8

1174 Words
อาคารพักฟื้นผู้ป่วยชาย “สวัสดีค่ะคุณประมวล ฉันแพทย์หญิงอารียาค่ะ” อารียากล่าวทักทายและแนะนำตัวกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์วินที่ทำให้พี่สาวของตนประสบอุบัติเหตุ “สวัสดีครับคุณหมอ” ประมวลไม่รู้เลยว่าหญิงสาวที่ทักทายตนนั้นไม่ใช่หมอประจำโรงพยาบาลแห่งนี้ สูดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ศีรษะ “ยังปวดที่ศีรษะอยู่เหรอคะ”เธอถามจากอาการที่เห็น “ปวดมากเลยครับคุณหมอ ช่วยฉีดยาระงับปวดที่แรงกว่านี้ให้ผมได้ไหมครับ” “มันจะค่อยๆ ดีขึ้นนะคะ อดทนนิดหนึ่ง” หญิงสาวทิ้งระยะการพูด ใช้สายตายากจะคาดเดามองคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง “คุณประมวลทราบไหมคะ ว่าผู้หญิงที่ซ้อนรถคุณประมวลอาการเธอหนักกว่าคุณมาก” ใบหน้าที่ถูกความเจ็บปวดเล่นงานเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม เม้มปากเข้าหากันอย่างลืมตัวขณะที่สายตาเหม่อลอยไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น “คืนนั้นผมไม่น่ารับเธอเลย เพราะผมก็กำลังจะเลิกพอดี แต่ผมเห็นเธอกำลังทะเลาะกับแฟนของเธอ ผมกลัวว่าเขาจะทำร้ายเธอก็เลยตัดสินใจเข้าไปรับเธอ.. ถ้ารู้ว่ารับแล้วเป็นแบบนี้ ผมยอมให้เธอทะเลาะกับเขาต่อดีกว่า” ประมวลกล่าวอย่างรู้สึกผิด “แล้วตอนนี้อาการของน้องคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” “มีโอกาสรอดแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นค่ะ” มือใหญ่กร้านดำที่มีบาดแผลถลอกอยู่หลายส่วนยกขึ้นจรดหน้าผาก “ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยปกป้องคุ้มครองให้เธอแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยเถอะ สาธุ” “คุณบอกว่าเธอทะเลาะกับแฟนเหรอคะ” อารียาดึงเขากลับเข้าประเด็นที่ทำให้เธอต้องมายืนอยู่ตรงนี้ “ครับคุณหมอ” “บอกหมอได้ไหมคะว่าพวกเขาทะเลาะเรื่องอะไรกัน.. ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวของหมอเองค่ะ” บอกความจริงเมื่อถูกมองด้วยสายตาสงสัย “ส่วนผู้ชายคนนั้นคือคนที่พี่สาวของหมอจะแต่งงานด้วยเร็วๆ นี้ แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน” “ผมได้ยินพวกเขาทะเลาะกันเรื่องแต่งงานนี่แหละครับ ผู้ชายบอกว่าจะไม่ยกเลิกงานแต่งงานเด็ดขาด ผู้หญิงก็เลยบอกว่ายอมตายดีกว่าต้องแต่งงานกับเขาครับคุณหมอ” หลังจากฟังคำบอกเล่า จิตใจที่ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะพี่สาวของตนไม่ได้บอบช้ำเพียงร่างกาย แต่จิตใจก็บอบช้ำอย่างหนักไม่ต่างกัน “ได้ยินแค่นี้เหรอคะ” “ก็ไม่มากไปกว่านี้เท่าไหร่หรอกครับ พวกเขาน่าจะทะเลาะกันมาก่อนแล้ว เพราะผมเห็นพวกเขาเดินหน้าตาเคร่งเครียดออกมาจากหอพัก แล้วผู้หญิงก็ขึ้นไปสตาร์ทรถแต่รถสตาร์ทไม่ติด ก็เลยเรียกผมให้ไปส่งที่หน้าโรงเรียนนายร้อยครับ” ประมวลมองคุณหมอสาวที่ดวงตาเริ่มแดงด้วยความสงสาร “ผู้ชายคนนั้น..” “เขาทำไมเหรอคะ” เธอเห็นความลังเลในแววตาคู่นั้นของเขา จึงถามออกไปเพราะเขาทำท่าจะไม่ยอมพูดต่อ “ผมเคยเห็นเขากับนักศึกษาคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ เธอชอบมาหาเขาที่หอพัก วันที่เขากับพี่สาวของคุณทะเลาะกันผู้หญิงคนนั้นก็มานะ” ใจของอารียากระตูกวูบ “แน่ใจเหรอคะ” “แน่ใจครับ เพราะเธอลงรถตรงหน้าวินผมพอดี” แม้จะปวดศีรษะอย่างมากแต่ก็อดทนเล่าให้อีกฝ่ายฟังอย่างเต็มใจ เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดออกไปบ้าง “ที่พี่สาวคุณบอกยกเลิกงานแต่งงาน อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะครับ” ไช่ถินค่อยๆ เดินโซเซห่างออกไปจากห้องผู้ป่วยรวมที่มีลูกสาวคนที่สองอยู่ในนั้น มันเป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ จึงทำให้เขาได้รับรู้ความเลวของชายหนุ่มที่จะมาเป็นลูกเขยอย่างไม่คิดไม่ฝัน ‘กูจะฆ่ามึงไอ้ติ๊ก! ไอ้ระยำ! มึงกับกูคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว มึงต้องชดใช้ที่ทำให้ลูกสาวของกูเป็นแบบนี้’ พร่ำด่าอีกฝ่ายในใจด้วยความเคียดแค้นจนเดินมาถึงรถ ไม่สนใจกับอาการเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทรวงอกสักนิด คิดแต่เรื่องจะไปพบกับธนายุทธให้เร็วที่สุด เปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ แต่ขณะที่กำลังเสียบกุญแจรถอยู่นั้นหัวใจของเขาก็เจ็บแปลบจนสุดจะทน ต้องเอนหลังกับเบาะแล้วกดที่หน้าอกด้านซ้ายไว้แน่น แต่อาการปวดกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเหงื่อผุดขึ้นเต็มตัว ปวดจนเริ่มหายใจขัด ไม่มีแรงแม้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ลมหายใจเริ่มติดขัดมากขึ้นจนกลายเป็นหายใจไม่ออก ดวงตาเหลือกโตด้วยความทรมาน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเกร็งขึ้นเพื่อหาอากาศเฮือกสุดท้าย และทุกอย่างก็ดับวูบลงไป “อาจารย์เสียใจด้วยนะอารียา ตอนที่เราพบพ่อเธอหัวใจท่านหยุดเต้นแล้ว อาจารย์ได้ทำการปั๊มหัวใจและให้ยากระตุ้นแต่พ่อเธอก็ไม่ตอบสนองเลย” อารียาทรุดลงไปกองกับพื้น กอดมารดาที่ร้องไห้ปริ่มใจจะขาดเอาไว้ทั้งน้ำตา ใครเลยจะคิดว่าเรื่องร้ายๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นในครอบครัวเกือบจะพร้อมๆ กัน และตอนนี้เธอก็สูญเสียบิดาไปแล้วหนึ่งคน บิดาของเธอถูกพบศพโดยเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ที่ได้รับแจ้งจากรถคันข้างๆ ว่าเห็นมีคนนอนหลับอยู่ในรถตั้งแต่ตอนที่เอารถมาจอด จนกระทั่งจะกลับก็ยังเห็นนอนอยู่ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงไปเคาะกระจกเรียกแต่ก็ไร้การตอบรับ จึงโทรประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ จนสามารถเปิดรถได้ และพบว่าเสียชีวิตแล้ว “เรากลับบ้านกันก่อนนะแม่ ส่วนเรื่องทางนี้ปล่อยให้นกมันจัดการไปนะแม่” ลูกชายคนโตของตระกูลปลอบใจมารดา พยายามกลั้นน้ำตาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ท่านได้เห็น “แม่จะอยู่ที่นี่ แม่จะอยู่เป็นเพื่อนเตี่ยเขา แม่จะกลับบ้านพร้อมกับเตี่ยเขาลูก” เมตตาสะอื้นไห้ไม่หยุด “แม่จ๋าอย่าร้องไห้สิจ๊ะ แม่ต้องเข้มแข็งไว้นะ แม่ยังมีพวกเราอีกห้าคนนะจ๊ะ” ลูกสาวคนสุดท้องร้องไห้ไปพูดไป กลัวเหลือเกินว่ามารดาจะตรอมใจจนจากไปอีกคน “กลับบ้านก่อนนะแม่ ถึงอย่างไรเตี่ยก็จากพวกเราไปแล้ว เราควรกลับไปปรึกษากันว่าจะส่งเตี่ยครั้งสุดท้ายอย่างไรดีกว่านะแม่นะ” ในบรรดาพี่น้องห้าคนที่อยู่ในนี้ อารียาคือคนที่ตั้งสติได้ดีกว่าใครเพื่อน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอาชีพหมอของเธอ และด้วยอาชีพหมอนี่เอง เธอจึงมีแผนที่จะส่งเตี่ยจากไปอย่างมีความสุขเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD