“ท่านพ่อ” บัณฑิตหนุ่มรูปงามขวัญใจนางข้าหลวงน้อยใหญ่ในวังนามว่าหงอู๋ซื่อ ทักทายบิดาบุญธรรมที่เจอกันระหว่างทาง “ฝ่าบาทเรียกพบหรือขอรับ”
“ใช่ เจ้าจะกลับบ้านหรือยัง กลับพร้อมกันไหม” เฟิ่งเจิงจงชวนชายหนุ่มที่ตนนำมาอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่อายุสิบขวบ เพราะพ่อของเขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทได้ป่วยตายเพราะโรคในช่องท้อง
“ยังหรอกท่านพ่อ ข้าต้องไปพบองค์หญิงแปดก่อนขอรับ”
“พระองค์ต้องการพบเจ้าเรื่องอะไร”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไปพบพระองค์ก่อนนะขอรับ” หงอู๋ซื่อโค้งกายให้บิดาบุญธรรม
“เสร็จเรื่องแล้วรีบกลับบ้านนะ เพราะเย็นนี้ข้าตั้งใจจะพาแม่กับน้องสาวเจ้าไปกินข้าวที่ร้านเถ้าแก่เต้าด้วยกัน”
“ขอรับ ท่านพ่อจะให้ข้าไปจองโต๊ะไว้ก่อนหรือไม่ขอรับ” ร้านอาหารของเถ้าแก่เต้าขึ้นชื่อลือชาเรื่องความอร่อยและมีคุณภาพ แต่ราคาอาหารนั้นถูกแสนถูก แถมการบริการยังดีเลิศไร้ที่ติ ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ จึงทำให้ร้านอาหารของเขาได้รับความนิยมจากลูกค้าทุกระดับจนแน่นร้านทุกวัน
ที่สำคัญที่สุด ร้านนี้คือร้านโปรดของน้องสาวเขานั่นเอง บิดาคงเห็นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน นางเอาแต่เก็บตัวอยู่กับบ้านเสียส่วนใหญ่ วันนี้จึงถือโอกาสพาเธอไปเปิดหูเปิดตา เพื่อลบคำนินทาที่หนาหูขึ้นทุกวันกระมัง
“เรื่องนั้นข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านมาก็พอ เพราะร้านเถ้าแก่เต้าไม่ใช่อยู่ใกล้ๆ”
“ขอรับ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามข้าถึงบ้านแน่ขอรับ ข้าไปก่อนนะท่านพ่อ” เขาโค้งกายอีกครั้งแล้วเดินแยกย้ายจากไป
ณ วัดแห่งหนึ่งแถวศาลเจ้าไต้กง
หลี่จูงมือคุณหนูเข้าไปในวัดด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งขึ้นกว่าทุกวันในรอบห้าเดือน เพราะต่อไปนี้นางไม่มีอะไรให้ระแวงสงสัยอีกแล้ว นางจะเชื่อทุกอย่างที่สวรรค์ลิขิตมา ถึงแม้มันจะพิลึกพิลั่นจนไม่น่าเชื่อก็ตาม
“เราควรจะรีบกลับกันได้แล้วนะหลี่ ข้าไม่อยากถึงจวนหลังท่านพ่อ ข้าไม่อยากฟังท่านพ่อบ่น”
“ไม่นานหรอกเจ้าค่ะคุณหนู ข้าอยากพาคุณหนูไปไหว้พระขอพรเท่านั้น ชีวิตของคุณหนูจะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ อย่างไรเล่า”
“เจ้าหมายความว่าที่ผ่านมาชีวิตของข้าย่ำแย่มากอย่างนั้นหรือ”
“เปล่านะเจ้าคะ” สาวใช้แสนซื่อโบกมือพัลวัน “ข้าคิดว่าแค่สองปีเท่านั้นที่คุณหนูดวงตก” ครั้นเห็นสายตาที่ปรามมาของนาง คางที่เชิดในตอนแรกก็พับลงจรดกับหน้าอก “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”
“เราสัญญากันเมื่อกี้นี้เองไม่ใช่เหรอ ว่าต่อไปนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว”
“เจ้าค่ะ ต่อไปนี้ข้าจะมองแต่อนาคต ท่านคือคุณหนูเฟิ่งต้าชวี่ ส่วนข้าคือสาวใช้หลี่ผู้ซื่อสัตย์” แล้วสาวใช้หลี่ผู้ซื่อสัตย์ก็จีบนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าด้วยกันก่อนจะรูดไปตามเรียวปาก เลียนแบบที่เจ้านายทำก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน ว่าให้ตนปิดปากให้สนิทเรื่องที่นางข้ามภพมาสิงอยู่ในร่างนี้ ซึ่งเป็นร่างของนางในภพชาตินี้ ความลับเรื่องนี้จะต้องตายไปพร้อมกับนางตามสัญญา
“ดีมาก” เฟิ่งต้าชวี่ลูบศีรษะของสาวใช้ด้วยความเอ็นดู ยิ่งนับวันก็ยิ่งรักและผูกพันกับนาง “เข้าไปไหว้พระกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไมคนเยอะจัง” นางมองไปที่บริเวณทางขึ้นศาลาไม้ทรงโบราณที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ยถาม
“คนทรงแนะนำข้าว่าให้มาสวดมนต์ขอพรที่วัดนี้ เพราะวัดนี้มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ข้าก็เลยอยากพาท่านมาเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าคนจะเยอะขนาดนี้ แต่ข้าว่าที่คนเยอะไม่น่าจะเป็นชาวบ้านที่มาไหว้พระนะเจ้าคะ อาจจะเป็นฮูหยินสูงศักดิ์บ้านใดบ้านหนึ่งก็ได้นะเจ้าคะ” สาวใช้ผู้มากประสบการณ์คาดเดาจากการแต่งตัวที่คล้ายคลึงกัน และวิธีการยืนของบุคคลเหล่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันก่อนดีกว่า โอกาสหน้าค่อยแวะมาใหม่ เพราะเราคงไม่ได้ขึ้นไปไหว้ง่ายๆ แน่”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อตกลงกันได้สองนายบ่าวจึงพากันเดินกลับไปที่ทางประตูเข้าวัด
“อาหลี่.. นั่นอาหลี่ใช่ไหม”
สาวใช้ที่ถูกเรียกขานหันกลับไปตามเสียงเรียก “ป้าหวัง! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” หลี่แปลกใจไม่น้อยที่ได้เจอกับแม่บ้านของอ๋องใหญ่ที่นี่
“ข้าทำอาหารมาถวายไต้ซือ แล้วเจ้าล่ะมากับใคร” ป้าหวังมองไปที่หญิงสาวอีกคน และเพียงครั้งแรกที่มองนางก็ต้องตกตะลึง เมื่อได้พบกับความงามอันหมดจด งามจนผู้หญิงด้วยกันยังต้องตะลึง นางดึงสายตากลับมาหลังจากโค้งศีรษะให้อีกฝ่าย “พระชายาไม่ได้มาด้วยหรือ” กระซิบถามเบาๆ
“นางไม่ได้มาหรอกป้าหวัง เราไปคุยกันตรงนั้นดีกว่า” หลี่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของป้าหวังจากคุณหนู เพราะกลัวนางจะจำอีกฝ่ายได้
“ข้าไปรอที่รถม้านะ” รนิดาในร่างเฟิ่งต้าชวี่พยายามพูดให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าเสียงของตนจะสะดุดหูป้าหวังเข้า
แยกตัวออกมาได้ก็รีบก้าวเท้ายาวๆ กลับไปที่รถม้า ไม่อยากพบอยากเจอกับคนของอ๋องใหญ่ โดยเฉพาะนางบำเรอทั้งสามของเขา เพราะนางยังไม่พร้อมที่จะเจอนั่นเอง
“ขอทางหน่อย!”
ขณะที่กำลังเดินข้ามถนนด้านหน้าวัดเพื่อไปที่รถม้าจอดอยู่ ก็มีเสียงร้องเตือนดังลั่นมาแต่ไกลพร้อมกับการสั่นสะเทือนของถนน
สัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ไม่ได้สั่งให้หญิงสาวรีบหลบเข้าข้างทาง แต่เธอเลือกที่จะยืนหลับตานิ่งอยู่กับที่แทน
“คุณหนู!” บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ขับรถม้าตะโกนเรียกคุณหนูของตนสุดเสียง เมื่อเห็นม้าสีดำปลอดตัวใหญ่ตะกุยขาหน้าอยู่กลางอากาศพร้อมกับส่งเสียงร้องขัดใจดังลั่น แต่ตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาปั้นปึ่งราวกับอยากฆ่าคน กระโดดลงจากหลังม้าท่ามกลางฝุ่นละอองที่ปลิวว่อน เท้าที่กำลังจะวิ่งไปหาคุณหนูถึงกับหมดแรงไปดื้อๆ
“เจ้าอยากตายนักหรือ ถึงได้มาขวางทางม้าวิ่งแบบนี้” น้ำเสียงดุดันบ่งบอกความโมโห ตะเบ็งออกมาจากริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ “ถ้าข้าหยุดม้าเอาไว้ไม่ทันเจ้าตายแน่”
เฟิ่งต้าชวี่สะบัดแขนเสื้อที่ใช้บังหน้าเพื่อป้องกันฝุ่นผงออกอย่างแรง ถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่บังอาจมาต่อว่าตนฉอดๆ เป็นคนแรก จากนั้นก็มองเผื่อแผ่ไปถึงอีกสี่คนที่ยังนั่งทระนงองอาจอยู่บนหลังม้าอย่างทั่วถึง