และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ
“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้ว
เสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงผนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขมักเขม่นเรียนรู้วิชา
“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่ม
เสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป
“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองใหห้ก็เกิดขึ้นตรงบริเวรลิ้นไก่ จนทำให้คนที่รักษาจังหวะหายใจไม่ทันนั้น สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนต้องยอมดึงวัตถุแปลกปลอมออกจากปากในที่สุด ก่อนจะไอสำลักน้ำลายจนตัวโยน
“คะ-แค่ก!แค่ก!”
ฟางซินทอดสายตามองคนที่ไอค่อกแค่กออกมาจนน้ำมูกน้ำตาไหล เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนก้มลงหยิบ ‘ลึงค์ไม้’ ขนาดพิเศษที่ชุ่มน้ำลายขึ้นมาจากพื้น
ลึงค์ไม้ นับเป็นอุปกรณ์ที่เหล่าคณิกาทั้งชายหญิงต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะนอกจากใช้ฝึกฝนวิชาเพื่อกำหราบเหล่าลูกค้าบนเตียงแล้ว หากยามใดที่เปลี่ยวเหงาก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ความกระสันอยากให้ตนเองได้อีกด้วย
ฟางซินหยิบลึงค์ไม้แข็งขึ้นมาสำรวจ รอบผิวเนื้อไม้ขัดเรียบมีร่องรอยจากการขบของฟันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน พอเห็นรอยงับเช่นนี้ นายคณิกาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากข่อนคอดลูกศิษย์จำเป็นของตน
“ฝึกใช้ปากมาจะสามชั่วยามจนกรามจะค้างอยู่แล้วยังไม่พัฒนา...เจอของจริงขึ้นมาจะไหวแน่หรือ”
ลองนึกสภาพเจ้าตัวดีใช้ฟันขบเสาค้ำสวรรค์ของท่านแม่ทัพขึ้นมา ฟางซินก็ขนลุกไปทั้งกายแล้ว ดีไม่ดีก่อนได้เสพสังวาส สหายของเขาคงมีอันต้องโดนลากตัวไปโบยจนหลังหัก เพื่อสำเร็จโทษในข้อหาทำร้ายร่างกายแม่ทัพประจิมก่อนเป็นแน่แท้
“ฟางซินเจ้าเก่งมากจริง ๆ” เสี่ยวเม่ยที่ควบคุมลมหายใจของตนเองจนกลับมาเป็นปกติในที่สุด อดไม่ได้ที่จะส่งสายตานับถือพร้อมเอ่ยปากชื่นชมสหายด้วยใจจริง
คิดดูเถิด...ตัวเขาอมเจ้าแท่งไม้นั่นมาจะสามชั่วยามแล้ว ฝึกทั้งดูดทั้งอมจนสำลักน้ำลายไปก็หลายหน ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถทำได้เหมือนกับที่ฟางซินสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
ปากของคนเราสามารถรับของใหญ่โตขนาดนี้เข้าไปได้โดยไม่ติดขัดได้อย่างไรหนอ ยิ่งยามต้องดูดแล้วโยกขยับศรีษะด้วยแล้ว นับเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่ต้องอดทนไม่ให้ฟันงับลงไปหรือสำลักไอจนต้องคายออกมา
“แน่สิ...ตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งของข้าไม่ได้ได้มาเพราะแค่หน้าตาหรอกหนา” คนโดนชมก็ไม่ถ่อมตน นายคณิกาเลื่องชื่อเชิดหน้าขึ้นพร้อมยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“การร่วมรักระหว่างบุรุษใยยากเย็นเพียงนี้” พ่อค้าขายหมั่นโถวที่เพิ่งเปิดประตูเข้าสู่โลกใหม่กล่าวออกมาด้วยอย่างทอดถอนใจ
อันที่จริงเสี่ยวเม่ยไม่ได้ต้องการคำตอบใด เพียงแค่อยากระบายความเหนื่อยยากที่ประสบพบเจอก็เท่านั้น
แต่ฟางซินกลับไม่ปล่อยผ่าน เขาครุ่นคิดคำถามของสหายก่อนเอ่ยตอบอย่างจริงจัง
“คงเพราะสวรรค์สร้างบุรุษให้ใช้แต่ด้านหน้า โดยลืมคิดว่ายังมีบางผู้ที่ต้องการใช้งานด้านหลังด้วยกระมัง”
“เพียงปรารถนาให้เป็นฝ่ายถูกโอบกอดก็ผิดกฏสวรรค์แล้วหรือ”
“ไม่รู้ซิ...ไม่เคยมีเทพเซียนองค์ใดมาบอกข้านี่...แต่ว่านะเสี่ยวเม่ยคนดี...เรามนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาหาใช่เทพเซียนที่ไหน...สวรรค์และนรกเป็นเรื่องของภพหน้า...ยามเกิดมาในชาตินี้ก็ทำตามใจปรารถนาไปเถิด”
บทสนทนาที่เกิดขึ้นของพวกเขาเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดของต้วนซิ่วสองคน
ซึ่งต่างคนต่างก็ไม่อาจหาคำตอบของความจริงแท้ให้ตนได้เช่นกัน
แต่ถึงจะไม่อาจล่วงรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดดำ สิ่งใดขาว พวกเขาทั้งสองต่างก็ยังคงต้องใช้ชีวิตของตนต่อไป ตามวิถีที่ตนเชื่อมั่น
ขอเพียงไม่เสียใจภายหลัง ก็นับว่าได้เลือกหนทางที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ
“ฟางซินหากแก่เฒ่าไปไม่อยากเป็นนายโลมแล้ว...ออกบวชดีหรือไม่” พ่อค้าหมั่นโถวเอ่ยขึ้นกับสหาย เพื่อวางแผนการสำหรับบั่นปลายชีวิตที่แสนเปลี่ยวเหงานี้
ในฐานะผู้ที่รู้ตัวว่าสุดท้ายไม่อาจสร้างครอบครัวหรือให้กำเนิดทายาทสืบสกุล การฝากตัวเข้าไปอยู่ใต้ร่มของพระโพธิสัตว์ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
แต่ฝ่ายคู่สนทนากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาด้วยหรอก...เป็นคณิกาโกนผมออกบวชไป ชาวบ้านคงด่าว่าข้าทำแดนสุขาวดีแปดเปือนเสียเปล่า ๆ”
“เกี่ยวอันใด...ก่อนละทางโลกเข้าสู่ทางธรรมผู้คนล้วนเคยผ่านกิเลสมาทั้งนั้น...เพราะประสบแล้ว พบเจอแล้ว และเข้าใจแล้ว จึงสามารถปล่อยวางได้ไม่ใช่หรือ” เสี่ยวเม่ยเอ่ยเถียง ฟางซินยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าสหายของตนทำหน้าบึ้งตึงยามได้ยินถ้อยคำดูถูกตนเองที่หลุดออกจากปากเขาไป
ในความคิดของฟางซินนั้น เสี่ยวเม่ยเปรียบดังแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่นและอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือจนบัดนี้ พ่อค้าหมั่นโถววันยี่สิบเอ็ดปีก็เป็นเช่นนั้นมาเสมอ
เขามองทุกสิ่งอย่างด้วยความจริงใจ และโอบกอดความดีงามเอาไว้แม้ว่าตนจะยืนอยู่ท่ามกลางโคลนตมก็ตาม
ฟางซินทิ้งศรีษะพิงลงบนไหล่ของพ่อค้าหมั่นโถว เส้นผมสีขนกาที่ยาวสยายตกลงคลอเคลียอยู่ที่ปลายนิ้วของคนทั้งสอง
“เช่นนั้นเอาไว้พอแก่เฒ่าไปแล้วเจ้าไม่มีแรงนวดแป้งทำหมั่นโถวแล้ว...พวกเราไปออกบวชด้วยกันเถิด...ดีหรือไม่”
“อืม...ดียิ่ง” เสี่ยวเม่ยตอบกลับทั้งรอยยิ้ม ในขณะที่เกี่ยวพันเส้นผมเงางามของสหายขึ้นมาเล่นอย่างสนุกมือ
พอได้มองดูท่าทางสบายอารมณ์ของพ่อค้าหมั่นโถวตัวดีแล้ว นายคณิกาคนดังก็อดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มออกมาอย่างบางเบา ก่อนที่บรรยากาศผ่อนคลายจะสิ้นสุดลง เมื่อฟางซินเอื้อมมือไปดึงเส้นผมของตนออกจากนิ้วมือของเสี่ยวเม่ย แล้ววางลึงค์ไม้ที่ถูกทำความสะอาดและเช็ดถูจนแห้งลงบนมือของอีกฝ่ายแทน
“แต่ก่อนจะละทางโลกเข้าทางธรรม...ตอนนี้เจ้าตั้งใจฝึกอมลึงค์ไม้อันนี้โดยไม่สำลักหรือฟันไปขูดก่อนเถิด”
ว่าจบ แก้มนุ่มสองข้างของพ่อค้าหมั่นโถวก็ถูกบีบอีกครั้งจนริมฝีปากเผยอออก ก่อนที่แท่งไม้แข็งทรงกระบอกที่มีหัวโค้งมนจะถูกดันเข้าสู่โพรงปากร้อนของเสี่ยวเม่ยอีกครา