ตอนที่ 4 มิติวิเศษ

1723 Words
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ” เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน” “อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่” หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที “เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่” สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการ นางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย ‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’ หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม “ท่านแม่!” “ว๊ายตาเถร!” “เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ” “ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้าตกใจหมดเลย” “ก็ข้าเรียกท่านแม่ตั้งนานแล้ว เมื่อครู่ก็เพิ่งจะเข้ามาข้างในแต่กลับไม่เห็นท่านเลยเจ้าค่ะ” “คือว่า…ข้าออกไปหาของมาทำอาหารให้พวกเจ้าน่ะ หิวมากงั้นหรือ?” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็รออีกครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ” “ได้เจ้าค่ะ อาชิงจะไปรอท่านแม่ข้างนอกนะเจ้าคะ” “อืม ไปเถอะ” หยวนจือหลินหันหลังกลับไปปรุงอาหารต่อไม่นานก็ยกหม้อข้าวต้มที่ทำเสร็จแล้วลงจากเตาไฟแล้วตักใส่ชามให้เด็กๆ คนละชาม ไม่ลืมที่จะตักเผื่อไว้ให้สามีของเจ้าของร่างนี้อีกด้วย นางหยิบเอาชามข้าวต้มวางไว้ในถาดไม้แล้วปิดฝาไว้ก่อนจะยกออกไปยังห้องโถงของบ้าน เด็กๆ ทั้งสองคนนั่งหันหลังบนเก้าอี้จึงไม่เห็นว่านางเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ “อาเฟย” “ทะ ท่านแม่!” “เรียกแค่นี้เจ้าต้องตกใจด้วยงั้นหรือ” “คือว่าข้า…” “มากินข้าวได้แล้ว” “ขอรับ” “ท่านพ่อของพวกเจ้าจะกลับมาตอนไหนหรือ” “ยามอู่[1] ก็กลับแล้วขอรับท่านแม่” “เช่นนั้นพวกเจ้าก็กินกันไปก่อนเลยหากว่ากินเสร็จแล้วก็เอาชามข้าวไปวางไว้ในถังน้ำ ข้าจะล้างเองเข้าใจหรือไม่” “ขอรับ / เจ้าค่ะ” หยวนจือหลินลุกขึ้นและหยิบเอาชามข้าวที่ตักเผื่อหลี่หงอี้ติดมือมาด้วย นางยกซดทีละนิดก่อนจะเดินสำรวจบ้านหลังนี้ไปจนทั่วอีกครั้ง นางเดินมาจนถึงห้องที่คาดว่าเอาไว้เก็บของเมื่อเข้าไปดูก็เห็นว่าภายในห้องนั้นมีหีบไม้เก่าๆ หลายใบวางซ้อนกันเอาไว้บางใบมีการตกแต่งด้วยลวดลายทองและมังกร เมื่อเปิดดูภายในกลับพบว่ามีเครื่องลายครามเก่าๆ ถูกวางอยู่ในหีบอย่างเป็นระเบียบ ‘ของพวกนี้มันควรที่จะเป็นของคนที่มีฐานะที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมีมันอยู่กับตัวกันเล่าดูเหมือนจะไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมานานแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ’ เพราะความทรงจำบางส่วนที่ขาดหายไปทำให้หยวนจือหลินยืนงงงวยกับภาพตรงหน้าที่เห็นเพราะของใช้บางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเก็บ ‘พวกเขาจะเก็บเอาไว้ทำไมกันนะปลวกได้แทะบ้านพังพอดี ในเมื่อตอนนี้ข้าคือเจ้าของร่างๆ นี้แล้ว เช่นนั้นก็ขอจัดระเบียบหน่อยก็แล้วกันนะ รกหูรกตาเสียจริง’ หากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่ผิดเพี้ยนไปบ้านหลังนี้น่าจะเป็นเรือนหอที่หลี่หงอี้ใช้เงินก้อนสุดท้ายของเขาซื้อไว้เพื่อพานางมาอยู่ด้วย สมบัติชิ้นนี้จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในครอบครัวของพวกเขาแล้ว แม้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็ไม่ได้เก่าซอมซ่อจนถึงกับจะอยู่กันไม่ได้แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้สกปรกเช่นนี้ ข้าวของที่หักพังเสียหายไปแล้วกลับไม่มีผู้ใดเก็บทิ้งไปเสียอย่างนั้น หยวนจือหลินคนเก่าผู้นั้นคงจะเกียจคร้านน่าดูถึงได้ปล่อยให้บ้านรกรุงรังถึงเพียงนี้ทั้งยังไม่ดูแลสามีและลูกๆ ที่น่ารักให้ดีอีก ในทุกยุคทุกสมัยจะไปหาบุรษที่ซื่อสัตย์และรักจริงเช่นนี้ได้จากที่ไหนกัน หยวนจือหลินนะหยวนจือหลินเจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง นางบ่นๆ ในใจเพียงลำพังก่อนจะวางชามข้าวไว้ในถังใส่น้ำเพื่อเตรียมล้างพร้อมกันกับชามของเด็กๆ นางเดินไปตักน้ำใส่ไว้ในถังอีกใบเพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ‘ในเมื่อข้าเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าแล้ว ก็ขอทำอะไรตามใจตัวเองบ้างแล้วกันนะ’ หยวนจือหลินเริ่มยกสิ่งของที่คาดว่าจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้อีกแล้วขนออกมาวางไว้ตรงลานว่างหน้าบ้านทีละชิ้น เมื่อเด็กๆ ทั้งสองได้ยินเสียงของแตกหักพังและเสียงดังโครมๆ อยู่หน้าบ้านจึงรีบวิ่งมาดูก็เห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังขนของออกมาจากบ้านเยอะแยะมากมาย เด็กๆ ทั้งสองได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองนางด้วยความสงสัย “ท่านแม่จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” อาชิงรีบวิ่งเข้ามาหาหยวนจือหลินทันทีที่เห็นนางเริ่มยกของออกมาจากบ้านอีกแล้ว “ท่านแม่จะทิ้งพวกข้าไปอีกแล้วหรือเจ้าคะ” “ทิ้งอะไรของเจ้า อะ..โอ๊ย! หลังข้า” “ท่านแม่! / ท่านแม่!” “ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับ ข้านวดให้นะขอรับ” “ไม่เป็นอะไรก็แค่ยกของหนักไปหน่อยน่ะ” หยวนจือหลินค่อยๆ นั่งลงตรงบันไดหน้าบ้านโดยมีเด็กๆ ทั้งสองใช้มือเล็กๆ ทุบที่หลังให้ “หลินเอ๋อร์!!” เสียงทุ้มที่ดูจะตื่นตกใจของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูรั้วบ้าน หยวนจือหลินหันไปมองช้าๆ นอกจากเอวจะเคล็ดแล้วคอของนางก็น่าจะเคล็ดไปด้วยแล้วกระมัง ‘ปวดฉิบหายเลย’ ‘โฮกกก!...นั่นใช่สามีของหยวนจือหลินจริงๆ น่ะหรือ หล่อเหลาไม่ใช่เล่นเลยแฮะ’ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ช่างสง่างามเสียจริง ใบหน้าของเขาคมเข้มแต่กลับมีผิวที่เนียนละเอียด ดวงตาคมคายมีนัยน์ตาสีดำลึกซึ้งราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนดูแล้วมีเสน่ห์ยิ่งนัก ‘จะหลงรักสามีของคนอื่นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าของร่างกลับมานางไม่แย่หรือ’ “ทะ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือเจ้าคะ” “หลินเอ๋อร์เจ้าทำอะไรหรือ เจ้าจะทิ้งข้ากับลูกไปอีกแล้วหรือ” “ทิ้งอะไรของท่านกันหากข้าจะไปไหนมาไหนก็ต้องแบกของพวกนี้ไปด้วยเช่นนั้นหรือ อะ..โอ้ย! หลังข้า” “หลินเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” “ข้าแบกของพวกนี้จนปวดหลังไปหมดแล้วดูสิเอวของข้าก็น่าจะเคล็ดไปแล้วด้วย ท่านมาก็ดีแล้วของที่ข้ากองทิ้งไว้ตรงหน้าประตูนั่นท่านช่วยขนไปวางไว้ตรงลานหน้าบ้านให้หมดเลยนะเจ้าคะ” “เจ้าจะทำอะไรหรือ?” “เผาทิ้งน่ะสิถามมาได้” “อะไรนะ!” เสียงอุทานด้วยความตกใจของทั้งสามคนดังขึ้นข้างๆ หูของนางจนหยวนจือหลินต้องรีบปิดหูเอาไว้ “ตกใจอะไรกันก็ของพวกนี้เก่ามากแล้วใช้ประโยชน์ก็ไม่ได้จะเก็บไว้ทำไมกันเล่า” “แต่นี่เป็นของที่เจ้ารักมากเลยนะ” “รักมากแต่ใช้ไม่ได้ข้าก็ไม่ต้องการ อ้าว! ช้าอยู่ทำไมไปขนมาสิเจ้าคะ” “รู้แล้วๆ” หลี่หงอี้รีบวิ่งเข้าไปในบ้านก่อนจะขนของที่หยวนจือหลินคัดออกมาทิ้งไว้กลางลานหน้าบ้านจนหมด “ท่านจุดไฟเผามันทีข้าจุดไม่เป็น” “เผาเลยหรือ” “หรือท่านจะเก็บเอาไว้เผาพร้อมท่านกันเล่า” “แฮะๆ ไม่ดีกว่า” หลี่หงอี้ลงมือจุดไฟเผาของใช้เก่าๆ เพียงครู่เดียวไฟก็ลุกท่วมจนเผาของทั้งหมดมอดไหม้ในเวลาไม่นาน ‘ตอนข้าจุดไฟเองเล่นเอาเหงื่อท่วมตัวไปเลย แต่เหตุใดเขาจุดเพียงครั้งเดียวก็ติดแล้วล่ะ’ ‘เอาล่ะในเมื่อจัดการเก็บกวาดบ้านเรียบร้อยแล้วต่อไปก็คงต้องคิดวิธีหาเงินเข้าบ้านเสียแล้ว’ หยวนจือหลินค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะบิดแขนไปมาแล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านทันทีท่ามกลางสายตาที่งุนงงของสามพ่อลูก “ท่านแม่ของพวกเจ้าดูแปลกๆ ไปนะ” “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือขอรับท่านพ่อ” จากนั้นอาเฟยก็เล่าให้บิดาของเขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับผู้เป็นมารดาของพวกเขา หลี่หงอี้เองที่ยังคงสงสัยในตัวของภรรยาอยู่ก็คิดตามที่ลูกชายบอก ‘จริงสินะหยวนจือหลินที่เป็นแบบนี้ก็ยังดีกว่าหยวนจือหลินคนก่อนเยอะเลยทีเดียว’ จากนั้นสามพ่อลูกก็ก้าวเท้าเดินตามนางเข้าไปในบ้านพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขยิ่งนัก - - - - - - - - - - - - [1] ยามอู่ = 11.00-13.00 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD