แม้ไม่มั่นใจว่าจะเจอชายหนุ่มอีกครั้งเมื่อไร หากนาเดียก็เชื่อว่าเขาจะมาพบเธอในเมื่อบอกให้เธอกลับไปคิด หญิงสาวต้องการความมั่นใจเพื่อการตัดสินใจ และอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิ์บังคับหากเธอเลือกที่จะไม่ร่วมมือกับเขา
วันต่อมาพวกเธอมีถ่ายแจ๊กเก็ตอัลบัมที่สถานที่แห่งหนึ่งต้องตื่นออกไปจากที่พักแต่เช้าตรู่ พวกเธอจึงไม่ได้ทานอาหารเช้าที่โรงแรม นาเดียเก็บความคิดว้าวุ่นไว้ในใจเพียงคนเดียว เธอยังไม่กล้าบอกเล่าสิ่งที่ได้รับรู้กับใครด้วยยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วตนเองควรเสี่ยงกับชายแปลกหน้าหรือไม่
กว่างานจะเสร็จก็เลยเช้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมง พวกเธอจึงต่างก็ตื่นสายในวันพักผ่อนที่ได้อีกหนึ่งวัน แล้วต่างก็ลงมากินข้าวเช้าช้า นาเดียกวาดตามองรอบห้องอาหาร เธอมาเวลาไล่เลี่ยกับเมื่อวันก่อนด้วยความคาดหวังว่าจะเจอผู้ชายคนนั้น ทว่ากลับไร้วี่แววเจ้าของร่างสูงใหญ่ หญิงสาวได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวัง
หรือเพราะเขามาเมื่อวานแต่ไม่เจอเธอ วันนี้ก็เลยไม่มาแล้ว
“ไม่อร่อยเหรอ”
ซูจินถามเธออย่างแปลกใจ เพราะอาหารเช้าที่นาเดียกินมักจะเดิมๆ คือขนมปังปิ้ง ซุป กาแฟอ่อนๆ แต่กลับเล็มทีละนิดราวไม่อยากกิน
“เปล่า แค่ยังง่วงอยู่น่ะ”
เธอตอบก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ แล้วร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏเข้ามาในครรลองสายตา นาเดียหยุดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะวางแก้ว แล้วกินอาหารตรงหน้าต่อช้าๆ อย่างราบรื่นไม่สะดุด แต่สายตามองหาพี่โคดี้ที่อยู่เฝ้าเธอวันนั้น และไม่เห็นอีกฝ่ายในห้องอาหาร
นาเดียไม่ได้มองไปยังมุมที่ชายหนุ่มนั่งกระทั่งกินอาหารเช้าจนเสร็จ โดยตั้งใจให้เร็วกว่าซูจินและเพื่อนร่วมวงคนอื่น
“ฉันขึ้นห้องก่อนนะ อยากเข้าห้องน้ำน่ะ”
เธอกระซิบบอกเพื่อนแล้วลุกขึ้นทันที ขณะเดียวกันก็จงใจหันไปทางเจ้าของร่างสูงใหญ่เพื่อหาจังหวะสบตาเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับไปมองมาทางเธอ นาเดียจึงได้แต่ขมวดคิ้ว
“มีอะไร ไม่รีบกลับไปเข้าห้องน้ำเหรอ”
คนที่กังวลว่าจะไม่สามารถส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มได้รู้สึกตัว หันไปมองก็เห็นซูจินกับคนอื่นๆ กำลังมองด้วยสายตาฉงน
“อ้อ แค่ปวดท้องแรงขึ้นมาเลยยังไม่อยากเดิน”
เธอแก้ตัวพร้อมยิ้มแหยทำเอาซูจินถึงกับขำ
“ค่อยๆ เดินไปแล้วกันนะ”
อีกฝ่ายบอกนาเดียจึงพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยความเขินที่หาคำแก้ตัวที่ทำให้ตนเองต้องอาย แล้วก็อดเหลือบมองไปยังคนที่ต้องการให้เขามองเธออีกครั้งไม่ได้ คราวนี้ดวงตาคู่คมราวเหยี่ยวจับจ้องมาทางเธอแล้ว นาเดียจึงมองตอบเขาชั่วแวบแล้วพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบมองไม่ออก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอาหาร
มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมที่ใส่กระดาษโน้ตเล็กๆ เอาไว้ ได้แต่หวังให้ผู้ชายคนนั้นจะเข้าใจแล้วตามเธอมา
สาวร่างเล็กวนเวียนอยู่หน้าลิฟต์อย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะมีเพื่อนร่วมวงหรือทีมงานคนอื่นเห็นเข้า หลังจากยืนลังเลชะเง้อมองอยู่เกือบสิบห้านาทีนาเดียก็ถอนหายใจหงุดหงิด กดลิฟต์ด้วยความโมโห เธอรอนานกว่านี้ไม่ได้เพราะซูจินกับคนอื่นน่าจะใกล้กลับห้องแล้ว
“เขาไม่เข้าใจหรือไงนะ”
หญิงสาวกัดริมฝีปาก เมื่อลิฟต์มาถึงก็จำต้องก้าวเข้าไปหลังจากมีคนออกมา ในลิฟต์มีเธอเพียงคนเดียวนาเดียจึงบ่นอีกครั้ง
“ไหนบอกให้ฉันมาคิดดูไง ทำไมไม่มาเอาคำตอบล่ะ”
ขณะกำลังขัดใจผู้ชายที่ไม่รู้จักคนนั้นประตูลิฟต์ก็กำลังจะปิด นาเดียไม่ได้สนใจแต่เพราะประตูเปิดขึ้นอีกครั้งเธอจึงหันไปมองเพื่อจะขยับตัวหลบ แต่แล้วร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาพร้อมตาคู่คมลึกที่ได้สบกันพอดีทำให้หญิงสาวลมหายใจสะดุด มือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากำกระดาษแน่น แต่กลับก้มหน้าลงอย่างทำตัวไม่ถูก
“นึกว่าคุณให้ผมตามมาฟังคำตอบเสียอีก”
นาเดียเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายหลังเสียงทุ้มเข้มเอ่ย ขณะที่ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้ๆ ยกแขนขึ้นผ่านหน้าทำเอาเธอถึงตกใจรีบถอยหลัง แล้วก็เห็นเขายื่นมือไปกดลิฟต์ ทว่าก็เหลือบตาคมกลับมามองเธอนิ่งอีกครั้ง
“เอ่อ...คือ...”
“ผมคิดว่าเราคงมีเวลาในลิฟต์แค่ไม่เกินหนึ่งนาที”
ชายหนุ่มเร่งเสียงเย็นชาทำเอาคนฟังชักสีหน้า นึกเคืองอีกฝ่ายไม่น้อยที่เขาตามมาช้า ทั้งยังมาใช้ท่าทางไม่แคร์โลกกับเธออีก แต่ก็เห็นด้วยเขาว่าพูดถูกจึงรีบเอ่ยสิ่งที่เขียนในกระดาษแทน ตอนแรกที่เขียนเพราะคิดว่าเขาอาจจะมาพบเธอตอนตักอาหารเหมือนวันก่อน
“ฉันจะไม่ถามว่าคุณเป็นใครแล้วก็จะช่วยฉันยังไง แต่อยากให้คุณรับปากว่าถ้าฉันตกลง เพื่อนของฉันจะปลอดภัยด้วย”
“อยากให้ผมช่วยเพื่อนคุณด้วย?”
“เราเป็นเหมือนครอบครัว”
ชายหนุ่มเงียบทว่าตาคมยังสบกับเธอ สีน้ำตาลเข้มล้ำลึกในนั้นให้ความรู้สึกราวดึงดูดใจจนน่าหวาดหวั่น นาเดียนึกอยากหลบสายตาเขาอย่างบอกไม่ถูก
“มันอยู่ที่ว่าเพื่อนคุณมีเอี่ยวแค่ไหน”
“หมายถึงอะไร”
นาเดียถามอย่างสงสัย
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“เรามาทำงาน แต่ว่า...”
เสียงลิฟต์ดังขึ้น บ่งบอกว่ามาถึงชั้นที่เป็นจุดหมายแล้ว ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้เธออย่างกะทันหัน มือข้างหนึ่งวางแนบผนังลิฟต์ใกล้หัวของเธอพร้อมกับใบหน้าคมเข้มที่มีไรหนวดเคราที่ไม่ได้โกนโน้มลงมาหา มือหนาข้างที่เหลือยื่นมาใกล้
หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ยกมือขึ้นผลักอกกว้างออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ชายหนุ่มสอดบางอย่างลงในกระเป๋าเสื้อคลุมของเธอ ก่อนร่างสูงใหญ่จะแสร้งผงะออกตามแรงผลัก จมูกคมเฉียดแก้มใสเล็กน้อยทำเอาดวงหน้าเล็กร้อนวูบวาบ เธอมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจพร้อมเอ่ยเสียงดุ
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
ปลายหางตานาเดียเห็นว่าคนที่อยู่ด้านนอกเป็นทีมงานของเธอเพราะมาถึงชั้นที่เธอพักแล้ว หญิงสาวจึงรีบต่อว่าเขาซ้ำ
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
เธอผลักเขาซ้ำอีกก่อนจะรีบออกไปด้านนอกโดยดึงพี่ทีมงานผู้หญิงสองคนให้มาสนใจตัวเอง
“พี่ๆ ช่วยฉันด้วยค่ะ”
“เขาทำอะไรหรือเปล่า”
คนอยู่ในลิฟต์กดลิฟต์ปิดในทันทีทำให้พวกเขาไม่สามารถมองหน้าได้ถนัดนัก
“พวกตื๊อน่ะค่ะ ทั้งที่บอกปัดไปแล้วก็ยังตามมาอยู่ได้”
“ซาแซง [1] หรือเปล่า”
ทีมงานคนหนึ่งถาม
“ไม่น่าใช่ ชาวต่างชาติน่ะ เขาคงไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร”
นาเดียตอบโดยแสดงสีหน้าไม่สบายใจ
วงของพวกเธอยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ชาวต่างชาติที่ติดตามเคป๊อปกลุ่มใหญ่ก็ยังไม่รู้จักพวกเธอ มีเพียงแฟนส่วนน้อยเท่านั้น ทว่าที่มีโอกาสจัดงานมีตเล็กๆ ที่นี่เพราะซีอีโอของพวกเธอหาลู่ทางได้ ซึ่งนาเดียมาเดาได้ในตอนนี้ว่าคงเพราะสิ่งที่พวกเขาบังคับให้เธอกับเพื่อนทำนั่นเอง
“เสียดายเห็นหน้าไม่ชัด จะได้ให้การ์ดกับทีมงานช่วยระวังให้”
ทีมงานอีกคนบอกก่อนจะถามเธอ
“แล้วทำไมมาคนเดียว ซูจินกับคนอื่นล่ะ ถึงเป็นในโรงแรมบางทีซาแซงก็ตามเข้ามาได้นะ”
“ฉันปวดท้องก็เลยกลับขึ้นมาก่อนน่ะค่ะ”
“อ้าว ปวดท้อง? ไม่สบายเหรอ เอายาไหม”
ทีมงานถามอย่างเป็นห่วงและต่างก็รีบเข้ามาพยุงเธอทั้งคู่
“ไม่เป็นไรมาก แค่อยากเข้าห้องน้ำ”
นาเดียแสร้งทำเสียงอ่อย
“พี่ๆ จะไปกินข้าวใช่ไหม รีบไปเถอะค่ะ ห้องฉันอยู่แค่นี้เอง”
หญิงสาวยิ้มแหยพร้อมกับพยักหน้าถี่ๆ ขณะที่ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างตัดสินใจไม่ได้เธอจึงรีบย้ำ
“ผู้ชายคนนั้นก็คงไปชั้นของเขาแล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ”
ในที่สุดทีมงานก็ยอมลงลิฟต์ไปขณะที่นาเดียหันหลังรีบเดินไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อเข้ามาในห้องก็รีบล้วงสิ่งที่เขาสอดใส่กระเป๋าเสื้อคลุมออกมาดู
นามบัตรของร้านซ่อมรถ!
นาเดียเหวอไปชั่วขณะกับสิ่งที่เห็น ผู้ชายคนนั้นล้อเธอเล่นหรืออย่างไร อยู่ๆ เขาก็เข้ามาให้ความหวังว่าจะช่วยเธอได้ แต่แล้วก็ดับฝันเธอลงในพริบตา มือบางกำนามบัตรนั้นแน่นด้วยความโมโห
ทำไมเขาต้องมาหลอกเธอด้วย!
หรือว่า...ผู้ชายคนนั้นจะเป็นซาแซงจริงๆ เขาตามเธอแล้วก็หาโอกาสเข้าใกล้เธอในคืนนั้น พอเห็นว่าเธอพยายามจะหนีจากผู้จัดการก็แสร้งบอกว่าจะช่วย แถมยังตามมาพักโรงแรมเดียวกันอีกด้วย
คิดแล้วนาเดียก็ยิ่งสับสน คิดไม่ตกว่าคำพูดของชายแปลกหน้าคนนั้นเชื่อถือได้หรือไม่?
“อีกสองวันเตรียมตัวไปพบแขกวีไอพี”
ผู้จัดการเอ่ยขึ้นหลังจากถ่ายมิวสิกวิดีโออย่างมาราธอนมาสองวันสองคืนขณะพวกเธอเตรียมตัวกลับโรงแรม โดยเขาให้พี่ๆ โคดี้ออกไปรอที่รถก่อน
นาเดียกับเพื่อนร่วมวงต่างก็เหลือบมองตากันทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา ส่วนเธอได้แต่กำมือแน่นแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผู้จัดการจึงให้คนอื่นๆ ไปขึ้นรถส่วนเขารอเธอ หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ไว้ใจเพราะเธออาจคิดจะหนีอีก
“ครับ ผมจะดูแลให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก”
หลังออกมาจากห้องน้ำหญิง นาเดียก็ชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำพูดเบาๆ ของผู้จัดการ เขาน่าจะรออยู่ไม่ไกลจากทางเดินมาห้องน้ำนัก หญิงสาวค่อยๆ สืบเท้าให้เบาที่สุด
“เธอคงไม่กล้าหนีหรือทำอะไรอีกแล้วล่ะครับ”
ประโยคนี้นาเดียรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงเธอ
“ครับ ยังไงผมจะดูให้เธอไม่ก่อปัญหาให้รู้ไปถึงหูนายใหญ่ที่จะเข้ามาตรวจความเรียบร้อยวันนั้น”
คำว่า ‘นายใหญ่’ ที่ได้ยินทำให้นาเดียขมวดคิ้ว แต่จะเป็นใครเธอก็คงไม่รู้จัก ร่างเล็กถอยกลับให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ เมื่อได้ระยะแล้วจึงเดินแบบปกติจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินเสียง กระทั่งมาถึงทางแยกแล้วก็เห็นว่าผู้จัดการกดโทรศัพท์ปิดพอดี
“กลับไปพักผ่อนให้เยอะๆ ล่ะ หน้าตาผิวพรรณจะได้สดใส แล้วก็วันนั้นห้ามก่อนเรื่องเด็ดขาด”
เขาสั่งแล้วพยักพเยิดให้เธอเดินก่อนนาเดียจึงก้าวนำไป ไม่อยากทำตัวมีปัญหา เวลานี้เธอค่อนข้างง่วงมากเพราะยังเป็นเช้าตรู่ แถมแทบจะไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว เธอกับเพื่อนอาศัยงีบแค่ช่วงสั้นๆ ระหว่างเซตฉากและเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าเพียงเท่านั้น
กระนั้นนาเดียก็ยังบอกตัวเองในใจว่า เธอไม่อยากไปรับรองแขกในอีกสองวันข้างหน้า
นามบัตรร้านซ่อมรถที่เธอขยำยังอยู่ในกระเป๋าสะพาย แปลกนักที่นาเดียตัดสินใจทิ้งไม่ลง และเวลานี้เธอก็คิดถึงมันขึ้นมา
[1] ซาแซง เป็นคำเรียกสั้นๆ จากคำว่า ซาแซงแฟน ในภาษาเกาหลีหมายถึง ผู้ที่ชื่นชอบศิลปินจนตามติดชีวิตส่วนตัวมากเกินความพอดี โดยพยายามใกล้ชิดศิลปินจนถึงขั้นรุกล้ำความเป็นส่วนตัว
======