หลี่หงอี้ที่เพิ่งจะถอดเสื้อออกก็หันมายังต้นเสียงที่แลดูตื่นตกใจนั้น เขาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้มือเรียวบางคู่นั้นปิดที่ดวงตาของตัวเอง
“เจ้าจะปิดตาไปทำไมกัน มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนะ”
“ท่านว่าอะไรนะ”
หยวนจือหลินค่อยๆ เปิดตาออกมาทีละนิดจนเห็นว่าเขาหันหน้ามามองที่นางแล้ว แผ่นอกเปลือยเปล่ากับผิวสีน้ำผึ้งที่มีมัดกล้ามแน่นๆดูเป็นลอนสวย หยวนจือหลินกลืนน้ำลายเล็กน้อยน่าเสียดายที่เขาถอดเพียงช่วงบนน่าจะถอดช่วงล่างไปด้วยเสียเลย ฮิๆ
“ยิ้มอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคือว่าข้า..ความจริงข้าตั้งใจจะมาเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านจัดการเองแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ”
“เดี๋ยวสิ!”
หลี่หงอี้คว้าเอวของนางมากอดเอาไว้แน่น
“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ”
“ข้าโกรธอะไรท่านเรื่องอะไรงั้นหรือ”
“ก็เรื่องที่ข้าต่อว่าใต้เท้าเจิ้งอย่างไรเล่าเจ้าไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”
“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วยล่ะ แล้วใต้เท้าอะไรนั่นก็เป็นคนนอกครอบครัวนะเจ้าคะท่านเลิกพูดถึงเขาเสียทีสิ”
“ก็ได้ๆ”
ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของบุตรชายตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือขอรับ”
อาเฟยอาชิงที่โผล่หน้าเข้ามาในห้องแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงก่อนทำให้ทั้งคู่รีบผละออกจากกันด้วยความรวดเร็ว
“ทะ ท่านรีบไปอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ ลูกๆ คงจะหิวข้าวกันแล้ว”
“ได้ๆ”
หยวนจือหลินรีบดึงแขนของเด็กทั้งคู่ออกไปจากห้องทันทีภายใต้สายตาอันอ่อนโยนของหลี่หงอี้
เขารู้สึกว่าตั้งแต่ที่กลับมาบ้านในครั้งนี้นางก็ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
‘นางใช่หยวนจือหลินที่เขารู้จักจริงๆ หรือไม่นะ’
-เช้าวันถัดมา-
หลังจากทำอาหารเช้าให้เด็กๆ และสามีเสร็จเรียบร้อยแล้วหยวนจือหลินก็ออกมานั่งรับลมตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนข้างเรือนเพียงลำพัง นางกำลังนั่งคัดเมล็ดพันธ์ผักเพื่อใช้ปลูกลงแปลงผัก เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ทำให้นางเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นสามีของนางนั่นเอง
“เจ้าทำอะไรอยู่หรือหลินเอ๋อร์”
“ข้ากำลังคัดเมล็ดผักเอาไว้ปลูกผักเจ้าค่ะ บ้านของเรามีพื้นที่กว้างขวางถึงเพียงนี้ไม่ใช้ประโยชน์เลยคงเสียดายแย่เลย”
“เมล็ดผักงั้นหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามีของพวกนี้ด้วย”
“คือว่า”
“ช่างเถอะแล้วทำอย่างไรบ้างให้ข้าช่วยหรือไม่”
“ท่านช่วยพรวนดินตรงนี้ไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปเตรียมน้ำมาไว้รดหน้าดิน”
“เดี๋ยวสิหลินเอ๋อร์ถังใส่น้ำมันหนักนะ เช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ตรงนี้แหล่ะข้าจะไปตามคนมาช่วย”
“ใครหรือเจ้าคะ”
“ก็…ชาวบ้านแถวนี้ที่เคยไปขึ้นเขาด้วยกันกับข้านี่แหล่ะ เจ้ารอข้าครู่เดียวเดี๋ยวข้ากลับมา”
“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปดูลูกๆ ก่อน”
“อืม”
หยวนจือหลินยิ้มหวานให้เขาไปทีหนึ่งก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าไปในเรือน หลี่หงอี้รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้นช่างหอมหวานขึ้นมากจริงๆ เขาตัดใจเลิกมองตามแผ่นหลังตรงสวยของนางก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูรั้วหมายจะออกไปเรียกคนมาช่วยทำแปลงผัก
หยวนจือหลินที่ตอนนี้อยู่กับเด็กๆ ที่ระเบียงหน้าบ้านนางนั่งบนเก้าอี้แล้วนำหนังสือที่ซื้อจากเพื่อนบ้านระแวกนั้นออกมาเพื่อสอนหนังสือให้กับเด็กๆ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นสามีที่กำลังจัดการแปลงผักให้นาง มีบุรุษอีกสองคนมาช่วยกันปลูกผักอย่างขะมักเขม้นไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันเลยแม้เพียงนิด
‘จะว่าไปแล้วท่านพี่ไปหาคนมาจากไหนกันถึงได้เร็วเพียงนี้นะ เหมือนยืนอยู่หน้าบ้านของเราอย่างไรอย่างนั้นล่ะ’
หยวนจือหลินเลิกสนใจพวกเขานางสอนตั้งใจหนังสือเด็กๆ ต่อและคัดเมล็ดผักไปด้วย
หลังจากทั้งสามจัดการหน้าดินเสร็จหยวนจือหลินก็นำเมล็ดพันธุ์ผักไปฝังลงดินรดน้ำพอชุ่มเป็นอันเรียบร้อย
ส่วนแปลงด้านข้างนางให้หลี่หงอี้ทำแผงไม้สำหรับปลูกถั่วฝักยาว ตำลึง นางปลูกพริกและข้าวโพดบางส่วนในที่ดินข้างๆกันด้วย
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำงานเช่นนี้ก็เป็นด้วย”
“ทำไมหรือเจ้าคะคนเราเมื่อเติบโตขึ้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาอะไรที่ไม่เคยทำก็ลงมือทำเสีย เกิดมาทั้งทีจะให้นั่งๆ นอนๆ เท่านั้นได้อย่างไรเจ้าคะเสียดายเวลาพอดี”
“ฮึ..เจ้าไม่เหมือนหยวนจือหลินคนก่อนเลยนะ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าหมายถึงเจ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีแต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”
หยวนจือหลินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่หงอี้ก็เห็นว่าเขายิ้มให้นางอยู่ก่อนแล้ว แต่ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่หล่อกระชากใจเช่นนี้กันนะ
‘ไม่ได้ๆ นั่นสามีของคนอื่นนะหยวนจือหลิน เฮ้อ…จะว่าไปแล้วหากว่าเจ้าของร่างเดิมนี้กลับมาแล้วข้าจะเป็นอย่างไรกันนะ หากวิญญาณหลุดออกจากร่างครั้งนี้ก็คงต้องกลายไปเป็นผีเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ’
“เจ้าไปพักก่อนเถอะทางนี้พวกข้าจะจัดการเอง”
“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมอาหารไว้รอพวกท่านนะเจ้าคะ”
“อืม”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป[1]
“ท่านพี่ไปกินข้าวกันได้แล้วเจ้าค่ะ พวกท่านด้วยนะเจ้าคะ”
“ฮูหยินให้พวกข้าร่วมโต๊ะด้วยหรือขอรับ”
“แน่นอนสิข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนพวกท่าน เช่นนั้นก็อยู่กินข้าวด้วยกันนั่นแหล่ะเจ้าค่ะ”
บุรุษทั้งสองคนนั้นยิ้มออกมาทันทีก่อนจะหันไปมองหลี่หงอี้เป็นเชิงขออนุญาตก็เห็นเพียงเขาพยักหน้าตอบกลับมาเท่านั้น
พวกเขาฉีกยิ้มกว้างก่อนจะรีบเดินไปล้างมือแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารทันที กลิ่นหอมๆ ของอาหารบนโต๊ะเรียกน้ำลายของทุกคนได้เป็นอย่างดี
“นั่งเถอะเจ้าค่ะ”
“หอมมากเลยขอรับ”
“กินให้อร่อยนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นพวกข้าไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ”
หยวนจือหลินพยักหน้าให้พวกเขาก่อนจะหันไปมองเจ้าก้อนแป้งทั้งสองที่เอาแต่นั่งมองผู้มาเยือนใหม่สองคนนั้น
“พวกเจ้าก็กินกันได้แล้ว” หยวนจือหลินเอ่ยปากบอกเด็กๆ ทั้งสองคนอย่างนึกเอ็นดูที่เอาแต่จ้องหน้าบุรุษแปลกหน้าทั้งสอง
“ขอรับ / เจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินมองคนนั้นทีคนนั้นทีเห็นพวกเขากินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
“ท่านพี่ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ”
“ขอบใจนะหลินเอ๋อร์ เจ้าเองก็กินเยอะๆ ล่ะตัวเจ้าผอมจนจะปลิวตามแรงลมได้อยู่แล้ว”
“ท่านก็พูดเป็นเล่นไป กินข้าวได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หงอี้ส่งยิ้มให้ภรรยาของเขาภายใต้สายตาที่จับจ้องมองของบุรุษตรงหน้าทั้งสองคน
“ช่างน่าอิจฉานายท่านเสียจริง”
“หุบปากน่า!”
“ท่านพี่พูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะเสียมารยาทจริงๆ ขออภัยพวกท่านด้วยสามีของข้าวาจาช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“ข้าไม่ถือสาขอรับฮูหยิน”
เวลานี้หลี่หงอี้ไม่ว่าจะพูดอะไรทำอะไรก็ดูขัดใจนางไปหมดเขาจึงได้แต่เงียบปากเอาไว้เท่านั้น
“ท่านแม่ขอรับพวกข้าขอกินขนมนั่นอีกได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิจ๊ะแต่กินเสร็จแล้วต้องแปรงฟันด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ เย่ๆ”
“ดูสิเด็กๆ ดีใจกระโดดโลดเต้นกันยกใหญ่เลยน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง”
ตั้งแต่ภรรยาของเขาเปลี่ยนไปหลี่หงอี้ก็รู้สึกว่าบรรยากาศของเรือนนี้อบอวลไปด้วยความสุข สุขที่เป็นสุขจริงๆ เสียที
- - - - - - - - - -
[1] ครึ่งชั่วยาม = 1 ชั่วโมง