ณ ร้านอาหารซาลเวีย
เมื่อฉันและเวนิสเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูพนักงานก็พาไปยังโต๊ะที่ถูกจองไว้ วันนี้เป็นวันนัดดูตัวของเวนิสกับหัวหน้ามาเฟียกลุ่มหนึ่ง พ่อเวนิสเป็นนักการทูต ท่านตามใจลูกสาวมากแต่คนเป็นยายชอบที่จะหาคู่ครองให้กับเธอ เพราะกลัวว่าเวนิสจะไปคว้าเอาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาในตระกูล เมื่อมาเฟียหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาเวนิสก็โบกไม้โบกมือเรียกเขาทันที
“บอนนาเซร่า” เธอยืนขึ้นอย่างมีจริตก่อนจะกล่าวทักทายสวัสดีชายหนุ่มผู้นั้นเป็นภาษาอิตาลี ก่อนหล่อนจะหันไปแอบขยิบตาให้กับลูกน้องของมาเฟียหนุ่มตรงหน้า ฉันไม่คิดว่าเวนิสจะเป็นคนแบบนี้ มาดูตัวกับคู่เดทแต่ไปขยิบตาให้กับชายอื่นแต่พอมาคิดๆ เท่าที่รู้จักเวนิสมา เธอก็ไม่ใช่คนแบบนี้เพราะตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศด้วยกันวนิสไม่เคยสนใจจะเล่นกับผู้ชายคนไหนเลยทั้งที่มีผู้ชายมากมายเข้ามาจีบ ‘หรือนั่นจะเป็นคนที่ทำให้นางหนีไปเรียนที่ออกซ์ฟอร์ด’
“นี่แคทนิส เพื่อนของเวนิสค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งมือไปจับทักทายชายคนนั้นตามมารยาท พร้อมกับมองเข้าไปในนัยน์ตาเขาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“เชิญนั่งก่อนครับ”
“งั้นเวนิสขอเรียกพี่มาร์คัสนะคะ”
“ตามสบายครับ” ตอบเพื่อนฉันเสร็จเขาก็กวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหาร
“สั่งกันเลยนะครับ” เวนิสรับเมนูมาจากพนักงานแล้วเปิดไล่ดูเมนูอาหาร
“แกจะกินอะไรแคทนิส”
“แค่ดื่มก็พอ ฉันไม่หิว” ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แอบลอบมองมาเฟียหนุ่มคนนั้นเป็นระยะๆ แต่เขากลับไม่ได้สนใจเวนิสเลยสักนิด เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ราวกับเพื่อนฉันไม่ได้สำคัญไม่ได้มีตัวตนอะไรสำหรับเขาเลย
“อุ้ย!!” เวนิสเผลอปัดกระเป๋าตกจนของกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“ช่วยเก็บให้เวนิสหน่อยได้ไหมคะ เวนิสใส่ชุดนี้มา เก็บไม่สะดวกเลยค่ะ” แทนที่จะบอกคนตรงหน้าเธอกลับส่งสายตาชี้ชัดไปที่บอดีการ์ดของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนคนตรงหน้าก็ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ยังคงนั่งนิ่งไม่สนใจเพื่อนของฉันเหมือนเคย
บอดีการ์ดหนุ่มคนนั้นเหมือนจะไร้ซึ่งหนทางที่จะปฏิเสธ เขาจำใจต้องเดินมาเก็บของให้กับเวนิส แต่ขณะนั้นเองเวนิสก็โน้มตัวลงไปฉันคิดว่าเธอจะช่วยเก็บแต่เปล่าเลย กลับฉวยโอกาสหอมแก้มบอดีการ์ดคนนั้นหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้สึกอาย ฉันได้แต่มองอย่างอึ้งๆ บอดีการ์ดคนนั้นรีบเบี่ยงหน้าหนีแล้วมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจ แต่เพื่อนฉันกลับส่งยิ้มหวานให้เขาหน้าละลื่นและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเพียงแค่ฉัน เท่านั้น (หรือเปล่า) ที่เห็น
“พี่มาร์คัสรับพนักงานที่กาสิโนหรือเปล่าคะ”
“เธอรู้ได้ไงว่าพี่มีบ่อน”
“ก็…” เวนิสหันมามองฉันเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“คุณยายเล่าให้เวนิสฟังเกี่ยวกับครอบครัวพี่มาร์คัสค่ะ” เวนิสนั่งประสานมือเท้าคางพูดอย่างสบายๆ ผิดกับฉันที่นั่งกำมือแน่นจนเหงื่อซึมเปียกไปหมด
“อืม”
“เวนิสขอฝากเพื่อนไปทำงานด้วยได้ไหมคะ”
“ทำงาน? ” เขาถามพร้อมกับยกคิ้วสูงอย่างสงสัย แล้วมองมายังฉัน
“ฉันผ่านการฝึกเป็นดีลเลอร์มาค่ะ” กล่าวออกไป ไม่รู้ว่าเขาจะรับไหม แต่ฉันหวังมากที่จะได้งานนี้
“แคทนิสเคยทำพาร์ทไทม์เป็นดีลเลอร์ที่อังกฤษด้วยนะคะ” เวนิสช่วยพูดอีกแรง
“พรุ่งนี้ลองเข้าไปที่บ่อน”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสองมือบีบแน่นเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ
หลังจากดินเนอร์เสร็จพวกเราก็แยกย้ายกันไป ฉันนั่งอยู่ในรถส่วนตัว มองไปยังรถตู้สีดำด้วยความโกรธแค้นตอนนี้ฉันสามารถเข้า ใกล้เขาได้แล้ว เป้าหมายของฉันต่อไปคือปลิดชีวิตของเขาให้สำเร็จ เมื่อรถตู้คันสีดำขับเคลื่อนผ่านไป ฉันก็มุ่งหน้ากลับมายังคอนโดของตัวเองทันที ก่อนจะเตรียมพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะพกไปทำงานด้วย
Parco Parco กาสิโน
หลังจากที่ผ่านการออดิชั่นเพื่อจะเป็นดีลเลอร์ ก็ได้ไปรับฟังกฎการทำงานของนี่ก่อนจะเริ่มทำงาน วันนี้เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วที่ฉันมาทำงานในที่แห่งนี้ ฉันทำในตำแหน่งคนแจกไพ่ ในรอบสวิง ช่วงเวลาทำงานคือหกโมงเย็นถึงตีสามและทำงาน5วันต่อสัปดาห์
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินไปประจำโต๊ะของตัวเอง วันนี้ฉันมาในชุดบิกินีสีแดงชุดทำงานที่นี่มีค่อนข้างหลากหลายแบบแต่ส่วนใหญ่จะเป็นคอสเพลย์เซ็กซี่ๆ เมื่อหย่อนก้นนั่งลงในตำแหน่งคนแจกไพ่ เพลเยอร์ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบสงบทันทีจากนั้นฉันจึงทำการแจกไพ่ให้กับเพลเยอร์ทุกท่าน
สองอาทิตย์ต่อมา
หลังจากที่ฉันกลับจากกาสิโน ก็มักจะมานั่งเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์จำนวนสี่เครื่องที่วางตั้งเรียงรายพร้อม คลื่นเสียงที่ขยับกราฟขึ้นลง ขณะที่ฉันนั่งใส่หูฟังอยู่นั้น เสียงสัญญาณการพูดคุยก็ดังขึ้นมา
‘ผมมีเรื่องจะรายงานครับ’ ฉันจำได้ นี่คือเสียงของลุยจิ
‘มีอะไร’ เมื่อสิ้นคำถามของมาร์คัสทุกอย่างก็เงียบไป พยายามนิ่งเพื่อตั้งใจฟังแต่ทุกอย่างกลับเงียบเกินไปจนผิดปกติ ฉันเลยตัดสินใจเปิดหน้าจออมอีกตัวที่เชื่อมต่อกับกล้องขนาดจิ๋วไว้ถึงได้เห็นว่าลุยจิส่งไอแพดให้มาร์คัสดูแต่ฉันไม่สามารถมองเห็นได้ว่าในจอไอแพดเขียนว่าอะไรเพราะมุมกล้องถูกร่างของลุยจิบังเอาไว้
‘มีการบันทึกลงยอดรายรับผิดปกติครับ’ หลังจากดูไอแพดเสร็จเสียงลุยจิก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
‘จัดการให้เงียบที่สุด’ หลังจากได้ยินคำสั่งของเขาฉันคิดว่าตัวเองคงมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว จึงรีบทำการส่งรูทคิทเข้าไปโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ทุกตัวที่กำลังจะเจาะข้อมูลเข้ามาในระบบของฉัน จากนั้นก็รีบเก็บข้าวของออกจากที่นี่โดยเร็ว ฉันจะไม่ปล่อยให้ภารกิจของตัวเองล่มเด็ดขาดเพราะกว่าจะหาทางเข้าใกล้ศัตรูได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลือกที่จะกลับไปวางแผนขั้นต่อไปที่คฤหาสน์ไกอัลริโนก่อนและยังกลับมาทำงานในที่กาสิโนตามปกติเพราะฉันมั่นใจว่าพวกนั้นยังไม่มีทางรู้ว่าฉันคือคนที่ติดกล้องติดอุปกรณ์ดักฟัง เพราะกว่าจะตามหาห้องลับของฉันเจอ ทุกอย่างก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว
ฉันขับรถสะกดรอยตามมาเฟียคนนั้นอย่างเงียบๆ เขามักจะไปค้างคืนอีกเมืองหนึ่งซึ่งฉันคิดว่านั่นไม่ใช่บ้านของเขาแน่นอน และก็เห็นว่าหมอนั่นมักจะคลุกคลีอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งเป็นประจำ รวมถึงฉันเคยเห็นเธอไปที่บ่อนอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งฉันคุ้นใบหน้าหญิงคนนั้นมากแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหน
ฉันสะกดรอยตามเขามาได้ 1 เดือนเต็มส่วนใหญ่เขาจะอาศัยอยู่ในเมืองเมสซีนาเป็นหลักและวันนี้ก็เป็นวันที่พร้อมจะลงมือ
ฉันขับบิกไบค์ตามรถตู้คันสีดำอยู่ห่างๆ ก่อนจะขับแซงขึ้นไปเพราะฉันพอจะเดาได้ว่าเขาจะพาผู้หญิงคนนั้นไปที่ไหน
เมื่อขับบิกไบค์มาถึงจุดหมายปลายทาง ก็ลือกที่จะจอดแอบอยู่ตรงมุมสุดด้านใน ก่อนจะลอบสังเกตฝั่งตรงข้าม เมื่อพวกเขาจอดรถเสร็จมาร์คัสพร้อมกับหญิงสาวคนนั้นก็เข้าไปด้านในของห้างสรรพสินค้า ระหว่างรอฉันก็เช็กอุปกรณ์ เช็กความพร้อมทุกอย่างสำหรับการหลบหนี กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มาเฟียหนุ่มคนนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับลุยจิ เขายืนกอดอกพิงรถแล้วมองไปทางประตูห้างเป็นพักๆ ราวกับรอใครสักคน ในจังหวะนี้ฉันจึงชักปืนออกมาก่อนจะเล็งเป้าไปที่ชายผู้นั้น พร้อมกับนิ้วชี้เตรียมกดลั่นไก
“มาร์คัส!!” เสียงตะโกนของคนที่เดินออกมาดังขึ้นพร้อมกับเสียงลั่นไกของปืน
ปิ๊ว!!