ่งเริ่ม
@หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป...
“ผู้หญิงคนนั้นกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้วครับ” เสียงของลูกน้องรายงานเจ้านาย
มาร์ตินที่นั่งอ่านเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้น ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งเพราะต้องปรึกษาหารือเรื่องหมั้นกับผู้ใหญ่ อยากให้งานมันออกมาดีที่สุด ให้สมเกียรติของลูกสาวเจ้าสัว ถึงตัวไม่ได้ไปแต่เขาก็ส่งลูกไปคอยดูแลผู้หญิงคนนั้นกับลูกตลอด
“ไปส่งถึงบ้านแล้วใช่ไหม”
“ครับ แต่บ้านของเธอค่อนข้าง..เอ่อ...”
“ค่อนข้างอะไร”
“ค่อนข้างเล็กและก็ทรุดโทรมครับ สภาพไม่เหมาะกับนายน้อยเลยครับ”
“นี่กูต้องทำบ้านใหม่ให้แม่นั่นด้วยใช่ไหม” เวรกรรมจริงๆ หมดเรื่องแรกก็ยังมีเรื่องสองมาอีก สรุปคือเขาต้องสร้างบ้านให้แม่นั่นด้วยหรอ ในเมื่อเธออยากเกิดมาในที่แบบนั้นเองทำไมเขาต้องช่วย แค่เรื่องค่ารักษาก็มากพอละ
“ผมอยากให้นายไปดูครับ สภาพความเป็นอยู่ของผู้หญิงคนนั้นกับลูก...ไม่ค่อยดีเลย”
“วุ่นวายจริงๆ! ต้องให้กูสละเวลาอันมีค่าไปตามผู้หญิงคนนั้นหรอ ตลกละ”
“ถือว่าทำเพื่อนายน้อยนะครับ ผมเห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ข้างบ้านป่ารกทึบขนาดนั้น เผื่อนายน้อยถูกงูกัดขึ้นมาจะทำยังไง”
“นี่มึงโดนแม่นั่นปั่นหัวมาหรอ” มาร์ตินหรี่ตามองลูกน้องคนสนิทอย่างไม่ไว้ใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้
“ผมแค่สงสารเด็กครับ นายเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เกิดมากำพร้าพ่อแม่หรอกครับ ผมเคยเป็นมาก่อน เลยไม่อยากให้ลูกของนายเป็นเหมือนผมตอนเด็กๆ”
มาร์ตินถอนหายใจยาวพรืด กรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย คิดว่าเรื่องมันจะจบแล้วเชียวสรุปมันเพิ่งเริ่มต่างหาก ลูกน้องของเขานี่ก็เหลือเกิน ถ้าเกิดอลิสสาจับได้ขึ้นมาล่ะก็ จะไล่มันออกเป็นคนแรกเลย!
“เออก็ได้! เดี๋ยวกูจะทำบ้านใหม่ให้แม่นั่นกับลูก จบไหม แล้วหลังจากนี้ห้ามเอาเรื่องบ้าๆ พวกนี้มากรอกกหูกูอีกเด็ดขาด ไม่งั้นกูจะไล่มึงอออก!!”
“ครับ” ลูกน้องยิ้มออก ความจริงมาร์ตินเป็นคนจิตใจดี บางครั้งก็ชอบบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบไปบริจาคเงินบ่อยๆ เพราะไม่อยากวุ่นวายกับนักข่าว อยากทำบุญแบบเงียบๆ
คนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองอย่างมาร์ติน พ่อแม่มีให้ทุกอย่าง ถึงล้มก็ล้มบนฟูก ไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกของคนที่เกิดมาแล้วครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบหรอก แต่อย่างน้อยลูกของซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังระดับเอเชียต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่กินอดๆ อยากๆ อดมื้อกินมื้อ รู้ถึงไหนคงอายถึงนั้น พ่อเป็นถึงดารา มีทรัพย์สมบัติหลายหมื่นล้าน ในขณะที่ลูกไม่มีแม้กระทั่งเงินจะซื้อนมกิน
ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน...
“ไปเตรียมรถ!”
“นายจะไปไหนครับ?”
“ก็ไปบ้านหลังนั้นไง กูอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่นั่นไม่ได้ใช้ลูกมาหลอกกูจริงๆ”
เขาจะไปตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายกับแม่นั่นด้วย เพราะจะส่งเด็กเรียนจนจบมหาวิทยาลัย จะเป็นคนจัดการเรื่องโรงเรียนของลูกเอง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับลูก ทุกอย่างเขาจะเป็นคนจัดสรรเอง ส่วนแม่ของลูกก็มีแค่หน้าที่ดูแลลูกให้ดีเท่านั้นและเมื่อไหร่ที่ลูกโตพอ เขาจะไปรับลูกมาอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นเขาคงเลิกทำงานในวงการไปแล้ว
ส่วนเรื่องอลิสสาคงต้องปล่อยไปสักพัก ไม่ได้กะจะปิดบังแฟนสาวอยู่แล้ว แค่รอจังหวะ เพราะถ้าแต่งงานแล้วยังไงอลิสสาก็ขัดไม่ได้อยู่ดี
เขาวางแผนไว้หมดแล้วเหลือแค่รอให้ลูกโต
“บ้านหลังนี้จริงๆ หรอ” มาร์ตินเอ่ยขึ้นหลังขับรถเข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ซึ่งบ้านของผู้หญิงคนนั้นอยู่ท้ายซอย และเป็นหลังเดียวที่โดดเดี่ยวที่สุด หน้าบ้านมีดินโคลนเลอะเต็มไปหมดจนแอบคิดในใจว่าคนในบ้านเดินเข้าไปได้ยังไง “นี่มันรูหนูชัดๆ”
“ผมถึงบอกไงว่าให้มาดูด้วยตา” ลูกน้องจอดรถหลังพุ่มไม้ใหญ่ซึ่งบดบังรถได้ทั้งคัน แต่คนในรถก็ยังไม่ลงไปเพราะรอดูสถานการณ์ก่อน “ถ้านายไม่กล้าลงไปเดี๋ยวผมลงไปให้ก็ได้ครับ เผื่อรองเท้าของนายเปื้อนโคลน”
“แน่นอน กูไม่ลงไปอยู่แล้วเดี๋ยวรองเท้าเปื้อน มึงช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นพาลูกมาหากูที่รถก็แล้วกัน”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หางตาของมาร์ตินก็เหลือบไปเห็นใครบางคนเดินหอบตะกร้าเสื้อผ้าเก่าๆ ออกมาจากบ้าน เขารีบสั่งให้ลูกน้องปิดเครื่องทันที รอดูเชิงว่าผู้หญิงคนนั้นจะไปไหนต่อ เธอเดินไปที่ข้างบ้านซึ่งมีราวตากผ้าทำด้วยเชือกผูกกับต้นไม้
หากประเมินจากสายตา ผู้หญิงคนนี้เป็นคนซ่อนรูปมาก เธออยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง แต่กระนั้นก็ยังคงความเซ็กซี่อยู่ ใบหน้าของเธอค่อนข้างอิดโรยดูไม่มีชีวิตชีวา แถมยังมาตากผ้ากลางแดดจัดแบบนี้อีก
ในขณที่อีกฟาก...เอมิกากำลังลงมือตากเสื้อผ้าให้นิโลบลเพราะรายนั้นเอาแต่ชี้นิ้วสั่ง นานๆ ทีนิโลบลถึงจะกลับบ้าน กลับมาแต่ละทีก็เป็นเธอที่คอยซักเสื้อผ้าให้ แต่ก็บ่นไม่ได้เพราะอาศัยบ้านเขาอยู่ ลูกสาวเจ้าของบ้านใช้ให้ทำอะไรก็ทำ
ออสตินออกจากโรงพยาบาลเมื่อเช้าโดยมีลูกน้องของมาร์ตินเป็นคนขับรถมาส่ง ทั้งๆ ที่ควรจะได้พัก แต่ต้องมากวาดบ้าน ซักผ้าให้คนในบ้านอีก เกิดเป็นเอมิกาต้องสู้ชีวิตขนาดไหน
“จะบอกกูได้หรือยังว่าใครเป็นคนจ่ายค่ารักษาให้ลูกมึง” เสียงของแม่เลี้ยงดังขึ้นจากข้างหลัง เอมิกาวางตะกร้าผ้าลง ยกมือปาดเหงื่อเพราะแดดค่อนข้างร้อน หันหน้ามาเผชิญกับแม่เลี้ยง ตั้งแต่กลับมาหล่อนก็ถามไม่หยุดว่าเธอไปหาเงินมาจากไหน
“นั่นมันเรื่องของอ้อมค่ะ อ้อมบอกไม่ได้”
“เอะอีนี่!” แม่เลี้ยงปาใบเสร็จค่ารักษาของออสตินใส่หน้าเอมิกา “คนอย่างมึงไม่มีปัญญาหาเงินห้าแสนภายในอาทิตย์เดียวหรอก บอกมาว่าใครจ่ายค่ารักษาให้ลูกมึง!”
“อ้อมไม่บอกค่ะ ถึงบอกไปแม่ก็ไม่รู้จักเขาอยู่ดี”
นางศศิตาปรี๊ดแตก กำหมัดแน่นเพราะอิจฉาที่ลูกสาวของตนไม่เคยมีคนจ่ายอะไรให้ขนาดนี้
“มึงมีเสี่ยเลี้ยงใช่ไหม!” หล่อนคว้าข้อมือของลูกเลี้ยง เล็บยาวจิกลงไปจนเลือดซึมหวังให้เอมิกาพูดความจริง
“มีหรือไม่มีมันก็ไม่ใช่เรื่องของแม่ เพราะคนที่จ่ายค่ารักษาให้ลูกอ้อมไม่ใช่แม่!”
“ปีกกล้าขาแข็งนะอีอ้อม มึงคิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงใช่ไหม!” หล่อนดึงร่างของลูกเลี้ยงเข้ามาหมายจะตบ แต่เอมิกาสู้กลับ ผลักร่างของแม่เลี้ยงให้ออกห่างจากตัวจนเกือบล้ม ทำให้นางศศิตาโกรธจนควันออกหู “นี่มึงกล้าผลักกูหรออีอ้อม!!”
“แม่เป็นคนบอกให้ออสตินออกจากบ้านใช่ไหม แม่เป็นคนทำให้ออสตินถูกรถชน!”
“กูแค่ใช้ให้มันออกไปซื้อไข่เฉยๆ แต่มันดันโง่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง!”
“ลูกอ้อมอายุแค่สี่ขวบ แม่กล้าให้เขาออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืนได้ยังไง แม่ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม!!”
“มึงอย่ามาขึ้นเสียงกับกูนะอีอ้อม ไม่อย่างนั้นมึงกับลูกไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่!” หล่อนชี้หน้าด่าเอมิกา ทำให้หญิงสาวเงียบไปเพราะยังไม่มีที่ไป อีกอย่างตอนนี้ลูกของเธอยังนอนติดเตียงอยู่ “ถ้ามึงมีเสี่ยเลี้ยงจริงๆ ก็บอกให้เสี่ยมาใช้หนี้ให้สิ!”
“หนี้ทั้งหมดเกิดมาจากคุณแม่ไปหยิบยืมมาเพื่อส่งลูกสาวเรียน ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากอ้อม เพราะฉะนั้นอ้อมจะไม่ใช้ให้แม้แต่บาทเดียว”
“หน๋อยอีอ้อม! อีเนรคุณ! เลี้ยงเปลืองข้าวสุกทั้งแม่ทั้งลูก!!” ฝ่ามือเรียวกระหน่ำตีลูกเลี้ยงไม่ยั้ง ทั้งจิก ทั้งดึงผม ทั้งตี แต่เอมิกาไม่สู้กลับเพราะกลัวโดนไล่ออกจากบ้าน ทำได้แค่ยกมือบัง เธอโดนแม่เลี้ยงตีจนชินแล้ว “ถ้ามึงไม่ช่วยใช้หนี้ กูจะตีมึงให้ตายเลยคอยดูอี่เนรคุณ!!”
เพี้ยะ!เพี้ยะ!เพี้ยะ!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”