02

2587 Words
“มู่เหอฮวา เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดสร้างเรื่องสร้างราวเสียที ข้าไม่มีเวลามาดูแลเจ้าได้ตลอดหรอกนะ” ฮูหยินสวีจิ่วหรงที่ถูกตามมาแต่เช้า เนื่องจากมู่เหอฮวานางเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด สาวใช้ปลอบนางเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหยุดเสียที แม้นางจะเดินทางมาถึงแล้วก็ยังไม่วายร้องไห้ไม่เลิกรา “ขะ ข้าชื่ออะไรนะ” รมิตาหันไปถามสตรีที่สวมอาภรณ์หรูหราทั้งตัวที่มีอายุวัยกลางคน สตรีวัยกลางคนหรี่ตามองนาง คล้ายจะต่อว่านาง “มู่เหอฮวา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเรียกร้องความสนใจ แต่ที่นี่ไม่มีใครสนใจเจ้าหรอกนะ ท่านลุงฟ่านจวิ้นของเจ้าก็ไม่อยู่ตามใจเจ้า อย่าได้มากเรื่องนัก” ทันทีที่สตรีตรงหน้ากล่าวถึงบุรุษที่ชื่อฟ่านจวิ้น รมิตานอนหงายหลังลงกับพื้นก่อนจะพึมพำในใจถึงคนที่ชื่อฟ่านจวิ้น …ฟ่านจวิ้น มู่เหอฮวา บัดซบ นี่มันนิยายของนาง และฟ่านจวิ้นคือพ่อของพระรองผู้แสนดีในนิยายของนางนี่ ส่วนมู่เหอฮวาคือฮูหยินผู้คลั่งรักพระรองจนหูหนวกตาบอด เป็นตัวละครนางร้ายสายโง่ที่มีไว้ประดับนิยายของเธอ นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกัน ท่าทางที่มู่เหอฮวาหงายหลังนอนลงกับพื้นเป็นท่าทางน่าเกลียดนัก ทั้งยังทำหน้าตาแปลกประหลาด มองจ้องตรงไปบนเพดาน ปากก็พึมพำอะไรก็ไม่รู้ ฮูหยินสวีจิ่วหรงได้แต่มองอย่างขัดเคืองใจ “เจ้าเป็นสาวรับใช้ของนางก็ดูแลเจ้านายตัวเองให้ดี อย่าให้นางก่อเรื่องอีก แล้วเจ้าก็เหมือนกัน มู่เหอฮวา ลุงเจ้าไม่อยู่ ไม่ต้องเรียกร้องความสนใจ เพราะข้าไม่สนใจเจ้า” นางกล่าวก่อนจะสะบัดชายเสื้อจากไป ทิ้งให้รมิตาในร่างมู่เหอฮวานอนตาแข็งค้างคิดเรื่องราววนไปวนมา “คุณหนู คุณหนูท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงท่านนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ส่วนตัวของมู่เหอฮวานามว่าเสี่ยวต้านเอ้อถามเจ้านาย พลางเขย่าที่ต้นขาด้วยความเป็นห่วง รมิตาที่ช็อกค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่คือนิยายของเธอ นี่คือจินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมา นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ด้ายแดงแห่งปรารถนา เป็นเรื่องราวของพระเอกที่เป็นเพียงบัณฑิตยากจน แต่มีความฉลาดเฉลียว ทั้งยังเป็นวิญญูชนสุภาพ นางเขียนให้เขาเป็นยอดบุรุษผู้มีรูปลักษณ์อันหล่อเหลา อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ เขามีนามว่า หลี่ชิงหลง ส่วนนางเอกก็เป็นท่านหญิงน้อยสกุลซ่ง ซ่งจือเจิน เป็นบุตรสาวอันเฉิงกั๋วกง มีพระราชทินนามว่า ซ่งหนี่ว์เซียงจวิน นางเอกนั้นเป็นตัวละครที่มีความสามารถ สุขุม นุ่มลึก สติปัญญาสูงส่ง ทั้งยังมีหน้าตางดงาม แต่ภายในนั้นเป็นสตรีร้ายกาจ หลี่ชิงหลงได้พบกับซ่งจือเจิน สตรีที่ชาติกำเนิดสูงส่ง เย่อหยิ่ง เขาไม่ได้ชื่นชอบนาง เพราะรู้ฐานะของตนเองดีว่าเขานั้นต่ำต้อย ส่วนนางทั้งงดงามสูงส่ง แต่นั่นไม่ใช่กับซ่งจือเจิน นางทั้งหลงใหลในรูปลักษณ์ของพระเอก ทั้งยังชมชอบความฉลาดของเขาที่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม และความร้ายกาจของนาง ตัวละครนางเอกนั้นจะมีความโรคจิตไม่น้อย ชอบปั่นหัวยั่วยวนบุรุษ แสดงตัวว่าเป็นดอกบัวขาวที่แสนบริสุทธิ์ แต่นางกลับเป็นสตรีร้ายกาจคลั่งรักพระเอกไม่ลืมหูลืมตา ส่วนพระรองอย่าง ฟ่านชวี่จิง เขาเองก็เป็นทาสรัก หนึ่งในบุรุษที่นางเอกปั่นหัว และเขาก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในบรรดาบุรุษทั้งหลาย ฟ่านชวี่จิงแม้ไม่หล่อเหลาเทียบเท่า หลี่ชิงหลง แต่เขากลับมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ แม้ชาติกำเนิดจะต่ำต้อยกว่านางเอก แต่ก็ดีกว่าพระเอกหลายเท่าตัว ติดที่ว่าฟ่านชวี่จิงนั้นมีสตรีที่เป็นคู่หมายกันตั้งแต่แรก นางคือ มู่เหอฮวา นางร้ายอันดับสองผู้โง่เขลา และชอบแสดงความหึงหวง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นางเอกไม่เลือกฟ่านชวี่จิง แต่กลับเลือกหลี่ชิงหลงแทน ความรักของพระเอกนางเอกก็เริ่มจากสตรีร้ายกาจคลั่งรัก แต่สุดท้ายเมื่อพระเอกได้รับรู้ปมในใจของนางเอกก็เริ่มหลงรักนางเอก และทั้งคู่ก็ต้องฝ่าฟันเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นเหมือนเคราะห์กรรมด่านรัก นางเอกแบ่งปันประสบการณ์ความชั่วร้ายให้พระเอกได้เรียนรู้ ส่วนพระเอกก็แบ่งปันความดี ความมองโลกในแง่ดีให้นางเอกได้เรียนรู้ ทั้งคู่เปรียบเสมือนหยินหยางที่ผสานกันอย่างลงตัว ส่วนฟ่านชวี่จิงกับมู่เหอฮวานั้น เป็นเสมือนคำสาปรัก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแต่งงานอย่างที่ฟ่านชวี่จิงไม่เต็มใจ นั่นเป็นพล็อตเรื่องราวที่รมิตาได้วางไว้ แต่ตอนนี้ที่เธอคาดคิดว่าทะลุมิติมาอะไรเทือกนั้น เธอกลับไม่รู้ช่วงเวลา ทั้งนิยายของเธอก็ไม่ได้ลงรายละเอียดนางร้ายโง่เง่าอย่างมู่เหอฮวามากนัก ให้ตายเถอะนี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม รมิตาหายใจเข้าออกอย่างช้าจนเริ่มได้สติอีกครั้ง “เจ้าชื่อเสี่ยวต้านเอ้อใช่หรือไม่” สาวรับใช้ตัวร้ายแสนซื่อบื้อของมู่เหอฮวาเป็นตัวละครหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับนิยายเรื่องของรมิตาเป็นอย่างมาก เพราะเสี่ยวต้านเอ้อเป็นคนขี้ขลาด ยามเกิดเรื่องราวใดนางมักจะหนีเอาตัวรอด หรือทำกิริยาตลกจนเป็นที่ขบขันจนเป็นหนึ่งในสีสันที่รมิตาตั้งใจเขียนอย่างมาก “เจ้าค่ะ ข้าน้อยเสี่ยวต้านเอ้อของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ” “แล้วตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่หรือ” “ตอนนี้ท่านอายุสิบห้าหนาวแล้วเจ้าค่ะ” “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ฟ่านชวี่จิงจะกลับมาจวนเมื่อไหร่” “เท่าที่ข้าน้อยทราบ คุณชายใหญ่จะกลับมาสิ้นปีนี้เจ้าค่ะ” “งั้นหรือ” มู่เหอฮวาถอนหายใจ แสดงว่าช่วงเวลานี้คือยังไม่เริ่มต้นนิยายของนางเลย ฟ่านชวี่จิงมีอายุห่างจากมู่เหอฮวาห้าปี เขาจะเดินทางกลับมาในตอนที่อายุครบยี่สิบปี หลังจากทำงานรับราชการสร้างผลงานอยู่ต่างเมือง ท่านลุงฟ่านจวิ้นที่ไปมาหาสู่กับเขาบ่อยครั้งก็ยินดีที่จะให้บุตรชายกลับมาในช่วงเวลานี้ เพราะเขาถึงวัยที่จะต้องแต่งงาน มู่เหอฮวาเองก็ปักปิ่นแล้ว และตามนิยายมู่เหอฮวาไม่ค่อยได้พบฟ่านชวี่จิงบ่อยนัก ยามที่นางเห็นเขาก็พลันหลงรักทันที ตามประสาสตรีที่เติบโตมากับการโดนฝังหัวว่าต้องเป็นฮูหยินของฟ่านชวี่จิง ทำให้นางนั้นฝังใจกับเขามาก ทั้งยังรักเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยความเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงมาในกรอบอันคับแคบ ฮูหยินสวีจิ่วหรงนางก็ไม่เคยจะชื่นชอบมู่เหอฮวา แต่ก็ไม่อาจขัดสามีที่เป็นเหมือนแผ่นฟ้าได้ แต่กว่ามู่เหอฮวากับฟ่านชวี่จิงจะได้แต่งงานกันก็อีกหลายปีหลังจากนี้ รมิตาควรจะทำอย่างไรดีนะ ให้ปล่อยไปตามเนื้อเรื่อง หรือนางควรจะเป็นตัวของตัวเองดี “คุณหนู ท่านอยากรับอาหารเลยไหมเจ้าคะ” เสี่ยวต้านเอ้อถาม มู่เหอฮวาพยักหน้า ก่อนจะไปนั่งรอที่เก้าอี้ตรงโถงห้องนั่งเล่น นางเพิ่งตื่นมาก็พบแต่เรื่องชวนปวดหัว นางคิดถึงการเป็นรมิตา แต่การมาติดแหง็กอยู่ในโลกนิยายคืออะไรกัน แล้วบทบาทของนางควรจะเป็นแบบไหนกันนะ “คุณหนู ท่านไม่ทานอาหารหรือเจ้าคะ” เสี่ยวต้านเอ้อถาม คุณหนูของนางมีอารมณ์ร้าย ยามหิวหากไม่ได้กินก็จะโมโหโกรธเกรี้ยวขว้างปาทำลายข้าวของจนวุ่นวายไปหมด แต่นี่กลับนั่งมองอาหารบนโต๊ะพลางทำหน้าไม่อยากอาหาร “มีแต่ของมันเช่นนี้ข้าจะกินยังไงไหว ต้านเอ้อ” มู่เหอฮวาเบะปาก ไม่น่าเล่า… ร่างกายนี้ของนางถึงได้อ้วนฉุแบบนี้ กินแต่อาหารแบบนี้ ไม่ได้นะ อย่างน้อยถึงพระรองจะไม่รักมู่เหอฮวา แต่จะปล่อยให้อ้วนทำลายสุขภาพไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นไปเรียน ไม่ต้องทำงานหาเงิน มีเวลาเยอะแยะ …ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รมิตาจะสู้ไม่ถอย “ต้านเอ้อเอาอาหารพวกนี้ไปเก็บ ข้าไม่กิน ต่อจากนี้อาหารมันเยิ้มพวกนี้ข้าไม่ต้องการ ข้าจะทำอาหารกินเอง บอกพวกข้ารับใช้โรงครัวด้วย” มู่เหอฮวาเอ่ย ต้านเอ้อรีบเก็บชามอาหารทันที มู่เหอฮวานั่งมองก่อนจะกลับไปกระโดดขึ้นเตียงพลางครุ่นคิดเรื่องราวช่วงเวลาของนิยายตนเอง เธอเพิ่งเขียนไปได้ไม่กี่ตอน แม้พล็อตจะอยู่ในหัว แต่ก็ไม่มีอะไรจะประกันได้เลยว่าจะเกิดทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกหรือไม่ เรื่องราวในนิยายจะเปลี่ยนไปเพราะการมาของนางหรือไม่ หรือนางจะกลายเป็นนางเอกของเรื่อง แต่ดูจากนิสัยส่วนตัว และสภาพตอนนี้ …ใครจะเอาก่อน?! “คุณหนูท่านจะทำอะไรเจ้าคะ” เสี่ยวต้านเอ้อถาม หลังจากที่คุณหนูมู่เหอฮวาแอบพานางหนีออกมาจากจวน มู่เหอฮวาสวมชุดธรรมดาเหมือนข้ารับใช้มีผมมัดกลมเป็นซาลาเปาสองก้อนบนศีรษะ หน้าตาของนางกลมเกลี้ยงเป็นลูกซาลาเปา “ถามแปลกๆ ข้าก็พาเจ้าหนีเที่ยวน่ะสิ” “แล้วท่านจะหนีออกมาทำไมเจ้าค่ะ แค่ขอฮูหยินออกมา ท่านก็ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว” เสี่ยวต้านเอ้อกล่าว มู่เหอฮวาส่ายหน้า นางรู้ดีว่าว่าที่แม่สามีไม่ชอบนาง แล้วจะโผล่หน้าไปให้โดนค่อนขอดทำไม ยิ่งนิสัยไม่ยอมคนแบบนี้ของนางเองก็ไม่อยากจะเข้าไปสร้างเรื่องราวให้วุ่นวายนักหรอก “ข้าอยากไปร้านหนังสือ” “ท่านจะซื้ออะไรเจ้าคะ” “ข้าอยากได้เอ่อ… เจี้ยจวงฮวา เจิ่นเปียนซู ซุนกงฮวา ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกอะไร แต่ข้าอยากได้ตำราพวกนั้น” มู่เหอฮวากล่าวพลางทำใบหน้ามีความสุข “สมุดอะไรหรือเจ้าคะ” “บักห่ามึงเอ๊ยยย เอ่ออ…ไม่มีอะไรหรอก เจ้าพาข้าไปร้านหนังสือหน่อยสิ แล้วเลิกเรียกข้าว่าคุณหนูนะ ข้าชื่อเสี่ยวเตี๋ยเข้าใจหรือไม่" “เจ้าค่ะคุณหนู” “เอ๊ะ” “เจ้าค่ะ เสี่ยวเตี๋ย” “ไม่มีเจ้าค่ะ” “เจ้าค่ะ” “ถ้าเจ้าพูดผิดอีกแค่ครั้งเดียว ข้าจะจับไปโยนในบ่ออสรพิษ” มู่เหอฮวากล่าวด้วยความปวดหัว ใครใช้ให้นางวางคาแร็คเตอร์ตัวละครซื่อบื้อไร้สติแบบนี้ออกมากัน ทุกครั้งที่แผนการของมู่เหอฮวาพังพินาศก็เพราะเสี่ยวต้านเอ้อนี่แหละที่ทำพัง เจ้านายไม่ฉลาดอยู่แล้ว ลูกน้องยังซื่อบื้ออีก ปวดหัว ฮือออ “อืม เสี่ยวเตี๋ย” “ดีมาก ไปเร็ว” ร้านหนังสือเปี่ยวเหลียว ร้านหนังสือราคาถูก แต่ไม่ค่อยมีคนมากนักมาซื้อหากัน เพราะมีร้านหนังสือร้านอื่นที่ดีกว่านี้ แต่เสี่ยวต้านเอ้อกลับพามาที่นี่ และมู่เหอฮวาเองก็ถูกใจนักที่ที่นี่ไม่ค่อยมีคน นางอยากรู้เรื่องราวของสื่อลามกในยุคโบราณอยู่แล้ว ไหนๆ ก็มีโอกาสได้มาล่ะ ขอดูให้เป็นบุญตาซะหน่อย ว่าโลกนิยายของนางจะบรรจุของพวกนี้ไว้หรือไม่ “แม่หนูสองคนมาทำอะไรกัน จะหาหนังสือเล่มใด เดี๋ยวข้าช่วยหา” ท่านลุงเจ้าของร้านเอ่ยอย่างใจดี “ข้าอยากได้เจี้ยจวงฮวา เจิ่นเปียนซู ซุนกงฮวาเจ้าค่ะ” มู่เหอฮวากล่าวความต้องการของตนเองอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่มีอะไรน่าอายสำหรับคนที่เคยยืนเลือกโดจินชิอย่างหน้าตาเฉยในชุดนักเรียนมัธยมต้นหรอก แต่ทว่า… นางก็ลืมไปว่านี่เป็นยุคโบราณ อีกอย่างนางกับเสี่ยวต้านเอ้อนั้นยังเยาว์วัยมากนัก “เพ้ย… เจ้าเด็กลามกพวกนี้ ไม่อายฟ้าไม่อายดิน เป็นสตรีไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว พ่อแม่เจ้านายเจ้าไม่สั่งสอนหรือว่าอะไรเป็นอะไร” ตาแก่ตรงหน้าบ่น มู่เหอฮวาควันออกหู “แล้วจะขายไหมฮะ จะขายหรือไม่ จะเอาไหมเงิน ไม่ได้มาขอสักหน่อย มาซื้อ มีเงิน และรวยมากด้วย" มู่เหอฮวาเท้าเอวเถียงไม่เกรงกลัว นางเป็นลูกค้าเอาเงินมาประเคนให้ ไม่รับแถมยังปากมอมเช่นนี้อีก มิน่าเล่า ร้านมันถึงไม่มีคนเลย “แล้วข้ารับใช้เช่นพวกเจ้ามีเงินหรือ” ตาลุงตรงหน้าถามกล้อมแกล้ม มู่เหอฮวาจึงได้รู้สึกตัวว่านางเป็นข้ารับใช้ตัวน้อย จะเอาเงินทองที่ไหนมาซื้อ สภาพเช่นนี้ใครจะอยากขายกัน “เจ้านายของข้าจะซื้อให้คุณหนูของข้าตอนออกเรือน อย่าถามมาก ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” “ได้ๆ เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้ เจ้าก็เลือกๆ เอา” ตาลุงบอกก่อนจะเดินเข้าไปหยิบหนังสือที่ไม่อาจวางให้ผู้ใดเชยชมได้หลังร้าน มู่เหอฮวาเลือกมั่วซั่วมาก่อนที่จะจ่ายเงินแล้วหีบห่อแอบกลับจวนสกุลฟ่านไป “คุณหนู ขอข้าน้อยดูหนังสือบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ” “เอาไปสิ” “ว๊ายยย" เสี่ยวต้านเอ้อที่หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งเห็นภาพบุรุษกำลังทำการอันมิควรต่อสตรีก็พลันมือไม้อ่อน หงายหลังล้มลง มู่เหอฮวาหรี่ตามองเสี่ยวต้านเอ้อที่แสนจะบริสุทธิ์ไร้โลกีย์ที่ตกใจจนมือไม้แข็งขาอ่อนจนหงายหลังขนาดนั้น “อย่าให้มันมากนัก เสี่ยวต้านเอ้อ แค่ภาพเอง ถ้าเห็นของจริงแล้วจะเป็นลมก็ค่อยว่าไปอย่าง อิ้อิ้” มู่เหอฮวากล่าวติดตลก แต่เสี่ยวต้านเอ้อนั้นแทบไม่อยากจะตลกด้วย หากฮูหยินรู้เข้าว่านางกับคุณหนูแอบออกไปนอกจวนเพื่อซื้อหาตำราพวกนี้มา มีหวังโดนลงโทษโบยอย่างหนักแน่ “ฮือออ คุณหนู ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ หากฮูหยินทราบพวกเราจะทำยังไง” “เสี่ยวต้านเอ้อ ถ้าเจ้าไม่พูดข้าไม่พูด หมาที่ไหนมันจะรู้ฮะ” “หมาที่เรือนใหญ่ไงเจ้าคะ อุ๊ยยย ไม่ใช่ ฮูหยินไงเจ้าคะ” “ถ้าฮูหยินรู้ก็มีแค่เจ้านั่นแหละที่ทรยศข้า ข้าไม่มีทางโดนโบย มีแต่เจ้านั่นแหละที่จะโดน เพราะฉะนั้นเงียบปากไว้” มู่เหอฮวากล่าว ตามนิยายก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มู่เหอฮวาสร้างเรื่องราววุ่นวาย แต่ก็ได้บารมีท่านลุงฟ่านจวิ้นคุ้มกะลาหัวมาโดยตลอด พระรองเคยผลักมู่เหอฮวาจนล้มคว่ำคะมำหงายตีลังกาไปหลายตลบยังถูกฟ่านจวิ้นสั่งลงโทษคุกเข่าต่อหน้าป้ายบรรพชนเป็นเวลาถึงหนึ่งคืนด้วยซ้ำ นี่มันลูกสะใภ้เทวดาชัดๆ “ชะ เช่นนั้นข้าน้อยขออ่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” “เอ้า แล้วไหนเมื่อกี้ตกใจแข็งขาอ่อนไง” “ข้าน้อยอยากรู้เจ้าค่ะ ว่าสตรีกับบุรุษเขาทำกันอย่างไร” มู่เหอฮวาพอเห็นสีหน้าสอดรู้สอดเห็นของเสี่ยวต้านเอ้อก็นึกขำ สตรียุคโบราณไม่ว่านายบ่าว แต่ละคนก็ต่างอยู่แต่ในพื้นที่แค่นี้ หูตาไม่กว้างไกล ไม่มีอินเทอร์เน็ตไม่มีใครกินตับกันให้ได้พบเห็น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนอยากจะรู้ และมู่เหอฮวานั้นก็ใจกว้างพอจึงได้พยักหน้าเชิงอนุญาต เสี่ยวต้านเอ้อยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะแอบนั่งอ่านกันคนละมุม เล่มแล้วเล่มเล่า….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD