ยามซวี[1]
เมื่อหยวนจือหลินส่งเด็กๆ ทั้งสองเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรับลมเล่นที่ระเบียงหน้าบ้าน บนท้องฟ้ายามมืดมิดในเวลานี้มีแสงจากดวงดาวท่ามกลางดวงจันทร์ที่เปล่งประกายงดงามท่ามกลางความเงียบเหงาความรู้สึกหลายหลายอย่างก็ประเดประดังเข้ามาไม่รู้จบสิ้น
ใจหนึ่งของนางก็คิดถึงบ้านที่จากมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว
หยวนจือหลินเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างความรู้สึกผูกพันธ์กับคนที่นี่นักเพราะหากเจ้าของร่างเดิมนี้กลับมาได้จริงๆ ตัวของนางคงจะทำใจลำบากอย่างแน่นอน
แต่ในเมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้วนางก็จะตั้งใจช่วยปรับปรุงบ้านหลังนี้และสร้างชีวิตดีๆ ให้กับเด็กๆ และสามีป้ายแดงของนางก่อนที่นางจะได้กลับบ้านไปจริงๆ
“หลินเอ๋อร์เป็นอะไรไปคิดอะไรอยู่หรือ”
“ท่านพี่เองหรอกหรือเจ้าคะ"
"แล้วคิดว่าใครกันเล่า ว่าอย่างไรข้าเห็นเจ้าเอาแต่นั่งเหม่อเป็นอะไรไปงั้นหรือ"
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะข้าก็เพียงแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เท่านั้น ท่านพี่บ้านของเราเวลานี้มีเงินหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็พอมีอยู่บ้างไม่ได้ลำบากมากถึงกับไม่มีอะไรจะกิน เจ้าถามทำไมหรือ”
'ไม่ลำบากมากอย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่นางจำได้แม้แต่ข้าวสารก็เกือบจะหมดไปแล้วไหนจะเครื่องปรุงที่ควรจะมีติดบ้านก็แทบไม่เหลืออยู่เลยแบบนี้น่ะหรือที่ว่าไม่ลำบาก'
'หรือเพราะหยวนจือหลินคนเก่าไม่ยอมซื้ออะไรเข้าบ้านเลยอย่างนั้นหรือ'
"เช่นนั้นมีพอที่จะให้ข้าเปิดร้านขายอาหารหรือไม่เจ้าคะ"
"เปิดร้านขายอาหารงั้นหรือ"
"เจ้าค่ะ"
"หากต้องไปเช่าร้านในเมืองก็ต้องใช้เงินอยู่หลายพันตำลึงเลยนะ แต่หากเจ้าต้องการข้าก็หาให้ได้"
แววตาของเขาที่มองมายังนางนั้นมีแต่ความอ่อนโยน
'เหตุใดหยวนจือหลินผู้นั้นถึงได้รังเกียจสามีคนนี้นักนะไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดเดียว'
"ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะข้าคิดเอาไว้ว่าจะเปิดร้านขายอาหารที่หน้าบ้านของเรานี่เองไม่ต้องไปเช่าใครเขาหรอกนะเจ้าคะ”
“หน้าบ้านเราเนี่ยนะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทำไมหรือ”
“ก็…เจ้าไม่ต้องทำหรอกน่าข้าเลี้ยงเจ้าได้สบายอยู่แล้วอีกอย่างเจ้าต้องดูแลเด็กๆ ทั้งสองคนนั้นอีกข้าแค่เพียงกลัวว่าเจ้าจะทำไม่ไหว อีกอย่างหากวันไหนที่ข้าต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์แล้วใครจะช่วยเจ้ากันเล่า”
“ข้าทำได้เจ้าค่ะ หากว่าท่านเป็นห่วงเวลาไม่อยู่ก็หาคนมาช่วยข้าสิเจ้าคะข้าแค่อยากช่วยท่านทำงานหาเงินเข้าบ้านก็เท่านั้นเอง หากไม่ทำตอนนี้ข้าก็กลัวว่าวันข้างหน้าจะไม่มีโอกาสได้ทำเสียแล้ว”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นกันเล่าไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดมีหรือที่ข้าจะทำให้ไม่ได้”
“ข้าถึงต้องมาปรึกษาท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
หลี่หงอี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมให้นางเลิกล้มความคิดนี้อย่างไรก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้นางหาเหตุผลมาอธิบายกับเขามากขึ้น
‘เปิดร้ายขายอาหารเช่นนั้นหรือ นั่นเท่ากับว่านางต้องพบเจอคนมากมายน่ะสิในใจของเขาไม่อยากให้นางพบเจอคนมากมายเช่นนั้นเลยจริงๆ’
“เอาล่ะๆ ตามใจเจ้าเถอะแต่ตอนนี้ดึกมากแล้วพวกเราเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียกคนมาช่วยกันสร้างร้านอาหารให้เจ้าเอง"
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
หยวนจือหลินฉีกยิ้มให้เขาด้วยความดีใจอย่างยิ่งผิดกับหลี่หงอี้ที่กำลังคิดหนัก เรื่องเปิดร้านอาหารนี้จึงทำให้เขานอนไม่หลับเกือบทั้งคืนเลยก็ว่าได้
-เช้าวันถัดมา-
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
ชายหนุ่มห้าหกคนพากันเดินทางมาที่บ้านของพวกนางตั้งแต่เช้าตรู่พวกเขารีบเข้ามาจัดการกับตัวร้านและหลังคาตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงตอนนี้ก็เอาแต่ถกเถียงกันไม่หยุด นางเพิ่งมารู้จักชื่อของพวกเขาเหล่านั้นก็เมื่อครู่นี้นี่เอง
“ซ้ายหน่อย ซ้ายหน่อย” หย่งฉีกำลังยืนสั่งการให้บุรุษอีกคนขยับไม้สำหรับทำโครงหลังคาร้านทีอยู่อย่างนั้นมาร่วมหลายชั่วยามแล้ว
“ไม่ๆๆ ขวาอีกนิด”
“อะไรของเจ้าเนี่ยมาทำเองเลยมา” บุรุษคนที่ถูกสั่งงานอยู่นั้นเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเพราะดูเหมือนเวลาจะล่วงเลยมานานแต่พวกเขากลับยังทำงานไม่เสร็จเสียที
‘เสียเวลาเสียจริง’
“หากข้าขึ้นไปได้ข้าคงทำไปแล้วเจ้าอย่าบ่นนักเลยน่าทำตามที่ข้าบอกเถอะ”
“พวกเจ้ารู้เรื่องหรือไม่นะ ข้าบอกแล้วว่าให้ตั้งใจเรียนเป็นอย่างไรเล่าฟังที่ข้าสั่งไม่รู้เรื่องเลยเอามานี่ข้าทำเอง” เต๋อหมิงคนที่ดูเหมือนจะสุขุมและรอบคอบกว่าใครเพื่อนเดินขึ้นไปตอกตะปูกับท่อนไม้นั้นด้วยความรวดเร็วจนไม่กี่นาทีต่อมาหลังคาร้านค้าก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนหลี่หงอี้กับบุรุษอีกสามคนกำลังช่วยกันประกอบโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งทานอาหารตามคำสั่งของนางอยู่ พวกเขาเหล่านั้นได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้พวกที่อยู่บนหลังคาเบาๆ หยวนจือหลินเองก็ไม่ได้เข้าไปห้ามเพราะพวกเขาเองดูเหมือนจะไม่ได้ทะเลาะกันจริงจังแค่เพียงความเห็นไม่ตรงกันในบางเรื่องก็เท่านั้นเอง
“ท่านแม่ทำอะไรอยู่หรือขอรับหอมจัง”
“ทำอาหารอยู่จ๊ะ อาเฟยไปเตรียมโต๊ะอาหารไว้นะอีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“ขอรับท่านแม่”
หยวนจือหลินปรุงอาหารครั้งสุดท้ายแล้วชิมรสอีกครั้งก่อนจะยกหม้ออาหารลงแล้วทำการตักอาหารใส่ชามทีละใบ นางนำถ้วยอาหารใส่ถาดไม้ทีละถ้วยแล้วส่งให้อาเฟยเป็นคนนำไปวางไว้บนโต๊ะ
หยวนจือหลินเริ่มสอนงานบ้านเล็กๆน้อยๆให้อาเฟยและอาชิงทีละอย่าง เพื่อฝึกสมาธิและมัดกล้ามเนื้อของเด็กๆให้แข็งแรงมากขึ้น
“พักกันก่อนเถอะเจ้าค่ะอาหารเสร็จแล้วไปกินข้าวกัน”
หลี่หงอี้เมื่อได้ยินที่ภรรยาเรียกเขาจึงหันไปหานางและส่งยิ้มให้ก่อนจะเรียกบรรดาบุรุษเหล่านั้นให้ไปล้างไม้ล้างมือเมื่อเรียบร้อยกันแล้วก็ตรงดิ่งมายังโต๊ะอาหารที่บัดนี้มีอาหารวางเรียงรายเต็มโต๊ะสีสันน่ากินทั้งนั้น
“โอ้โหฮูหยิน อาหารเยอะกว่าเมื่อวานนี้อีกนะขอรับ” เสียงของหย่งฉีเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นอาหารของวันนี้
“น่ากินด้วย” เต๋อหมิงเองก็เอ่ยสมทบเขาออกมาเหมือนกัน ดูท่าทางทั้งสองคนคงจะชอบการกินอาหารอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เห็นของกินอร่อยๆ น่าตาน่ากินก็ตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ เสียอย่างนั้น
“เชิญนั่งเถอะเจ้าค่ะเดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดเสียก่อน”
พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
“อาหารที่ฮูหยินทำอร่อยทั้งนั้นเลยนะขอรับ”
“จริงหรือ”
“จริงสิขอรับแบบนี้ถ้าเปิดร้านแล้วคงจะขายหมดทุกวันแน่ๆ เลย”
“ใช่ๆ พวกข้าไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือของท่านมาก่อนเลยขอรับ”
“ขอบคุณนะหากอร่อยก็กินเยอะๆ ล่ะยังมีอีกเยอะเลย อ้อข้าลืมบอกท่านไปเลยพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองนะเจ้าคะ”
“เจ้าจะไปทำไมหรือ”
“ไปซื้อของสดมาทำอาหารอย่างไรเล่าเจ้าคะ บ้านเรามีของทะเลที่ไหนกัน”
“จะใช้ของทะเลด้วยเช่นนั้นหรือ”
“แน่นอนสิเจ้าคะอาหารอร่อยๆ จะขาดของพวกนั้นได้อย่างไรกัน ท่านรู้หรือไม่ปลาหมึกเอย กุ้งเอยของโปรดของข้าทั้งนั้น”
หยวนจือหลินคิดแล้วน้ำลายแทบจะไหลออกมาตั้งแต่ทะลุมิติมานั้น นางก็อยากกินอาหารพวกนี้เป็นอย่างมาก ผัดกะเพราทะเลของโปรดนางที่สุดแล้ว
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าชอบของทะเล”
‘ฉิบหายแล้วไงเจ้าของร่างเดิมไม่ได้ชอบของพวกนี้หรอกหรือ’
“ความชอบของคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้เจ้าค่ะ”
“งั้นหรอกหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะท่านรีบกินเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน ข้าขอตัวไปดูหน้าร้านก่อนนะเจ้าคะ”
หยวนจือหลินรีบเดินหนีออกจากวงสนทนาอย่างรวดเร็วเพราะหากนางยังคงพูดต่อเกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรๆ ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
หยวนจือหลินเดินออกมาหน้าประตูรั้วบ้านก่อนจะเดินสำรวจร้านอาหารที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ นางเคยใฝ่ฝันเอาไว้ตั้งแต่ยุคที่จากมาแล้วว่าอยากที่จะมีร้านอาหารเป็นของตนเองสักครั้งและแล้ววันนี้ก็มาถึง ภายในร้านดูแข็งแรงมากๆ ฝีมือพวกเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
‘เหตุใดถึงทำได้รวดเร็วและละเอียดได้ถึงเพียงนี้กันนะ’
“ถูกใจเจ้าหรือไม่”
“หะ เหตุใดจึงมาเงียบๆ ข้าตกใจหมดเลย”
“ข้าเห็นเจ้ายืนอยู่คนเดียวคิดอะไรอยู่งั้นหรือ”
“ก็แค่…คิดว่าพวกท่านเก่งจังเลยเจ้าค่ะแค่วันเดียวก็ทำร้านออกมาได้ถึงเพียงนี้แล้ว”
“ช่วยกันหลายคนเหตุใดจะไม่เสร็จเร็วเล่ายังขาดเหลือตรงไหนที่จะให้พวกข้าทำเพิ่มหรือไม่”
หยวนจือหลินหันหลังกลับไปมองดูรอบๆร้านอีกครั้ง โต๊ะเก้าอี้ทำตามแบบที่นางวาดออกมาได้เหมือนมาก
“ไม่แล้วเจ้าค่ะถูกใจข้ามากเลย”
เพล้ง!
เสียงจานกระเบื้องเคลือบตกแตกกระทบกับพื้นดังลั่นตามด้วยเสียงตวาดของชายคนหนึ่งตามหลังทันที
“เจ้าทำจานฮูหยินแตกงั้นหรือไปขอโทษฮูหยินเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ก็ข้าไม่ถนัดล้างจานนี่นาเจ้าก็รู้ว่าข้าถนัดจับ..”
“หยุด! หุบปากเจ้าเสียเอามานี่ข้าล้างเอง”
“ฮูหยินนนนนนน ข้าน้อยขออภัยขอรับ”
หย่งฉีวิ่งหน้าตั้งมาหานางด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองสุดๆ
‘เสแสร้งเกินไปแล้วนะเนี่ย’
“ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกแค่ใบเดียวเอง”
เพล้ง!
“หืม..”
“อะ เอ่อ อีกใบคงไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หลี่หงอี้รีบเอ่ยถามออกมาทันที
“ก็มะ…”
เพล้ง!
“คะ คือว่า”
“พวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หยวนจือหลินตะโกนออกไปทันทีสร้างความตื่นตกใจแก่เหล่าบุรุษที่เหลือเป็นอย่างมาก บุรุษสองคนที่นั่งเล่นอยู่กับเด็กๆ ทั้งสองรีบอุ้มพวกเขาขึ้นแนบอกก่อนจะออกวิ่งไปด้านข้างเรือน ส่วนหลี่หงอี้ก็รีบเข้าไปดึงเอวของผู้เป็นภรรยาเอาไว้เพราะตอนนี้นั้นนางได้ถือไม้ท่อนใหญ่ติดมือเข้าไปด้วย
“พวกเจ้าช่วยข้าล้างจานหรือช่วยทำลายจานของข้ากันแน่ ห๊า!”
“ขะ ขออภัยขอรับฮูหยิน”
หลี่หงอี้ได้เพียงแค่ส่งสายตาให้บรรดาสหายของเขาก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้พวกเขารีบออกไปจากบ้านทันที เหล่าบุรุษพวกนั้นรีบวิ่งออกไปจากหน้าบ้านอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย
“เดี๋ยวเถอะ! จะรีบไปไหนกันกลับมาเดี๋ยวนี้น๊า”
- - - - - - - -
[1]ยามซวี (19.00 – 21.00 น.)