ชายฉกรรจ์ใบหน้าเหี้ยมเกรียมทั้งสี่ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ต่างก็หวั่นไหวต่อสายตาของหญิงสาวที่จ้องมา แต่ก็หายไปในชั่วเสี้ยวลมหายใจ
“พวกท่านนี่ไร้มารยาทจริงๆ รู้จักคำพูดที่ว่าเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรีและคนชราบ้างไหม คนที่เจริญแล้วเขารู้จักคำนี้กันทั้งนั้น”
แม่ทัพผู้เกรียงไกรนามว่าเกาหรงซาน มองหญิงสาวรูปร่างสูงระหงผิดกับหญิงสาวชาวเมืองทั่วไปอย่างพิจารณา รู้สึกคลับคล้ายว่าเคยเห็นความสวยปานล่มเมืองแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“เจ้าเป็นนางข้าหลวงหรือ” หน้าตาแบบนี้คงมีแต่ในวังหลวงเท่านั้น เขาอาจจะเคยเห็นนางที่ไหนสักแห่งในนั้น ถึงได้รู้สึกคุ้นตาเช่นนี้
“แล้วท่านเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาถามข้าแบบนี้” คนผู้นี้คงเป็นทหารสินะถึงได้กร่างใส่ชาวบ้านแบบนี้
“ข้าแซ่เกา ชื่อของข้าคือหรงซาน”
“ข้าคุ้นๆ ชื่อท่านนะ แต่ข้าไม่รู้จักท่านหรอก” นางยักไหล่ไหวคิ้วเพิ่มความหมั่นไส้ให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเป็นการเอาคืน หารู้ไม่ว่าการกระทำแบบนั้น ทำให้คนแซ่เกาถึงกับหายใจสะดุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุสามสิบเอ็ดปี
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่รู้จักข้า” เขาแซ่เดียวกับฮ่องเต้ฉางลั่ว หรงซานก็คือชื่อที่ทุกคนในและนอกกำแพงวังต่างก็รู้จัก และเกรงกลัวจนตัวสั่นงันงกเพียงแค่ถูกเขาเอ่ยปากเรียก แต่นางผู้นี้กลับกล้าอวดดีใส่อย่างไม่รักตัวกลัวตาย นางมาจากดินแดนอื่นหรืออย่างไร
“ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนท่านก็สมควรขอโทษข้าที่ทำตัวเสียมารยาทแบบนี้” นางวกกลับมาที่เรื่องเดิม
“ข้าไม่ขอโทษ เพราะเจ้าก็เสียมารยาทต่อข้าเช่นกัน”
“พูดให้มันดีๆ หน่อย! ข้าเสียมารยาทต่อท่านตรงไหน!” ขึ้นเสียงถามเขาอย่างเอาเรื่อง และเสียงของนางก็ทำให้ลมหายใจของทหารคู่ใจบนหลังม้าทั้งสี่สะดุดไปเล็กน้อย แต่สำหรับบ่าวรับใช้ของนางอาการหนักถึงขั้นยืนไม่ไหว แม้แต่เสียงก็เปล่งไม่ออก
“ข้าบอกชื่อแซ่กับเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังไม่ได้บอกชื่อแซ่กับข้าเลย” เขาเตือนความจำของนางอย่างทระนง
“เสียใจด้วยนะ ข้าจะบอกเฉพาะกับคนที่พูดกับข้าดีๆ เท่านั้น”
“เจ้าไม่รู้สึกเกรงกลัวข้าบ้างเลยหรือ ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้เลยนะสาวน้อย” ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่รบกวนจิตใจอยู่ตอนนี้ นางคงได้ลิ้มรสฝ่ามือคนของเขาไปแล้ว
“กลัวสิ” นางตอบกลับตามความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง ใครบ้างที่ไม่กลัวผู้ชายตัวใหญ่ หน้าตาดุดันอย่างกับยักษ์แบบนี้ “แต่ความกลัวกับความถูกต้องมันคนละส่วนกัน ตอนนี้ท่านเป็นคนผิดท่านควรละอายแก่ใจบ้างนะ”
อวดดี จองหอง ปากร้าย ไร้มารยาท สตรีนิสัยเช่นนี้เขาไม่เคยรู้จักแน่ๆ เขามั่นใจ แต่ทำไมหน้าตาของนางถึงรบกวนจิตใจเขายิ่งนัก หน้าตาแบบนี้เขาต้องเคยรู้จักมาก่อนแน่ๆ เขาก็มั่นใจอีกเหมือนกัน
“เอาเป็นว่าข้าจะยกโทษให้ท่านสักครั้งแลกกับชื่อที่ข้าไม่อยากรู้จักของท่านก็แล้วกัน” ใบหน้าที่เริ่มเรียวเป็นรูปไข่เชิดขึ้นมองเขาที่สูงกว่าประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ แล้วยักคิ้วข้างเดียวใส่เขาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากก่อนจะเดินจากไปไม่เหลียวกลับ
เกาหรงซานมองหญิงสาวที่ทำเอาเขาพูดไม่ออกเดินไปนั่งในรถม้า แล้วพลิกตัวกระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้าคู่ใจ กระทุ้งเท้าเบาๆ ให้มันเริ่มเดิน
“จวงเล่ย..”
“ขอรับท่านอ๋อง” เพียงแค่เจ้านายเอ่ยปากเรียกด้วยชื่อเต็มยศ รองแม่ทัพเช่นจวงเล่ยก็รู้ถึงความต้องการของท่านทันที เขากระทุ้งเท้าใส่ท้องม้าให้มันเหยาะย่างตามคนอื่นๆ ไปก่อน ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้จึงกระโดดลงจากหลังม้า หายไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าสองคนมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ อย่าทำท่าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้ ข้าเห็นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย” เฟิ่งต้าชวี่ถามคนรับใช้ที่นั่งคู่กันอยู่ด้านหน้ารถม้า
“คุณหนูไปมีเรื่องกับท่าน.. ท่านชายคนนั้นทำไมเจ้าคะ” หลี่เปลี่ยนคำว่าท่านอ๋องใหญ่เป็นท่านชายแทน เพราะไม่อยากให้นางได้พบเจอกับเขาอีก
“เขามาหาเรื่องข้าก่อนนะหลี่ ไม่เชื่อก็ถามอาติงดูสิ”
“ข้าไม่ถามใครทั้งนั้น ข้าจะถามจากคุณหนูนั่นแหละ” สาวใช้หันไปค้อนใส่เจ้านายด้วยความขัดใจ “คุณหนูนะคุณหนู ข้าโกรธคุณหนูแล้วจริงๆ นะ”
“ข้าขอโทษ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ไปมีเรื่องกับใครแล้ว ข้าจะหลบอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างเดียวพอใจไหม” หญิงสาวยอมอ่อนข้อให้กับสาวใช้ เพราะรู้ว่านางเป็นห่วงตนมากจริงๆ “ทำไมเจ้าถึงคุยกับป้าหวังนานนัก”
“คุณหนูอยากรู้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ข้าอยากรู้”
“แสดงว่าคุณหนูยังสนใจอ๋องใหญ่”
“ข้าไม่ได้สนใจอ๋องใหญ่ แต่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคุยอะไรกับป้าหวังต่างหาก เจ้าอย่าเอามารวมกันสิ”
“ป้าหวังนำอาหารมาถวายไต้ซือที่วัด เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพระมารดาท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“เจ้าเคยเล่าว่าอ๋องใหญ่คือพี่ชายของฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ”
“แต่ข้าก็บอกว่าท่านเป็นพี่ชายคนละมารดากับฮ่องเต้นะเจ้าคะ”
“ข้าจำได้ แต่ข้าสงสัยว่าทำไมที่วังหลวงไม่จัดการให้ต่างหากล่ะ”
“ข้าก็ถามป้าหวังแบบนี้เหมือนกัน แต่นางบอกว่าปีนี้อ๋องใหญ่สั่งให้จัดการเป็นกรณีพิเศษ เพราะครบรอบสิบสองปีที่พระมารดาจากไปเจ้าคะ”
“แบบนี้นี่เอง แล้วเจ้าบอกนางเรื่องข้าอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่ได้บอกอะไรนางหรอกเจ้าค่ะเพราะไม่อยากโกหก ข้าจึงพยายามเลี่ยงด้วยการคุยเรื่องอื่นกับนางแทน คุณหนูเจ้าคะข้าขอไปซื้อถังหูลู่หน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขออนุญาตขณะที่รถม้ากำลังวิ่งผ่านหน้าร้านขนมเจ้าประจำ
“ได้สิ ซื้อมาเผื่ออาติงด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไมผู้ชายมีแต่รูปร่างสูงใหญ่กันเกือบทั้งนั้น แต่พอเป็นผู้หญิงดันมีแต่ตัวเล็กๆ สูงเกือบร้อยแปดสิบแบบเรานี่ถือว่าแปลกประหลาดไปเลย” ระหว่างที่รอสาวใช้ไปซื้อของกิน หญิงสาวก็เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ และบ่นพึมพำกับตัวเอง
“คุณหนูอยากได้ขนมอะไรเพิ่มหรือขอรับ”
“เปล่านี่ ข้ากำลังร้องเพลงต่างหาก” เฟิ่งต้าชวี่มองไปรอบๆ แล้วแกล้งฮัมเพลงเบาๆ “เถียนมีมี่ หนีเซียวตีเถียนมีมี่ ห่าวเซี่ยงฮวาเอ่อคายจ้ายชุนฟงหลี่ คายจ้ายชุนฟงหลี่...” นางหยุดร้องเมื่อสาวใช้กลับมาถึง รับผลไม้เชื่อมเสียบไม้จากนางแล้วกัดกินเพียงหนึ่งคำเล็กๆ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ
“กินเยอะๆ สิเจ้าคะคุณหนู ท่านไม่ค่อยกินอะไรเลย”
“ข้าจะเก็บท้องไว้กินพร้อมกับครอบครัวของข้าเย็นนี้” ที่นางไม่อยากกินเพราะต้องการลดน้ำหนักลงอีกประมาณสิบกิโล รอน้ำหนักอยู่ตัวแล้วนางถึงจะเริ่มกินอย่างปกติ “เจ้าเอาไปกินต่อสิ”
“เจ้าค่ะ” หลี่รับถังหูลู่ของโปรดมาถือไว้อย่างยินดี