03 เพราะสายตามันหลอกกันไม่ได้

1472 Words
03 เพราะสายตามันหลอกกันไม่ได้ หลังจากทำงานเสร็จเมนิลาก็ปั่นจักรยานกลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม พบว่าน้องสาวของเธอกำลังหุงข้าวไว้รอ อามิตา หรือ ลูกน้ำ น้องสาวแท้ๆซึ่งมีอายุห่างกัน 5 ปี ปัจจุบันอามิตาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมใกล้บ้านและจะกลับบ้านมาหุงข้าวหาอาหารไว้รอพี่สาวเสมอ ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป ชีวิตของทั้งสองก็ต้องพบเจอกับความยากลำบาก เพราะค่ายาแต่ละเดือนของอามิตาก็ปาไปหลายพัน เงินเก็บอันน้อยนิดที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ถูกนำมาใช้รักษาอามิตาจนหมด ซึ่งเดิมทีครอบครัวก็เป็นคนชนชั้นกลาง พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ พอไม่มีท่านทั้งสอง เสาหลักของครอบครัวจึงตกมาเป็นของเมนิลา เธอพยายามกัดฟันสู้เพราะอีกเทอมเดียวก็จะเรียนจบแล้ว หลังจากนั้นจะหางานดีๆทำ แล้วพาน้องสาวย้ายไปอยู่ที่อื่นเพราะบ้านหลังนี้ค่อนข้างทรุดโทรม วันไหนฝนตกหนักๆถึงขั้นต้องหากะละมังมารองน้ำฝน ความยากลำบากนี้ทำให้เธอต้องประหยัดขึ้นเป็นอีกเท่าตัว จนต้องห่อข้าวไปกินที่มหาวิทยาลัยเพื่ออยากให้น้องสาวได้กินข้าวอร่อยๆกับเพื่อน “ข้าวสุกแล้วนะพี่ลูกหมี” อามิตาเดินไปเรียกพี่สาวที่ห้องนอน สักพักเมนิลาก็เปิดประตูออกมาหลังจากนั่งสรุปงานเสร็จ “วันนี้น้ำทำทอดไข่เจียวใส่มะเขือเทศของโปรดพี่ลูกหมีเลยนะ” “ไหน...ทำไมหอมจัง” “พอดีปากข้างบ้านให้มะเขือเทศมา น้ำก็เลยหั่นใส่ไข่เจียว ดูสิ น่ากินมาก” อามิตายกจานไข่เจียวขึ้นมา บนโต๊ะมีแค่ข้าวสวยสองจานกับไข่เจียวจานเดียว แต่ถึงอย่างนั้นสองพี่น้องก็ทานด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย “พี่หมีทำงานเหนื่อยหรือเปล่า ช่วงนี้น้ำเห็นพี่กลับบ้านค่ำทุกวันเลย” “ไม่เหนื่อยหรอก แค่ช่วงนี้ใกล้เทศกาลรถค่อนข้างติด พี่อาจจะกลับช้าหน่อย” “น้ำขอโทษนะที่เป็นตัวถ่วงในชีวิตพี่ ถ้าไม่มีน้ำ พี่ก็คงไม่เหนื่อยขนาดนี้” “อย่าพูดแบบนี้สิ พ่อกับแม่อุตส่าห์ฝากความหวังไว้ที่พี่นะ จะเป็นตายร้ายดียังไง พี่ก็จะไม่มีวันทิ้งน้องสาวของตัวเองเด็ดขาด” “ถ้าพี่ไม่ไหวก็บอกน้ำนะ เพราะน้ำเองก็อยากหางานทำช่วยพี่เหมือนกัน” “น้ำก็รู้ไม่ใช่หรอว่าตัวเองทำงานหนักไม่ได้ พี่ไม่เป็นไรหรอกน่า อีกนิดเดียวก็จะเรียนจบแล้ว หลังจากนี้พี่จะพาน้ำย้ายไปอยู่คอนโด ส่งน้ำเรียนต่อมหาวิทยาลัยดีๆ อดทนหน่อยนะ” เป็นคำพูดที่สองพี่น้องใช้ปลอบใจกันในแต่ละวัน เมนิลาเชื่อว่าสักวันชีวิตของเธอกับน้องสาวจะดีขึ้น เหมือนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อหน้าหลุ่มศพของบิดา-มารดา ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งน้องสาวของตัวเองเด็ดขาด จะเป็นตาร้ายดียังไงก็ต้องเลือกอามิตาก่อนเสมอ @เช้าวันถัดมา เมนิลาตื่นเช้าไปมหาวิทยาลัยเหมือนปกติ แต่วันนี้เธอเลือกเข้าทางด้านหลังมหาวิทยาลัย เพราะกลัวไปเฉี่ยวชนรถลีมูซีนของผู้ชายคนนั้นอีก พอมาถึงห้องปรากฏว่าเห็นชินอิจินั่งอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งเคยเป็นโต๊ะประจำของเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา และทันทีที่นั่งลงบนโต๊ะก็ถูกสายตาคมของใครบางคนจ้องมองจนทำตัวไม่ถูก “ทำมินิโปรเจคเสร็จยัง เอามาลอกหน่อยสิ” เพื่อนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆสะกิด “อ๋อ สะ...เสร็จแล้ว” เธอหยิบเอกสารออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้เพื่อนที่อยู่โต๊ะข้างๆไปลอก เหตุผลที่ไม่อยากปฏิเสธเพราะยังไงคะแนนสอบของเพื่อนๆก็สู้เธอไม่ได้อยู่ดี “ฉันจำได้ว่าเรื่องนี้อาจารย์ยังไม่ได้สอนนิ ทำไมเธอทำได้ล่ะ” “อ้อ! ฉันเปิดดูในยูทูปน่ะ” “ฉันก็เปิดดูในยูทูปเหมือนกัน แต่ทำไมยังทำไม่ได้ สงสัยความฉลาดของเราสองคนจะไม่เท่ากัน” เมนิลายิ้มแห้งๆ เมื่อคืนกว่าจะทำมินิโปรเจคเสร็จก็ปาไปเกือบตีสอง เพราะบางเรื่องอาจารย์ยังไม่ได้สอนแต่ดันมีในรายงาน หางตากลมโตเหลือบมองชายร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเขานั่งเคาะปากกาเป็นจังหวะด้วยท่าทางเหม่อลอย บางทีก็รู้สึกสงสารพวกคนรวย มีลูก...แต่ลูกก็ดันไม่เอาไหน หากเป็นเธอนะ จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจไม่ใช่ทำตัวเปลืองออกซิเจนไปวันๆแบบนี้ หลังจบคาบเรียนอันแสนอึดอัดเพื่อนในห้องต่างก็ทยอยลงไปทานข้าวที่โรงอาหารประจำคณะ แต่ก็มีเพียงหนึ่งคนที่ห่อข้าวมากินที่มหาวิทยาลัย เมื่อเช้าเธอตื่นสาย ทำให้ไม่มีเวลาแวะซื้อหมูปิ้งหน้าปากซอยเพราะต้องรอคิว วันนี้ก็เลยมีแต่ข้าวเปล่ากับน้ำพริก ส่วนน้ำเปล่าก็ห่อมาจากที่บ้าน และในระหว่างที่เธอกำลังนั่งกินข้าวที่มุมห้องอย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชินอิจิยืนมองอยู่ “หึ ข้าวเปล่ากับน้ำพริก” “แล้วไง” เธอตอบสั้นๆแล้วกำลังจะลุกหนีไปกินที่อื่น แต่ชินอิจิก็ดึงปิ่นโตออกจากมือของเธอแล้วเทข้าวเปล่าทิ้งลงบนพื้น “นะ...นี่นายทำอะไร!” “แบบนี้สินะถึงได้ผอมอย่างกะคนขาดสารอาหาร” “แต่นั่นมันข้าวมื้อเที่ยงของฉันนะ นายทำแบบนี้ได้ยังไง!” “แต่ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเหมือนกัน” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ใช้สองมือค้ำโต๊ะ แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้เธอ ทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเมนิลาเต้นรัวสนั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ถะ...ถอยออกไปนะ ฉันจะลงไปข้างล่าง” “เดี๋ยวก่อนสิ เธอยังกินข้าวไม่อิ่มไม่ใช่หรอ” “ก็นายเทข้าวฉันทิ้ง!” “หึ” ชินอิจิกระตุกยิ้มมุมปากแล้วถอยห่างออกไป ก่อนที่บอดิการ์ดตัวสูงจะนำพิซซ่าถาดใหญ่พร้อมเครื่องดื่มมาให้ แล้วล็อคห้องไว้ไม่ให้ใครเข้ามา “นะ...นี่มันอะไร” “กินสิ” “ห๊ะ?” “ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงไม่อิ่มไม่ใช่หรอ กินสิ” เขาสั่งหน้านิ่ง “นี่นายกำลังเล่นบ้าอะไรอยู่ ฉันไม่กิน!” “ถ้าเธอไม่กิน ฉันก็จะให้บอดิการ์ดล็อคห้องไว้ไม่ให้ใครเข้ามา....จนกว่าเธอจะกินพิซซ่าหมดถาด” “จะบ้าหรือไง นายกำลังกักขังหน่วงเหนี่ยวฉันอยู่นะ!” “เลือกเอาก็แล้วก็” สักพักเมนิลาก็ได้ยินเสียงเพื่อนโวยวายอยู่ข้างนอก แต่บอดิการ์ดร่างสูงที่เฝ้าประตูอยู่ก็ไม่ยอมเปิดให้ใครเข้ามา ทำให้เธอตัดสินใจหยิบพิซซ่าขึ้นมากิน ทันทีที่ความอร่อยเข้าปากถึงกับหยุดกินไม่ได้ เพราะเท่าที่จำได้เคยกินพิซซ่าครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว แต่เธอก็ไม่ลืมห่อกลับไปให้น้องสาวกิน ส่วนชินอิจินั่งเงียบ ปรายตามองคนตัวเล็กด้วยความพอใจ เพราะเมื่อวานเขาเห็นเธอนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆคนเดียว “นายไม่กินหรอ” เสียงนั้นดึงให้ชินอิจิหลุดจากภวังค์หลังจากนั่งมองหน้าสวยจนเพลินสายตา “ฉันยังไม่หิว” “คราวหลังนายไม่ต้องทำแบบนี้อีกนะ เดี๋ยวเพื่อนๆจะแอนตี้ฉัน” เพราะแค่นี้เธอก็แทบไม่มีที่จะยืนในมหาวิทยาลัยแล้ว “แคร์ทำไม เพื่อนเขาหุงข้าวให้เธอกินหรอ” “ก็ไม่ใช่ แต่นายไม่เป็นฉัน นายไม่มีวันเข้าใจหรอก” เธอตอบหลังจากกินอิ่มจนเกือบหมดถาด ไม่นานชินอิจิก็ให้บอดิการ์ดเปิดประตู และทันทีที่เพื่อนๆกลับมาถึงห้อง ทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจเพราะเห็นเมนิลากับชินอิจินั่งอยู่ในห้องสองคน แต่ทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเกรงใจชินอิจิ จะมีอยู่แค่หนึ่งคนเท่านั้นที่แสดงอาการไม่พอใจทางสายตาเพราะหล่อนเล็งชินอิจิไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะย้ายมาที่นี่เสียอีก _________
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD