ตอนที่ 1 ทะลุมิติ

1091 Words
ยามเหม่า[1] “ท่านพี่เหตุใดท่านแม่ถึงได้นอนนิ่งไปเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะนางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่” “ก็ต้องตื่นอยู่แล้วสิ เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกนะหากท่านแม่ได้ยินเจ้าจะแย่เอาได้” “ข้าแค่เป็นห่วงท่านแม่ก็เท่านั้นเอง” เด็กน้อยสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้านข้างผู้เป็นมารดาของพวกเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนั้นได้สิ้นใจไปนานแล้ว ขณะที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามกอดปลอบน้องสาวของเขาอยู่นั้นก็เป็นต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงเมื่อผู้เป็นมารดาอยู่ๆ ก็ตะโกนร้องออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งคู่ “ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…” เด็กน้อยทั้งสองกอดกันแน่นแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่พวกเขาทั้งคู่ฟังแล้วไม่คุ้นหูถึงกลับต้องหันมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมา “ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ?” “ไม่รู้สิ” อาการหนักอึ้งที่ขมับข้างศรีษะทำให้หยวนจือหลินลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดจนภาพตรงหน้าที่พร่าเลือนปรากฏให้เห็นเป็นเด็กชายหญิงสองคนอายุราวๆ สี่ห้าขวบกำลังยืนจ้องมองเธออยู่ ‘นั่นใครกันล่ะเนี่ย นี่ฉันยังไม่ตายงั้นหรือ’ หยวนจือหลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแต่ก็ยังคงมองเห็นเด็กทั้งสองคนยังยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าของพวกเขาเองก็ดูจะงุนงงไม่ต่างจากเธอเลยสักเพียงนิด ทันใดนั้นหยวนจือหลินก็คิดขึ้นมาได้ว่าที่เธอเห็นอยู่นี้ไม่น่าจะใช่ความฝันจึงรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนทันทีและเพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนั้นส่งผลให้เธอหน้ามืดและรู้สึกปวดที่ขมับข้างศรีษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง “โอ๊ย! ทำไมปวดหัวแบบนี้กันล่ะเนี่ย!” “ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ็บตรงไหนเจ้าคะ” “ท่านแม่งั้นหรือ” หยวนจือหลินที่กำลังกอบกุมศรีษะอยู่นั้นก็ฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้นางมองข้ามเด็กน้อยทั้งสองคนไปยังบริเวณรอบๆ ห้องนอนกลับต้องงุนงงยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ใช่ห้องพักของเธอ! ‘ที่นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย แล้วเด็กสองคนนี้เป็นใครกัน?’ ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่รวมไปถึงเสื้อผ้าของนางเองเป็นชุดของคนโบราณนี่นา 'นี่เธอหลุดมาอยู่ในนิยายอย่างที่เขาว่าทะลุมิติมาจริงๆ งั้นหรือ?' ‘ให้ตายสิ เคยเห็นแค่ในนิยายไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ หรือว่าฝัน? ฝันอยู่ใช่มั้ยนะ?’ หยวนจือหลินตบไปที่ใบหน้าอย่างแรงประหนึ่งอยากให้ตนเองรีบตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่เสียทีแต่ความเจ็บแสบบนใบหน้าก็ทำให้เธอถึงกับส่งเสียงร้องออกมาดังๆ ทันที “โอ๊ย! เจ็บจริงนี่นานี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” “ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับท่านตีตัวเองทำไม” หยวนจือหลินหันกลับมาสำรวจเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยแทบจะเบะปากร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “พวกเจ้าเป็นใคร?” “ฮึก…ท่านพี่ท่านแม่ลืมข้าไปแล้ว” “โอ๋ๆไม่ใช่หรอก ตอนที่ท่านแม่ลื่นล้มหัวของท่านแม่ฟาดลงบนพื้นห้องอาจจะเลอะเลือนไปบ้างเจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไปเลยนะ” “ท่านแม่ขอรับ จำข้าได้หรือไม่ขอรับ” เด็กชายที่กำลังยืนปลอบใจผู้เป็นน้องสาวอยู่นั้น อยู่ๆ ก็หันมาถามนางต่อ หยวนจือหลินเอียงศรีษะมองคนตรงหน้าก่อนจะพยายามทบทวนความทรงจำที่พอจะนึกขึ้นได้อีกครั้ง เธอจำได้ว่าตนเองไปเที่ยวสวนสัตว์ในเมืองใกล้ๆ ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงปักกิ่งที่เธออาศัยอยู่แต่ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นบรรดาสัตว์น้อยใหญ่เกิดคลุ้มคลั่งแล้วหลุดออกจากกรงขังตรงเข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวกันไปทั่ว หยวนจือหลินเองก็รีบวิ่งเพื่อจะออกจากสวนสัตว์ให้เร็วที่สุดแต่ระหว่างทางนั้นเธอกลับถูกใครบางคนผลักจนตกลงไปในแม่น้ำ ช่วงชลมุนที่ทุกคนต่างต้องเอาชีวิตรอดจึงไม่มีใครสนใจเธอที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือและเวลาไม่นานในที่สุดเธอก็จมลงไปยังก้นแม่น้ำและมาโผล่ในที่แห่งนี้ 'มิติโบร่ำโบราณเช่นนี้เนี่ยนะ!' 'เธอตายไปแล้วจริงๆ น่ะหรือตายแล้ววิญญาณก็มาอยู่ในร่างของคนอื่นในอีกมิติเนี่ยนะ? ให้ตายสิเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!’ หยวนจือหลินรีบลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะข้างเตียงนอนที่มีกระจกเงาทองเหลืองใบใหญ่ตั้งเอาไว้หนึ่งบาน ‘อืม ใบหน้าและรูปร่างนี้ช่างเหมือนกับฉันไม่มีผิดเพี้ยนเลยเสียจริง’ เธอถอยหลังนั่งลงบนเตียงดังเดิมคิดทบทวนเรื่องราวต่อไปอีกสักพักแต่กลับไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนี้เข้ามาเลยสักเพียงนิด “อะไรกันเนี่ย! ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” “ท่านแม่ท่านไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วหรือเจ้าคะท่านแม่จะทิ้งอาชิงไปหรือ” “มะ ไม่ใช่อย่างนั้น ฉัน…ไม่ใช่สิคือข้าหมายถึง…” “โธ่เอ้ย! พวกเจ้าสองคนออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะให้ข้าคิดอะไรคนเดียวก่อนได้หรือไม่” “ก็ได้ขอรับ หากท่านแม่อยากได้อะไรเรียกข้าได้เลยข้าจะรออยู่ด้านนอก” “อืม” “ไปกันเถอะอาชิง” “เจ้าค่ะ” อาชิงหันหลังออกไปนอกห้องตามคำสั่งของผู้เป็นพี่ชายแต่ก็ยังดูจะเป็นห่วงผู้เป็นมารดาอยู่ไม่น้อย ถึงกับต้องหันหลังกลับมามองนางอยู่บ่อยครั้ง คล้อยหลังเด็กทั้งสองออกไปจากห้องแล้วหยวนจือหลินก็ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่เพียงลำพัง 'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!' - - - - - - - - - - - - - [1] ยามเหม่า = 05.00-06.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD