คืนนี้จันทรายังคงงดงาม (2/2)

1695 Words
อุ่นไอที่เคยร้อนระอุจางหายจนเย็นชืด สิ่งที่หลงเหลือไว้เป็นหลักฐานของค่ำคืนที่พ้นผ่าน มีเพียงรอยยับย่นของผ้าปูที่นอน และเงินแปดตำลึงทองบนโต๊ะข้างเตียง --- สิ่งที่เกิดขึ้นดูคล้ายความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษเท่าใดนัก เป็นเพียงการใช้บริการของลูกค้าขาประจำกับผู้ขายทั่วไปตามปกติ ทว่าสิ่งหนึ่งที่แขกพิเศษผู้นั้นไม่รู้และจะไม่มีทางได้รู้เป็นอันขาด นั่นคือความจริงที่ว่า คนที่เขากกกอดแนบชิดมาตลอดหนึ่งปีหาใช่นายโลมอันดับหนึ่งของหอโคมเขียว ครืด… เสียงเปิดประตูห้องนอนเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้มาเยือนคนใหม่หนึ่งคือหญิงท้วมวัยกลางคนที่มีสีหน้าจนใจ ส่วนอีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่กำลังทำท่าทางหงุดหงิด “อาเม่ย...ลุกไหวหรือไม่...มา ๆ ให้ป้าประคองไปล้างตัว” เป็นฝ่ายหญิงท้วมที่เอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินรุดเข้าไปหมายโอบประคองร่างของคนที่นั่งนิ่งบนเตียงนอนอันยุ่งเหยิง ใช่แล้ว...ตัวเขาไม่ใช่ ฟางซิน นายโลมเลื่องชื่อแห่งหอหว่านเหอ นามที่แท้จริงของเขาคือ เสี่ยวเม่ย พ่อค้าขายหมั่นโถวจากตรอกเล็ก ๆ ในย่านสถานเริงรมย์ และหากถามหาฟางซินตัวจริงน่ะหรือ ก็คือคนที่ทำหน้าตางุ่นง่านพร้อมจะกระโดดขย้ำหัวเขาเบื้องหน้านี่อย่างไรเล่า “ท่านแม่...ไหนบอกคราวนี้จะดุด่าสั่งสอนเขาสักคราอย่างไรเล่า...ใยโอ๋เขาอีกแล้ว” ฟางซินเอ่ยถามกับ 'ท่านแม่' ซึ่งเป็นสรรพนามเรียกขานของแม่เล้าผู้เป็นเจ้าของหอโคมเขียว ฝ่าย 'ลี่จิน' ส่งสายตาตำหนิเจ้าตัวดีที่คิดเปิดโปงนาง จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้ตัวนางลั่นวาจาไว้เช่นนั้น แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แค่เห็นใบหน้าอิดโรยของคนบนเตียง แม่เล้าฝีปากกลางก็กลืนวาจาลงคอกลับไปโดยพลัน นางหันหน้ากลับลำมาตำหนิเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างกายตนแทน “เจ้าเด็กคนนี้...เห็นเพื่อนตัวช้ำเป็นจ้ำจนลายพร้อยแล้วไม่เห็นใจบ้างรึ...ยังไม่รีบช่วยข้าประคองเขาอีก” “แล้วท่านมาขึ้นเสียงใส่ข้าทำไมเล่า!” ฟางซินกระฟัดกระเฟียดตอบกลับ ถึงน้ำเสียงฟังดูงุ่นง่าน กระนั้นร่างเล็กอรชรไม่ต่างจากสตรีก็ยังเดินเข้ามาโอบประคองร่างสูงเพรียวของคนที่เพิ่งผ่านคืนวสันต์อย่างหนักหน่วงจนไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นจากเตียง “ขอบใจเจ้า” เสี่ยวเม่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง จริงอยู่ว่าระหว่างเริงรักเขาไม่อาจเปร่งวาจา แต่การข่มไว้ก็ทำให้ลำคอแห้งผากได้เช่นกัน ฟางซินไม่เอ่ยตอบ เจ้าตัวกำลังโกรธ ด้านเสี่ยวเม่ยเองก็จนใจ เพราะอย่างไรเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่ดำเนินมาจนถึงบัดนี้ ก็ล้วนเกิดจากความเอาแต่ใจของตนทั้งนั้น เสี่ยวเม่ยกระชับเสื้อคลุมที่ยับย่นในขณะที่ปล่อยให้สหายพยุงช่วยให้ก้าวเดินไปยังอ่างน้ำอุ่นที่เตรียมรอไว้ แข้งขาอ่อนเปลี่ยนค่อย ๆ ถูกจุ่มลงไปในอ่าง อุณหภูมิของน้ำที่พอเหมาะพอดีสามารถช่วยขับไล่ความอ่อนล้าให้คลายลง กลิ่นหอมบางเบาจากมวลผกาที่ลอยเหนือน้ำเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ปรากฏบนริมฝีปาก เสี่ยวเม่ยทอดสายตามองเงาสะท้อนของคนทั้งสองที่ยืนอยู่นอกอ่างน้ำ พวกเขายังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนมาเสมอ “ท่านป้า...ฟางซิน...ลำบากพวกท่านแล้ว” เสี่ยวเม่ยเอ่ยบอกกับคนทั้งสอง ลี่จินเพียงส่ายหน้าตอบ ส่วนฟางซินที่กลืนความอัดอั้นเอาไว้เต็มท้องแม้อยากจะต่อว่าสักคำก็ทำไม่ลง “เสี่ยวเม่ยเจ้านี่นะ...ทำสีหน้าเช่นนี้ข้าจะด่าว่าเจ้าลงได้อย่างไร” นายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอเอ่ยปาก มือเล็กก็ขัดถูกร่างกายของสหายไปด้วย ทว่าว่ายิ่งถูกยิ่งเช็ด ความหงุดหงิดใจก็ประทุขึ้นมาอีก ร่องรอยรักที่แขกพิเศษผู้นั้นทิ้งเอาไว้ปรากฏชัดเต็มตา รอยขบรอยกัดกระจัดกระจายไปทั่วเนื้อนวล จนอดไม่ได้ที่ต้องค่อนขอดออกมาสักคำ “คราวนี้เขาคันฟันนักหรือ...ใยทิ้งรอยกัดไปทั่วแบบนี้เล่า” “ท่านแม่ทัพนี่ก็เหลือเกินจริงเชียว...นับวันยิ่งทำออกหน้าออกตา...ข้าล่ะท้อจะตามล้างตามเช็ด...อาเม่ย...วันเพ็ญคราวหน้าปฏิเสธไปดีหรือไม่” ฝ่ายแม่เล้าลี่จินเองก็กล่าวเสริม เพราะนับวันท่านผู้นั้นยิ่งกระทำการเอิกเกริก จากเมื่อก่อนหลบซ่อนเพื่อเข้าพบเจอ มายามนี้ถึงขั้นสวมเครื่องแบบทางการเดินเข้าทางหน้าประตูหอนายโลมไม่สนใจสายตาผู้คน คนใหญ่คนโตเช่นนั้นมาเยือนหอนายโลมทุกเดือนจนคนทั้งแคว้นลือกันไปทั่ว แม้เป็นเรื่องดีที่ค่าตัวของเด็ก ๆ คนอื่นในเล้าต่างพากันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่การตกเป็นเป้าสายตาก็ไม่ใช่เรื่องที่ลี่จินต้องการเลยสักนิด สิ่งที่พวกเขาสามคนกำลังกระทำอยู่ เรียกได้ว่าเข้าข่ายหลอกลวงเบื้องสูง เฉินฮ่าวเทียน หาใช่คนธรรมดาสามัญ เดิมเป็นท่านชายแห่งจวนเฉินชินอ๋อง ชื่อเสียงเลื่องลือถึงความเก่งกาจสามารถตั้งแต่เยาว์วัย ยังไม่ทันพ้นวัยสวมกวานก็เข้าร่วมกองทัพออกรบสร้างความดีความชอบให้แผ่นดินต้าเว่นมากมาย เมื่อพ้นวัยสวมกวานได้ไม่กี่ปีก็อาสาร่วมทัพปราบชนเผ่าได้สำเร็จ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรถึงความสามารถจึงออกราชองค์การแต่งตั้งเป็นแม่ทัพทิศประจิมคุมกำลังทหารสองกองธง กับคนที่ถูกขนานนามว่าเทพสงครามกลับชาติมาเกิดเช่นนี้ หากรู้ความจริงว่าถูกหลอกลวงสวมเขามีหรือจะยอมใจดีปล่อยผ่านไม่ชำระความ เสี่ยวเม่ยเองก็เข้าใจความกังวลใจของผู้อาวุโส เขาเอื้อมมือไปกุมกับฝ่ามือนุ่มของอีกฝ่าย บีบเบา ๆ คล้ายบอกให้อีกฝ่ายคลายความว้าวุ่นใจ “ท่านป้า...อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย...เขาเองก็พอรู้ตัวว่าลงมือกับข้าหนักไปบ้าง...ถึงได้ทิ้งค่าทำขวัญเอาไว้ให้เสียมากกว่าปกติ” “เสี่ยวเม่ยเจ้าไม่อยากเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถวแล้วหรือ...ดูพูดจาเข้า...ทำราวกับคุ้นชินเป็นเรื่องปกติ” ฟางซินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก ก็ดูเอาเถิด...สหายของเขาคนนี้ทำราวกับว่าเคยชินกับการทอดกายขายเรือนร่างแลกเงินตราเสียแล้ว “ฟางซินอย่าโมโหเลย...ดูซิ...คิ้วขมวดกันหมดแล้ว” “ไม่ให้ข้าโมโหได้หรือ...ข้าไม่น่ายอมใจอ่อนกับเจ้าคราแรกเลย...ครั้งนั้นบอกเพียงคืนเดียว...แล้วนี่อย่างไร...นอนผลิกผ้าห่มกันมาจนครบปีแล้ว” เดิมเสี่ยวเม่ยเป็นเพียงพ่อค้าขายหมั่นโถวธรรมดาเท่านั้น เขามักตั้งแผงอยู่หน้าตรอกเยื่องหอว่านเหอไปไม่มาก ทว่าค่ำคืนหนึ่งหลังเทียบจองตัวจากจวนแม่ทัพถูกส่งมาที่หอนายโลมแห่งนี้ คนที่เป็นพ่อค้าก็อยู่ดีไม่ว่าดี นึกอยากกลายเป็นสินค้าขึ้นมาเสียเอง เสี่ยวเม่ยมาคุกเข่าร้องขอกับฟางซินและแม่เล้าลี่จินว่าให้ตนสวมรอย เพื่อเข้าปรนิบัตรแขกพิเศษผู้นั้นแทน แน่นอนว่าแรกเริ่มพวกเขาทั้งสองหายอมไม่ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับหยิบยกบุญคุณครั้งเก่าก่อนขึ้นมาเอ่ยถึง พร้อมโขกหัวอ้อนวอนอย่างสิ้นศักดิ์ศรีทั้งน้ำตา เห็นท่าทางน่าเวทนาปานนั้นพวกเขาจึงยอมตกปากรับคำ แต่ใครจะคาดว่าแม่ทัพผู้นั้นหาใช่แค่นึกอย่างเล่นสนุกเป็นครั้งคราว มาแล้วไม่ยอมลาลับ เดือนต่อมาในคืนจันทร์เพ็ญ เทียบจองตัวถูกส่งนัดหมายมาอีกครั้ง และเรื่องหลอกลวงเช่นนี้ก็ดำเนินมาจนปัจจุบัน “เพื่อนเจ้าโง่งมในรัก...เห็นแบบนี้แล้วก็ช่วยส่งเสริมหน่อยเถิด” เสี่ยวเม่ยเอ่ยบอกพรางแย้มยิ้มบาง ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้มเผยดวงหน้ามลของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เครื่องหน้าของเสี่ยวเม่ยไม่ได้หวานล้ำหรือจิ้มลิ้มพริ้มเพราเหมือนพิมพ์นิยมเช่นคณิกาชายแต่อย่างใด ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่นั้นใสซื่อจริงใจ ใบหน้ารูปไข่ไร้หนวดไร้เครา ริมฝีปากอิ่ม จมูกเชิดรั้นมองดูแล้วให้ความรู้สึกชวนให้เอ็นดู เส้นผมสีหมึกลู่ลงไปถึงกลางหลัง แนบไปกับเรือนร่างสูงเพรียวไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางแต่อย่างใด หากเป็นคนที่เที่ยวสถานเริงรมย์อยู่เป็นนิจย่อมมองออกแต่คราแรกแล้วว่าคนในอ่างน้ำไม่มีทางเป็นคนเดียวกับนางโลมอันดับหนึ่งผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทว่าเฉินฮ่าวเทียนเป็นแม่ทัพที่ใช้ชีวิตที่ค่ายทหารเขตชายแดน มากกว่าอยู่ในเขตประตูเมือง การที่เขาจะไม่ทราบความก็พอที่จะเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่จะไม่ทราบแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนนั้น พวกเขาทั้งสามที่ขึ้นหลังเสือแล้วยากจะลงก็สุดคาดเดา ได้แต่ภาวนาให้คนรีบเบื่อหน่ายและเลิกส่งเทียบจองตัวมาให้ทุกเดือนเสียที “แม่ทัพประจิมมีดีอันใด...อาเม่ยคนดีของข้าจึงต้องไปยอมกลายเป็นก้อนหมั่นโถวให้เขากัดแทะเช่นนี้” ฟางซินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ฝ่ายคนในอ่างน้ำทำท่าทางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนที่อึดใจต่อมาจะกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ จนน่ามันเขี้ยว “อืม...ก็ดีอยู่พอตัวทีเดียว” “นี่แหนะเจ้าตัวดี...คายอาเม่ยของข้าออกมานะ!!” สองสหายหยอกล้อกันไปมา เสียงหัวเราะบางเบาดังแว่วในห้องนอนชั้นบนสุดของหอคณิกาชาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเมื่อสิ้นสุดยามอิ๋น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD