ราตรีแรก (2/2)

1789 Words
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวม ลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทน แต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก้ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพร จนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลาดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย “อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปริปากโดยเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่” ลี่จินไม่อยากจะทำลายมโนภาพแสนสุขที่พ่อค้าหมั่นโถวนั้นสร้างไว้ แต่อีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้านี้ เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสรประสาจะได้ก้าวลงสนามจริงแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ควรที่จะต้องบอกกล่าวกับเขาให้เตรียมใจไว้เสียหน่อย คำคืนแรกในนิยายประโลมโลกมักหวานซึ้งชวนฝัน แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะได้สัมผัสความรู้สึกเฉกเช่นที่เล่าบรรยายในตำรา ฝ่ายคนฟังที่นั่งนิ่งมาได้ชั่วครู่หนึ่งก็ยกยิ้มบาง เสี่ยวเม่ยทราบดีถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อกุมไปที่ฝ่ามือของคนทั้งสอง ผู้ที่ยอมทำตามคำขอแสนเอาแต่ใจของเขาอย่างดีมาตลอด “ฟางซิน...ท่านป้า...อาเม่ยขอขอบคุณพวกท่าน” พ่อค้าหมั่นโถวไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนให้พวกเขา มีแต่คำว่าขอบคุณอย่างจริงใจเท่านั้นที่เวลานี้สามารถมอบให้ได้ ลี่จินรับฟังแล้วก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอขึ้นมาเสียอย่างนั้น บรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องรับรองของหอคณิกา เริ่มดูไม่ต่างจากคืนก่อนส่งตัวเจ้าสาวที่จะแต่งออกจากบ้านไปก็ไม่ปาน “พอ ๆ เลิกรั้งรอกันเถิด...เกิดใครมาเห็นเข้าจะมากความ...เข้าย่ามอิ๋นพวกข้าจะกลับมา...นอนรออยู่แต่ในห้องอย่าออกไปไหนเข้าใจหรือไม่” เป็นฟางซินที่ยืนเงียบอยู่นานเป็นผู้เอ่ยตัดบท เวลาใกล้กระชั้นเข้ามา ขืนยังรั้งรอกันต่อไปเช่นนี้ คงได้มีอันโดนจับได้กันหมด นายคณิกาอันดับหนึ่งบีบมือตอบสหาย แล้วกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปล่อยมือ “ดูแลตัวเองให้ดี” “ทราบแล้ว…พบกันอีกครายามอิ๋นนะฟางซิน” คนทั้งสองแลกเปลี่ยนถ้อยคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่เสี่ยวเม่ยจะได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านป้าลี่จินและฟางซิน ค่อย ๆ ถอยห่าง จนกระทั้งอันตธานหายไปในที่สุด ผู้ร่วมขบวนการได้จากไปแล้ว ทิ้งให้พ่อค้าหมั่นโถวที่แสร้งทำตัวสงบนิ่งแต่ความจริงตื่นตระหนกจนสมองอื้ออึงเอาไว้เพียงลำพัง เสี่ยวเม่ยยังคงนั่งอยู่ที่จุดเดิม มือเล็กที่กุมประสานชื่นเหงือด้วยความตื่นเต้น กลิ่นกำยานบางเบาที่ถูกจุดทำให้เขาประหม่าจนแทบคลั่ง เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมายเสียงดนตรีจากภายนอกค่อย ๆ เงียบลงจนทำให้เสี่ยวเม่ยเสียขวัญขึ้นมา ยิ่งยามแว่วยินจังหวะฝีเท้าหนักแน่นดวงใจที่พยายามกดข่มความว้าวุ่นคล้ายสามารถล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ท่านแม่ทัพช่างเป็นคนตรงต่อเวลา เทียบจองแจ้งมาว่าจะมาเยือนยามจื่อ ก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ เสี่ยวเม่ยพยายามปรับลมหายใจของตนสูดเข้าสูดออกอย่างเป็นจังหวะ นั่งนับหมั่นโถวก้อนที่หนึ่ง หมั่นโถวก้อนที่สอง หมั่นโถวก้อนที่สาม และเพิ่มจำนวนไปเรื่อย ๆ หวังเพื่อรักษาสติของจนเอาไว้ไม่ให้เตลิดไปไกล จนเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับการมาเยือนของใครบางคน เสี่ยวเม่ยค้นพบว่าเหล่าหมั่นโถวที่นับไปราวห้าบกว่าลูกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย เพราะตอนนี้ตนเองรู้สึกตื่นตระหนกจนแทบจะสิ้นสติเสียให้ได้ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่พยายามจิกนิ้วทั้งสิบของตนลงบนฝ่ามืออย่างแรง เพื่อย้ำเตือนจิตสำนึกเอาไว้เสมอไม่ให้เผลอแสดงกริยาผิดสังเกตุออกไปให้บุรุษตรงหน้ารับรู้ เสียงปิดประตูดังขึ้นได้อึดใจหนึ่งแล้ว แต่แขกพิเศษท่านนี้ก็ยังไม่เอ่ยคำใดออกมาแม้ครึ่งคำ เขาคาดว่าอีกฝ่ายคงปฏิบัติตามกฏที่ตั้งเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยวาจา ร่างเพรียวในอาภรณ์กรุยกรายสีอ่อนจึงเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เสี่ยวเม่ยย่อตัวทำความเคารพแขกพิเศษเบื้องหน้าด้วยกริยาชดช้อยตามที่ถูกฝึกสอนมา แม้ไม่อาจทำได้นอบน้อมอ่อนหวานอย่างเช่นที่ฟางซินทำ แต่เขาก็มั่นใจว่ามันคงไม่ได้แข็งทื่อจนน่าขัน การก้มหน้าขยับตัวทำให้เส้นผมสีขนกาที่ปล่อยสยายพริ้วไหวไปมา ผ้าอาภรณ์เนื้อบางเสียดสีดจนเกิดเสียงสวบสาบบางเบา เสี่ยวเม่ยย่อตัวค้างเอาไว้อย่างเฝ้ารอปฏิกริยาตอบรับจากคนเบื้องหน้าแต่ทว่าย่อตัวค้างจนแข้งขาสั่น อีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับแล้วบอกให้เขาลุกขึ้นเสียที ใจคอจะไม่เอ่ยอันใดออกมาจริง ๆ น่ะหรือ...เสี่ยวเม่ยคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แค่แรงใจที่เดิมพยายามฮึกเหิมฝ่อจนไม่เหลือไม่พอ ตอนนี้แรงขาก็จะไม่มีเช่นกัน และในที่สุดคนที่ย่อตัวจนเส้นจะยึดจึงขยับมือเพื่อสอบถามอีกฝ่ายแทนการเปร่งเสียงจากลำคอ ‘ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่?’ “รู้จักสัญลักษณ์มือด้วยหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา ประโยคนั้นเจือไปด้วยความประหลาดใจจนรับรู้ได้ เสี่ยวเม่ยที่เพิ่งเคยได้ยินเสียงของบุรุษในดวงใจในระยะไม่กินสองช่วงแขนแทบอยากวิ่งออกไปนอกระเบียงแล้วตะโกนร้อง เจ้าข้าเอ้ย!เสียงท่านแม่ทัพไพเราะเหลือเกิน!! ทว่าถึงในใจจะเริงร่าเพียงไหน ร่างเพรียวก็ยังคงรักษากริยา พร้อมขยับมือตอบกลับด้วยท่าทางสำรวมอย่างมาก ‘ขอรับ’ “ลุกขึ้นได้” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยตอบ น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ออกจะนิ่งเรียบเย็นชาเสียมากกว่า ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างของพ่อค้าหมั่นโถวถูกคาดปิดเอาไว้ด้วยผ้าแพรเนื้อบางสีคราม จนทำให้ทัศนียภาพที่มองเห็นพร่ามัวไปหมด ทว่า...น่าประหลาดที่เสี่ยวเม่ยกลับสามารถมโนภาพขึ้นมาได้โดยทันที ว่าแม่ทัพประจิมกำลังแสดงสีหน้าและแววตาเช่นไร เฉินฮ่าวเทียนคงกำลังทำสีหน้านิ่งเรียบเย็นชา ดวงตาคมของเขาย่อมทอดแววตาที่เต็มไปด้วยความกดดันจนชวนให้หวั่นเกรงอยู่เป็นแน่ แต่ถึงแม่ทัพประจิมจะทำหน้าตาดุดันราวยักษ์มารเพียงไหน ด้านคนฟังที่ปิดตาเอาไว้กลับยกยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูก มือเรียวขยับไปมาเพื่อตอบรับกลับไป ‘ขอบคุณขอรับ’ การทักทายเกิดขึ้นอย่างพอเป็นพิธี เสี่ยวเม่ยเริ่มขยับตัวเพื่อหวังจะสร้างบรรยากาศดี ๆ ในการรับรองแขกคนสำคัญ เขาฝึกฝนเดินไปเดินมาในห้องนี้มาทั้งวัน ย่อมพอที่จะจำตำแหน่งของสิ่งของได้แล้ว เป้าหมายของเสี่ยวเม่ยคือกระปุกใบชาที่เตรียมไว้ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ไม่มาก ‘เชิญนั่งก่อนขอรับ...ข้าจะรินชาให้’ มือเล็กขยับบอกแขกพิเศษตรงหน้า ก่อนไล้นิ้วไปตามกระปุกชาบนชั้น หอคณิกาที่ดีย่อมต้องมีใบชาชั้นยอดคอยเตรียมรับรองแขก เสี่ยวเม่ยเป็นคนประสาทสัมผัสดีมาก เขาแยกแยะกลิ่นและรสชาติต่าง ๆ ได้แม่นยำเสมอ ด้วยความสามารถเช่นนี้ จึงทำให้เด็กหนุ่มสามารถเลือกหยิบชาพันธุ์ดีที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งประปนไปกับใบชาชนิดอื่นได้อย่างแม่นยำ “ไม่ต้องมากพิธี...เปลื้องผ้าแล้วไปที่เตียงเถิด” ตุบ…แต่ยังไม่ทันใดแสดงฝีมือการชงชาที่ถูกฝึกสานเกือบห้าชั่วยามให้อีกคนได้ประทับใจเสียหน่อย แม่ทัพประจิมกลับกล่าวรวบรัดตัดตอน ทำเอาคนฟังมือไม้อ่อนปล่อยกระปุกชาหล่นลงพื้นอย่างตื่นตะลึง “ตกใจอันใด” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยถาม เพราะน้ำเสียงเขานิ่งเรียบเกินไปราวกับกำลังสอบถามเรื่องดินฟ้าอากาศ เสี่ยวเม่ยนึกอยากจะถอดผ้าคาดตาแล้วมองดูใบหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ เหลือเกิน อยากรู้นักว่านายท่านผู้นี้ รีบร้อนอันใด มาถึงไม่พูดไม่จา ก็จะสั่งให้ไปนอนอ้าขาบนเตียงเสียแล้ว ‘เปล่าขอรับ...เพียงไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะรีบร้อน’ คนที่ตกใจจนมึนงงขยับมือเพื่อตอบคำถาม ในใจของนายคณิกาตัวปลอมรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างมาก ลำดับแผนการที่วางไว้พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี ตามที่ได้รับการสอนสั่ง ขั้นตอนเริ่มแรกของค่ำคืนวสันต์มักเริ่มต้นการการจิบชาและสนทนากันก่อนเพื่อสร้างบรรยากาศที่แสนดี ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนจากน้ำชาเป็นสุรา และเมื่อมึนเมาจนได้ที่ ขั้นตอนปรนเปลอและการเปลื่องผ้าจึงค่อยเริ่มตน แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้ตัดลำดับพิธีการออกไปเสียหมด ข้ามขั้นการสนทนาพาที ไปที่การเริงรักกันเลยเสียแทน “รีบร้อน? ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่มาใช้บริการหอโคมเขียวก็ทำเช่นนั้นหรือ” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบในขณะที่ขยับเข้าใกล้ร่างเพรียวของคนที่ยังคงยืนนิ่งค้าง ก่อนจะก้มหน้าโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างใบหูของนายคณิการผู้ที่จะผ่านค่ำคืนนี้ไปพร้อมกับเขาว่า “ต่างมาเพื่อเสพสม...หาได้มาพูดคุย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD