ปัจจุบัน ค.ศ MMM
"มิเนอร์วาจัดกระเป๋าเสร็จรึยังน่ะ!..."
“นี่มัน..ทำยังไงดีล่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากนอกห้องแล้วตัดภาพมาที่ฉันยืนดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองที่ยังจัดไม่เสร็จเพราะไม่รู้ว่าจะจัดอันไหนลงกระเป๋าก่อนดีความจริงแล้วตัวฉันเองควรจะถึงสนามบินเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนไปแล้ว
-ก๊อกๆ-
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้อง
"อาว่าเอาไปแค่ 3 ใบก่อนดีมั้ยส่วนของอย่างอื่นเดี๋ยวจะส่งตามไปให้ทีหลังไม่งั้นไปขึ้นเครื่องไม่ทันแน่ๆ”
“มันสำคัญหมดเลยนี่คะหนูอยากเอาไปหมดเลย”
ฉันมองดูเสื้อผ้ากองพะเนินตรงหน้านี่ต้องจำใจเอาของไปแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเหรอ
“งั้นหลานลงไปรอข้างล่างตรงนี้อาจะจัดการเอง”
“แต่ว่า….”
“ไม่มีแต่!ลงไปรอข้างล่าง”
อาสาวขึ้นเสียงดุก่อนจะเท้าสะเอวเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าเธอเริ่มโมโหแล้วทำเอาฉันเถียงอะไรไม่ออกจึงพยักหน้าน้อมรับบัญชาแต่โดยดีแล้วยอมเดินออกจากห้องมา
“เอาจริงดิ ผมสีทองเนี่ยนะ?” เสียงผู้ชายคนนึงดังมาจากอีกฝากของบันไดก่อนจะเดินมาหาฉัน
“ทำไมนายไม่หยุดแซวฉันแล้วไปช่วยอาขนของล่ะ วินเซนท์น้องรัก^^;”
คนเป็นน้องถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปที่ห้องของเธอทันที-*-เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำตัวเป็นเด็กสักทีนะนิสัยแบบนี้มันควรจะหมดไปตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้วไม่ใช่รึไง ปวดหัวชะมัด! ฉันเดินลงบันไดมาเพื่อเตรียมส่วนที่เหลือ หวังว่ากลับไปคราวนี้คงจะได้อยู่นานกว่าปกตินะเพราะยังไงก็ต้องกลับไปจัดการเรื่องราวคาราคาซังที่อยู่ทางนั้นให้เรียบร้อย
“หลานน่าจะไปถึงสนามบินตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วไม่ใช่เหรอเนซ”
“อาอเล็กซ์! ทำไมถึงตื่นเร็วจังล่ะค่ะ”
“อาไม่ยอมพลาดที่จะไปส่งหลานสาวที่รักอยู่แล้วน่ะสิ ^^”
“โถ่ หนูอายุ 4xx กว่าปีแล้วนะคะ ไม่ใช่ 10 ขวบซะหน่อยไม่เห็นต้องลำบากกันเลย”
"ลำบากอะไรกัน...แล้วนี่หลานติดต่อเพื่อนที่อยู่ทางนั้นได้แล้วเหรอ?"
"ยังไม่ได้คุยกันเลยกะจะไปเซอไพรส์นางน่ะค่ะ"
"ถ้าอาจำไม่ผิด...รู้สึกจะชื่อคินนี่รึเปล่านะ"
"คินซีย์ค่ะ ฮ่าๆคนที่มาหาเราเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วไงคะ"
"อ่ออ เด็กคนนั้นน่ะ...หลานสาวของ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ใช่ไหม?"
"ใช่แล้วค่ะ"
ทันใดนั้นเสียงอึกกระทึกคึกโครมก็ดังลงมาตามขั้นบันไดเป็นวินเซนท์นั่นเองฉันได้ยินเสียงบ่นของเขาตั้งแต่ยังไม่ลงบันไดมาเลยล่ะ =.=
“นี่พี่จะย้ายไปอยู่กี่ปีกันเนี่ยกระเป๋าเยอะชะมัด”
“-*- บ่นเป็นตาแก่ไปได้ วินซ์”
เขายกกระเป๋าพาดไหล่ประชดและแบกมันออกไปไว้ที่รถ เอิ่ม มันไม่ได้ดูหนักอย่างที่นายว่าเลยนะ
“มาแล้วจ้า เอาละ
นี่ใบสุดท้ายแล้ว” อามิเรียนาพูดพลางวางกระเป๋ารองเท้าอันสุดท้ายของฉันลง
“ขอโทษด้วยนะคะ
เพราะเมื่อคืนหนูมัวแต่ไปงานเลี้ยงของยัยดาร์แท้ๆเลยกลับมาเก็บของไม่ทัน”
“หลานจะไปทั้งทีนี่นาเพื่อนเขาก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
เมื่อคืนบรรดาเพื่อนสนิทพากันจัดงานเลี้ยงอำลาให้ซะยกใหญ่ ตอนแรกก็นึกว่าจะมีแต่กลุ่มฉันแต่ที่ไหนได้ยัยนั่นดันป่าวประกาศไปทั่วเลยกลายเป็นงานเลี้ยงซะใหญ่โตและกว่าจะกลับออกมาได้ ก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว แต่เพราะโชคช่วยหรืออะไรก็แล้วแต่พระอาทิตย์ดันโดนเมฆครึ้มบังจนหมดทำให้ฉันกลับมาบ้านได้โดยไม่ถูกเผาน่ะสิ
“งั้นรีบขนของขึ้นรถกันก่อนที่เมฆจะหายเถอะ”
อาอเล็กซ์กับวินเซนท์ทยอยขนกระเป๋าใบละเป็นตันของฉันขึ้นรถเหมือนกับว่ามันไม่ได้หนักอะไรเลยและจู่จู่ฉันก็เห็นอามิเรียน่ากำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถ...
“อาคะ...หนูนึกว่าจะให้วินเซนท์ไปส่งคนเดียวซะอีก”
“เราทั้งสองคนจะไม่ยอมพลาดไปส่งหลานแน่จ๊ะ
"โชคดีวันนี้เมฆหนาเนอะคงเป็นเพราะหน้าหนาวแน่” อาสาวยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงหรอกเรากลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่แถมวินซ์ก็เอารถไปติดฟิล์มกันแสงแล้วด้วยนะ”
อาอเล็กซ์เดินมาพูดเสริมดูท่าว่ายังไงก็จะไปส่งให้ได้สินะ
"โอ๊ะ ตายจริงอาลืมหยิบกล่องยาลงมาด้วย.."
"เดี๋ยวผมขึ้นไปหยิบให้เอง"
วินซ์อาสาวิ่งกลับเข้าไปเอาของในบ้าน
"อาจะต้องคิดถึงหลานมากแน่...ไม่ไปไม่ได้เหรอ?"
"..."
"เนซมั่นใจแล้วแน่เหรอที่จะกลับไป...ถึงเคยสนิทกันก็จริงแต่ยังไงเขาเป็นมนุษย์หมาป่านี่จริงไหม?"
"ก็ใช่ค่ะ...หนูแค่รู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ต้องไปจัดการเรื่องนี้จริงๆซะที"
อามิเรียนาพูดก่อนจะเริ่มน้ำตาคลอฉันเลยรีบเปลี่ยนบทสนทนาก่อนฉันจะร้องไห้ไปด้วยอีกคน
"..พ่อเป็นยังไงบ้างคะ?"
"นั่นสินะอาลืมเขาไปซะสนิทเลย"
"^^;"
"ที่รัก คุณจะลืมน้องชายคุณไปได้ยังไงล่ะ..."
"คุณก็...ก็ตอนเขาจำศีลยังไม่บอกใครเลยนี่นา" อามิเรียนาตอบฝ่ายตรงข้ามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เขาก็คงมีเหตุผลในแบบของเขานั่นแหละ"
"แต่หลานไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกถ้าถึงเวลาเราก็เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ^^"
"ขอบคุณนะคะอาอเล็กซ์"
"อ่ะนี่กล่องยา..ของพี่ใช่ไหมล่ะขี้ลืมจริงจริงเล้ย" สักพักวินซ์ก็กลับออกมาพร้อมกับของในมือก่อนจะยื่นให้ฉัน
“เอาล่ะ! รีบไปกันเถอะจ๊ะ”
-@ สนามบิน-
“แล้วก็อย่าลืมกินยา
รู้ไหม เอานี่อาเขียนเวลาทานยาไว้ให้หมดแล้วนะ แล้วก็..”
“ที่รัก หลานสาวคุณไม่เป็นไรหรอกคุณย้ำเรื่องนี้สามรอบเดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทันเอานะ”
“หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ ทั้งคู่…อีกอย่างถ้าคิดถึงก็แค่วีดีโอคอลมาหาก็ได้นี่ค่ะ”
“โอ้ยไอ้กล่องเหล็กนั่นน่ะ มีแต่จะทำให้ปวดหัวหนักกว่าเก่า”
“เดี๋ยวจะให้วินซ์สอนให้แล้วกันนะคะ ^^”
"จริงสิแล้วเหอหลงล่ะ หลานไม่พาไปด้วยเหรอ?"
"เขาบอกว่ามีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยเลยว่าจะตามมาทีหลังน่ะค่ะ"
"ดีแล้วล่ะนะ กำลังเป็นห่วงเลยว่าจะไม่มีใครตามไปดูแลหลานที่นู่น"
"ช่วยไม่ได้นี่ค่ะ เขาไม่ยอมยังไงก็ต้องตามไปให้ได้"
ในตอนที่พวกเราอำลากันอย่างไม่จบไม่สิ้นอยู่นั่นเองเสียงประกาศของสายการบินก็ช่วยฉันไว้พอดี
-ขณะนี้เที่ยวบินที่ xxx ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นขอให้ผู้โดยสารมาเช็คอินด้วยค่ะ-
“ต้องไปแล้วล่ะค่ะ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะ” อาอเล็กซ์ลูบหัวฉัน
“ถ้าไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้วก็กลับบ้านเราได้ทุกเมื่อเลยนะ” อามิเรียนาพูดก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาอีกรอบ
“ขอบคุณนะคะ...นายดูแลพวกท่านดีๆด้วยล่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า พี่เองก็อย่าเที่ยวไปมองคอใครเข้าล่ะ”
“เอ๋ เป็นห่วงฉันรึไงเจ้าน้องชายคนนี้นี่”
วินเซนท์ไม่ได้เถียงอะไรกลับมาถึงจะเป็นน้องที่ชอบต่อล้อต่อเถียงแต่ฉันก็รู้ว่าลึกๆแล้วเขาก็คงเป็นห่วงฉันอยู่บ้างแหละเรียกว่าอะไรนะ...รักนะแต่ไม่แสดงออกล่ะมั้ง ฮ่าๆ ฉันกอดทุกคนอีกครั้งก่อนที่จะออกเดินทางไปยังที่ที่จากมานานแสนนาน
*
*
*
‘เธอจะไปไหนน่ะ?’
‘ขอโทษนะ แต่ฉัน..@:&(/’
‘พูดอะไรน่ะ
ฉันไม่..ได้ยิน..เว..’
??? เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งใต้ร่างของหญิงสาวทั้งหลายที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงร่างหนึ่งลุกขึ้นมาก่อนจะคว้านหาที่มาของเสียงหนวกหูนั่น
“ว่าไง..พี่ชาย”
“ยูตะ...บอกทีว่าไม่ได้พึ่งตื่น”
ปลายสายที่ถูกเรียกว่าพี่นั้นถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายกับความไม่รู้จักโตของเขาและพอฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วเมื่อวานคงจะจัดปาร์ตี้อีกแน่ๆสักพักมาแล้วที่งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นทุกทุกวันเหมือนกับว่าไม่มีวันหยุดผู้คนมากมายทั้งคุ้นหน้าและแปลกหน้าก็ต่างพากันเข้าออกจากบ้านอยู่ตลอดทั้งหมดมันนานแค่ไหนแล้วนะ...5 ปีก่อนสินะ
“ยูโตะ?...”
“เอาเถอะประชุมเลื่อนเป็น 13.00 มาให้ทันแล้วกัน”
“อ่า..”
หลังจากวางสายแล้วเขาก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ได้เข้าบริษัทมาหลายวันแล้วทำให้พี่ชายต้องคอยอยู่ทำงานแทนจึงไม่แปลกใจเลยที่โดนถอนหายใจแรงใส่แบบนั้น อีกอย่างถ้าคิดจะหนีคงโดนบ่นหูชาแน่ส่วนเรื่องความฝันนั่นทำไมถึงฝันเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกันนะ อืม เอาไว้ก่อนตอนนี้รีบไปบริษัทก่อนจะโดนโทรมาตามดีกว่าอีกรอบดีกว่า
ในตอนที่เขาพยายามลุกออกจากเตียงอยู่นั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนเดินถือเครื่องดูดฝุ่นเข้ามาในห้อง
“รถมาถึงแล้วนะคะคุณยูตะ”
“ผมบอกแล้วไงครับว่าเรียกแค่ชื่อเฉยๆก็ได้”
“ให้ป้าเรียกอย่างนี้เถอะค่ะ”
“ครับๆตามใจป้า”
"แล้วทำอะไรอยู่คะเนี่ย"
คุณป้าเห็นท่าทางของยูตะค่อยค่อยเดินออกมาเพื่อไม่ให้แขกทั้งหลายตื่นแต่ถ้ามัวเดินแบบนี้ล่ะก็เขาต้องไปไม่ทันแน่ๆ
"เอ่อ...." ร่างหนึ่งพลิกขวางทางออกทำให้เขาชะงัก
"ตื่นได้แล้วค่ะทุกท่าน!!"
หญิงสาวตะโกนขึ้นแล้วเดินไปเปิดม่านออกเพื่อให้แสงสว่างลอดเข้ามา ดูเหมือนจะได้ผลแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งหลายค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นและโซฟาก่อนจะเริ่มหยิบข้าวของๆตนและทะยอยเดินออกจากบ้านกันไป
"ยูตะ คืนนี้ไวมาต่อกันอีกนะ" ร่างของหญิงสาวหันไปอ้อนเขาก่อนจะหยิบเสื้อมาสวม
"โทษที วันนี้คงไม่ได้หรอกมีนัดสำคัญน่ะ"
"เอ๋ อะไรกัน..."
"คุณผู้หญิงเชิญค่ะ"
ยังไม่ทันที่จะพูดจบคุณป้าก็ลากเธอออกจากที่นอนแล้วพาเธอออกไปนอกห้องก่อนที่จะปิดประตูใส่
"คุณยูตะจัดงานปาร์ตี้ติดกันมาเกือบอาทิตย์แล้วป้าว่าเพลาๆลงหน่อยก็ดีนะคะ"
"เอ๋ เกือบอาทิตย์เลยเหรอครับเนี่ย ผมนึกว่าไม่กี่วันเอง ^^"
"คุณล่ะก็..."
"คงไม่ได้จัดไปอีกสักพักแหละครับเพราะผมคงต้องนั่งเคลียร์กองงานอีกยาวเลย"
“ไม่กลับบ้านเหรอคะ?”
“อ่า ถ้ากลับตอนนี้พ่อกับแม่คงจะไม่ปลื้มเท่าไหร่มั้งครับ”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้ผู้ถามถึงกับทำสีหน้าสงสัยเพราะเขานั้นไม่กลับบ้านมาเป็นเวลาหลายปีแล้วจะมีก็แต่พี่ชายที่แวะกลับบ้านแค่ช่วงสำคัญๆเท่านั้น สาเหตุที่เขาเลือกตีตัวออกห่างนั่นก็เพราะทันทีที่รู้ว่าแม่ของพวกเขาวางแผนจะให้แต่งงานหลังเรียนจบ
เขาก็รีบชิ่งออกมาจากบ้านทันทียังไงยอมทำงานอยู่กับพี่ชายก็ดีซะกว่าต้องถูกจับแต่งงานแบบคลุมถุงชน
“ป้าเตรียมของไว้หมดทุกอย่างแล้วอาหารค่ำแค่เอาเข้าไมโครเวฟก็ทานได้แล้วค่ะ ส่วนเสื้อผ้าของคุณหนูยูโตะป้าก็พับเก็บเรียบร้อยแล้วเหมือนกันเห็นว่าคุณเขาน่าจะอยู่ที่บริษัทอีกหลายวัน”
“คร้าบบ จริงๆของพี่ทิ้งไว้อย่างนั้นเลยก็ได้ว่าแต่ว่า...ใกล้ถึงวันเพ็ญแล้วเหรอเนี่ย” ผมมองดูปฏิทินที่กำแพงเกือบจะลืมไปเลยว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันนั้นแล้ว
“แหม ลืมได้ยังไงกันอาทิตย์ที่จะถึงนี้แล้วนะคะตรงกับงานรวม...”
“ว๊าา งี้อีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะได้เจอป้าเลยสินะผมจะพยายามไม่ทำบ้านให้รกนะคร้าบ ^__^”
“ค่า ถ้าตั้งใจจะทำแล้วก็ทำให้ได้ด้วยนะคะ สงสารคนแก่อย่างป้ามั่ง”
“แฮะๆ แก่อะไรกันล่ะป้ายังเต่งยังตึงขนาดนี้” ผมหัวเราะแล้วเดินไปกอดป้า
“ค่าๆ ไปเถอะค่ะเดี๋ยวคุณอลันจะรอนานเอา”
“งั้นอาทิตย์หน้าเจอกันครับ” ชายหนุ่มโบกมือลาเธอก่อนจะขึ้นรถไปบริษัท
*
*
*
ก๊อก ก๊อก เสียงประตูดังขึ้น หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารมากมายก่อนจะวางลงบนโต๊ะของเขา
“ท่านประธาน นี่ค่ะเอกสารที่คุณขอแล้วก็ตอนนี้คณะกรรมการมารอกันอยู่ที่ห้องประชุมกันครบแล้วนะคะ”
"ขอบคุณครับ"
"เดี๋ยวดิฉันไปชงกาแฟมาให้ใหม่นะคะ"
“ไม่เป็นไร..."
"แล้วก็...คุณหญิงแจ้งให้โทรกลับด้วยน่ะค่ะ"
"แม่เหรอ?...ได้บอกรึเปล่าว่าเรื่องอะไร"
"เหมือนว่าจะเป็นเรื่องงานของเดือนหน้าค่ะ"
"งาน?..ของที่บ้านเหรอ"
"งานรวมญาติไงคะท่านประธาน"
"อ่า จริงด้วยสิผมลืมไปเลยทั้งทั้งที่คุณพึ่งเตือนไปเมื่อไม่วันก่อนนี่เองแท้ๆ"
"ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวดิฉันอัพเดตตารางงานแล้วจะส่งให้ท่านอีกรอบนะคะ"
"ขอบคุณครับ....แล้วยูตะล่ะ?”
“คุณอลันแจ้งว่ากำลังขึ้นมาค่ะจะให้ไปรับไหมคะ?”
“อ่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมตามไป”
งานวันรวมญาติเดือนหน้าแล้วเหรอลืมไปสนิทเลยเราคงเพราะว่าช่วงนี้ทำงานหนักแล้วไหนจะไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันอีกด้วยถ้าไม่เพราะเจ้าน้องชายชอบโดดงานบ่อยๆคงมีเวลาว่างได้ไปทำเรื่องที่ค้างคาไว้บ้างแล้ว เจ้ายูตะอุตส่าห์เตือนว่าอย่าปาร์ตี้ให้มันมากนักแต่มันเคยฟังกันซะที่ไหนมีแต่จะหนักขึ้นกว่าเดิม นี่ฉันเป็นพี่หรือพ่อมันชักจะเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วสิ
??? ผมรีบรับสายทันทีที่เห็นว่าใครโทรมา
(ว่าไง)
(มีคนของเราจากสนามบินแจ้งมาว่าเห็นคนคล้ายกับบุคคลที่ท่านแจ้งไว้เลยครับ)
(มั่นใจแค่ไหน)
(90% ครับ)
“....”
(จะให้ทำยังไงดีครับ)
(ตามต่อไป อย่าพึ่งทำอะไร)
(รับทราบครับ)
แกร๊บ! เขาเผลอวางมือถือลงอย่างแรงจนทำให้หน้าจอโทรศัพท์นั้นแตกดูเหมือนว่าหัวใจของเขากำลังเต้นเร็วขึ้นผิดปกติ ความรู้สึกนี้มันคือตื่นเต้น?ดีใจ?หรือว่าโกรธกันแน่ล่ะ แต่ว่าทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นสมองของผมก็ขาวโพลนไปหมด… ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ขาดการติดต่อ 5 ปีที่หายไปเฉยๆ นั่นมันก็ตั้ง 5 ปี…อย่างน้อยถ้าเธอบอกฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้น....
“แล้วอะไรทำให้เธอเลือกที่จะกลับมาตอนนี้กันนะ”