13

1128 Words
สามวันแล้วที่เธอนอนฟังเสียงสวดมนต์อยู่ในร่างที่ไร้ลมหายใจร่างนี้ บางครั้งก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ของบิดามารดาที่สลับกันเข้ามาจนทำให้หัวใจหดหู่น้ำตาไหลตามไปด้วย คนที่กำลังร้องไห้ตอนนี้นี่คือพ่อแม่ในภพชาตินี้ของเธอ ท่านก็คงเสียใจไม่ต่างจากภพชาติที่เธอจากมาใช่ไหม ร้องไห้อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ลูกตัวเองฟื้นแล้วเอาชีวิตตนไปแทน นี่แหละคือความรักอันยิ่งใหญ่ที่คนอื่นไม่มีให้ ถ้าเธอฟื้นขึ้นมาได้ เธอจะใช้ชีวิตร่วมกันกับพวกท่านให้คุ้มค่าที่สุด ให้สมกับที่ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่พ่อแม่ในชาติภพเดิมก็ตาม แต่ตอนนี้เธออยากรู้ว่าเธอจะต้องทนทรมานหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในร่างไร้ลมหายใจนี้อีกนานแค่ไหนมากกว่า “ท่านมัจ!” “กรี๊ดดดด...” ตึง! รนิดาหันไปมองทางต้นเสียงที่กรีดร้องดังลั่น ก่อนจะล้มทั้งยืนลงไปกองอยู่กับพื้น “อาหลี่.. ใช่ไหม” หญิงสาวเรียกชื่อเธอคนนั้นตามความทรงจำที่ได้รับ แต่ก็ตบท้ายด้วยคำถามอย่างลังเล “คุๆๆๆๆ คุณหนู..” หลี่คลานเข้าไปหาร่างใหญ่ที่ลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับตะโกนบางคำดังลั่น แล้วใช้นิ้วอังตรงรูจมูกตรวจสอบลมหายใจ “คุณหนูยังไม่ตายหรือเจ้าค่ะ คุณหนูของข้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย ข้าดีใจจริงๆ เลยเจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไปเรียนนายท่านกับฮูหยินก่อนนะเจ้าค่ะ” “เดี๋ยวก่อนอาหลี่ อย่าเพิ่งรีบร้อน” คว้าแขนของสาวใช้ไว้แน่น “อย่าเพิ่งไปรบกวนพ่อกับแม่ข้าเลยนะ เล่าให้ข้าฟังก่อนได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอรู้สึกว่าท่านมัจจุราชไม่ได้ให้ความจำในส่วนนี้กับเธอมา จึงถามเอาความจริงกับเด็กสาวที่อายุอานามไม่น่าจะเกินสิบแปดปีคนนี้แทน สาวใช้วัยสิบเจ็ดปีนามว่าหลี่เพ่งมองคุณหนูของตนอย่างแคลงใจ ไม่ใช่เพราะคำถามที่นางถามมา แต่เป็นเพราะแรงดึงของนางต่างหาก “คุณหนูทำไมถึงมีเรี่ยวแรงเยอะอย่างนี้เจ้าคะ” “ทำไมหรือ.. ก็แค่ดึงมือเอาไว้แค่นี้ไม่เห็นต้องใช้แรงมากมายจนน่าตกใจนี่” “แต่คุณหนูนอนป่วยมานานหลายเดือน แม้แต่แรงยกมือก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่นี่คุณหนูดึงข้าได้ว่องไวมาก ดึงจนร่างของข้าถลากลับมา” “จริงเหรอ ข้าไม่เห็นรู้สึกเหมือนคนป่วยตรงไหนเลย” “คุณหนูนอนป่วยมาเกือบครึ่งปีแล้วนะเจ้าคะ แล้วคุณหนูก็หยุดหายใจไปถึงสามวัน ถ้าวันนี้คุณหนูไม่ฟื้นขึ้นมา พรุ่งนี้เราคงได้นำร่างคุณหนูไปฝังที่สุสาน” “แล้วข้าเป็นอะไรถึงได้นอนป่วยนานขนาดนั้น.. ข้าขอโทษที่ต้องถามโง่ๆ แบบนี้ แต่ข้าจำไม่ได้จริงๆ แค่จำได้รางๆ ว่าข้าเสียใจเรื่องอ๋องใหญ่มากเท่านั้น” “เจ้าค่ะ คุณหนูตรอมใจที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาของอ๋องใหญ่ แต่คุณหนูป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ ก็เพราะนางอนุพวกนั้นเป็นต้นเหตุเจ้าค่ะ คุณหนูจำได้ไหม ที่พวกนางสามคนได้เดินทางไปชายแดนตามคำสั่งของอ๋องใหญ่” “จำได้สิ แล้วไงต่อ” เธอโกหกเพราะอยากรู้เรื่องต่อ “พอพวกนางกลับมาก็มาเล่าให้คุณหนูฟังกันสนุกปาก ว่าอ๋องใหญ่เรียกพวกนางสลับกันไปอุ่นเตียงให้จนรุ่งสางทุกค่ำคืน พวกนางได้ความรักจากอ๋องใหญ่กลับมาปริ่มเปรม พวกนางมีความสุขมากๆ” หลี่หยุดเล่ากลางคันเมื่อเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างจากคุณหนูของตน “เล่าต่อสิข้ากำลังตั้งใจฟัง” สิ่งหนึ่งที่เธอต้องชมเชยท่านมัจจุราชก็คือการให้ความกลมกลืนทางการสื่อสาร เพราะเธอเข้าใจทุกคำพูดและตอบโต้ได้เหมือนเป็นคนภพนี้จริงๆ “คุณหนูแปลกไปนะเจ้าคะ” “แปลกตรงไหน ข้าก็ปกติดีทุกอย่างนะหลี่” “แค่คุณหนูมีแรงดึงข้าไว้ก็แปลกแล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้สายตาของคุณหนูไม่มีแววเจ็บปวดต่อเรื่องของอ๋องใหญ่สักนิด คุณหนูทำเหมือนไม่รู้จักอ๋องใหญ่ด้วยซ้ำ” “เจ็บสิ ข้าเจ็บมากๆ แต่ข้าไม่อยากแสดงออกเท่านั้นเอง” สาวใช้คนนี้เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ คุยกันแค่ไม่กี่ประโยคก็มองออกแล้วเธอจึงแกล้งตีหน้าเศร้าให้สมจริง “เล่าต่อสิหลี่ข้าอยากรู้” “เจ้าค่ะ” มองหน้าคุณหนูด้วยแววตาลังเลก่อนจะเปิดปากเล่าต่อ “แล้วพวกนางก็บอกว่าชาตินี้คุณหนูคงเป็นได้แค่พระชายาตราตั้งของอ๋องใหญ่ ส่วนพวกนางถึงจะเป็นแค่อนุ แต่ก็ได้ครอบครองเรือนกายอันสง่างามของท่านอ๋อง ทั้งหมดนี้จะกล่าวโทษพวกนางไม่ได้ ให้กล่าวโทษเรือนร่างอันน่ารังเกียจของพระชายาเอง หลังจากนั้นคุณหนูก็เอาแต่ร้องไห้อยู่บนเตียง และไม่” หลี่สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นของคุณหนูดังขัดจังหวะ หลังจากได้ยินประโยคที่ว่าเรือนร่างอันน่ารังเกียจของพระชายา.. รนิดาจึงก้มลงมองร่างของเด็กสาวที่ตัวเองได้ครอบครองอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าเธออาจจะพิกลพิการส่วนไหน แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับทำให้เธอตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา “ทำไมตัวข้าถึงได้อ้วนอย่างนี้ล่ะ ทำไมคุณหนูของเจ้าถึงได้ปล่อยให้ตัวเองน่าเกลียดอย่างนี้ เอากระจกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ขอข้าดูหน้าตาของคุณหนูเจ้าหน่อย มัจจุราชนะมัจจุราช ไหนบอกว่าส่งข้ากลับมาเกิดในร่างของข้าไง แล้วทำไมร่างของข้าในชาตินี้ถึงเป็นแบบนี้ ข้าจะไม่ทำบุญเผื่อแผ่ถึงท่านอีกต่อไป ไม่เชื่อก็คอยดู” “คุๆๆๆ คุณหนู..” หลี่ได้แต่ยืนปากสั่นตาค้างด้วยความกลัวเมื่อได้ยินคำพูดแปลกประหลาดจากปากคุณหนูของตน “ไปเอากระจกมาให้ข้าสิ!” ตวาดใส่สาวใช้ที่เสียงสั่นอยู่ข้างๆ ด้วยความโมโห “เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะคุณหนู” กระจกทองเหลือบานใหญ่ที่วางไว้ในลิ้นชักข้างเตียงถูกส่งให้เกือบทันที แม้จะกลัวคุณหนูของตนจนอยากจะวิ่งหนีออกไปจากห้อง แต่หลี่ก็เลือกที่จะยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะถูกความสงสัยใคร่รู้ครอบงำความคิดอื่น นางมองคุณหนูที่กำลังส่องกระจกมองใบหน้าของตัวเอง ลูบคลำอย่างถี่ถ้วนด้วยสายตาเคร่งเครียด จากนั้นก็ลุกขึ้นมองสำรวจตัวเองอีกครั้งด้วยสายตาแบบเดิม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD