ลูกข่ายบางคนที่มาถึงก่อนหน้านั้น ต่างก็ช่วยกันยกเครื่องตัดถ่าง ลงมาตั้งไว้พร้อมกับประกอบให้เสร็จสรรพตามที่ได้รับอบรมกันมา ส่วนฉันก็คว้าหมวกแก๊ปมาสวมทับผม ที่ขมวดเป็นปมเอาไว้บนหัวของตัวเอง เพื่อกันไม่ให้มันตกลงมาเกะกะ ขณะกำลังปฎิบัติหน้าที่นั่นแหละ
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ตอนออกเหตุ ในเวลากลางคืนนั่นก็คือ ไฟฉายที่ใช้สำหรับส่องสว่าง เพื่อเอาไว้ส่งสัญญาณ เชิงบอกสัญลักษณ์ให้รถทุกคันได้รู้ว่า ทางข้างหน้ากำลังมีอุบัติเหตุ และสามารถสังเกตได้จากแสงไฟ
ส่วนชุดที่ใส่ของแต่ละคนควรจะมีแถบสีสะท้อนแสง ให้เห็นเด่นชัดได้ในเวลากลางคืน เพราะทำให้รถคันอื่นมองเห็น ว่าเรากำลังยืนอยู่ตรงไหน
ฉันเดินไปดูตรงจุดเกิดเหตุ พร้อมกับสังเกตุสภาพของรถยนต์ คันที่ชนเข้ากับเสาไฟฟ้า แล้วก็ได้เห็นว่าด้านหน้าของรถดังกล่าว ยุบเข้าไปจนถึงที่นั่งของคนขับ เขาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกหนีบเข้ามาจากคอนโซลด้านหน้าของรถ เลือดสีแดงสดจากหน้าผาก ได้ไหลหยดลงมาใส่เสื้อสีขาว จนแทบไม่เหลือพื้นที่ของสีเดิม
เจ้าของรถร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร เพราะเขากำลังทรมานจากอาการที่กำลังเป็นอยู่ จากที่ฉันดูเขาด้วยสายตา อาจประเมินได้ว่า ส่วนขาบริเวณหน้าแข้งของเขาน่าจะหัก หรือบางทีอาจจะหนักกว่านั้น ซึ่งฉันเองก็ยังไม่แน่ใจและไม่สามารถจะคาดเดาอะไรได้ เพราะฉันยังใหม่กับประสบการณ์เหล่านี้อยู่มาก ถึงแม้อยากจะช่วยเขามากแค่ไหนก็ตาม
เวลาผ่านไปร่วมสามสิบนาที ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือคนขับ ที่ได้รับบาดเจ็บออกมาได้ ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาจากจุดนั้น เพื่อทำหน้าที่อื่นเช่นการยืนโบกรถ ด้วยการใช้กระบองไฟเพื่อส่งสัญญาณ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงเดินกลับไปที่รถกู้ภัยของพี่ชาย
“เดินหาเศษตังค์หรือไง? ”
น้ำเสียงห้วนดังแถมยังกระด้าง ทำให้ฉันยืนชะงักค้าง พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงกว่าในระยะใกล้ และก็รู้ว่า เจ้าของคำถามที่ไม่มีหางเสียงนี้คือใคร?...
‘ตองเก้า’
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา และเขาก็คือคู่ปรับของพี่ชายฉันนั่นเอง
ฉันหรี่ตามองเจ้าของใบหน้าหล่อร้าย เชิงกวนกลับไปให้อย่างถือดี ขณะตอบเขาด้วยคำพูด ที่มีความหมายไม่ต่างกัน
“ เดินหาเศษสวะ อ้อ..เจอแล้ว!....ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง ”
ดวงตาของตองเก้าวาวโรจน์ เหมือนโกรธฉันมากเลยนั่นแหละ แต่คิดเหรอว่าทำอย่างนั้นแล้วจะทำให้ฉันกลัว ทั้งที่ตัวฉันก็เล็กกว่าเขามาก
“ เธอว่าฉันเป็นเศษสวะ อยากลองดีกับฉันนักหรือไงฮะ! ”
นั่นไง...ความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้ คงจะมีเกินร้อยนั่นแหละ แต่ฉันก็ไม่น้อยหน้าเขาเลยสักนิด
“ อ้อ..ชอบขู่ผู้หญิง...เก่งกับหมา กล้ากับเด็ก..นายคิดว่าฉันกลัวรึไง ”
ฉันเชิดหน้าพร้อมกับขึงตาใส่เขาอย่างไม่คิดจะยอมกัน นั่นทำให้ตองเก้าเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม แกมเยาะหยัน เขาต้องเห็นฉันเป็นตัวตลกแหงๆ
“ ฮึ...ตัวเล็กยังกะลูกหมา แค่ผลักก็ล้มไม่เป็นท่า อย่ามาทำปากดี ”
“ นิ้!ไอ้..”
“ อ๊ะๆๆ อย่าด่าฉันนะ” เขาชิงแทรกขัดจังหวะ ขณะชี้หน้าฉันก่อนจะพูดต่อ “ ไม่งั้นฉันจะจูบเธอโชว์ตรงนี้...เก่งนักก็ท้าสิ? ”
“......”
ใครจะกล้าไปท้าคนบ้าๆ อย่างเขาละ...
ดูจากสีหน้าและแววตา บวกกับท่าทางเอาจริงเอาจังของตองเก้า ทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลัง พลางกำหมัดของตัวเองไว้แน่น ด้วยความคับแค้นใจ ที่ทำอะไรตองเก้าไม่ได้ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า ซึ่งเรียกได้ว่ากระดูกคนละเบอร์ และอย่าเผลอไปมีเรื่องกับคนอย่างเขา เพราะเราอาจเจ็บตัวเอาง่ายๆ
พุทธหายใจเข้า โธหายใจออก นึกถึงคำพูดของพ่อที่เคยบอกและสอนฉันเอาไว้ว่า
“เวลาโกรธใคร ให้เรานับหนึ่งถึงร้อยนะลูก พอถึงร้อยเราก็หายโกรธเขาพอดี”
เอาเข้าจริงแล้ว เราจะมีเวลาให้นับได้ไหมละ!?
“ ไอ้เก้า!...มึงคิดจะทำอะไรน้องสาวกู!”
จู่ๆ พี่อุลตร้าก็ดึงฉันออกมาจากตรงหน้า ในจังหวะเดียวกัน ก็เอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนดัง และตั้งท่าจะเข้าไปเอาเรื่องกับอีกคน จนฉันต้องจับยึดแขนพี่ชายเอาไว้แน่นๆ
“ พี่อุล! ใจเย็นก่อนพี่ อย่ามีเรื่องกันที่นี่นะ!”
ฉันรีบเตือนสติคนเป็นพี่ชาย เพราะสายตาของใครหลายคน กำลังมองมาที่เราอย่างสนใจ เราทุกคนต่างก็มาเพื่อช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน และไม่ควรมีเรื่องกันตอนนี้ ซึ่งตองเก้าก็น่าจะรู้ดี
“ นึกว่าใคร...ไอ้ของเสียนี่เอง น้องมึงน่ารักดีว่ะ ระวังให้ดีแล้วกันนะ เพราะกูจะเอาคืน ”
ตองเก้ากล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเหยียดยิ้มร้ายกาจ แล้วมองพี่ชายฉันด้วยสายตาคาดโทษ ราวกับกำลังโกรธกันมากมาย ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปที่กลุ่มของเขา
ฉันรู้ว่าพี่อุนโกรธจัด เพราะเห็นเขากัดฟันตัวเอง จนเป็นสันนูนขึ้นตอนพูดกับตองเก้า แต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ ฉันมีความรู้สึกว่าระหว่างพี่ชายกับนายตองเก้า จะต้องมีอะไรกันที่ฉันไม่เคยรู้ เพราะอยู่ๆ ตองเก้าก็พูดทิ้งทายออกมาว่า จะเอาคืน....
แล้วพี่ชายของฉันก็ดูหน้าตื่นๆ ชอบกล!
ของอะไรกัน?...ที่คนเป็นพี่ชายฉันได้ไปเอาของเขามาน่ะ...แล้วของที่ว่านั่น ตองเก้าจะเอาคืนจากพี่ชายของฉันได้ยังไง?
เมื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บออกมา และพาขึ้นรถของโรงพยาบาล เพื่อให้จัดการกับคนเจ็บต่อไป ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องแยกย้าย และพากันกลับบ้านใครบ้านมัน
ฉันเห็นพี่อุลตร้านั่งเงียบมาตลอดทาง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ถึงอยากจะรู้แต่ฉันกลับไม่อยากถาม เพราะความง่วงที่มีมากกว่า
“...อันนา ”
เสียงเรียกชื่อฉันของคนป็นพี่ชาย ทำให้ฉันชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าประตูห้อง ก่อนหมุนตัวหันมามองแล้วถามกลับไปสั้นๆ ว่า
“มีไร?”
“ ...ถ้าไอ้เก้ามันมาเกาะแกะกับแกอีก แกรับปากกับพี่ได้ไหมว่าจะไม่ไปยุ่งกับมัน? ”
สีหน้าที่ดูกังวลใจของพี่ชาย ทำให้ฉันจำเป็นต้องพยักหน้ารับกลับไป เพราะรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าของตองเก้าเข้าไปแล้วนั่นแหละ
“ พี่แค่อยากเตือนแกเอาไว้ ว่าไอ้เก้ามันจ้าชู้ และไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนจริงจังเลยสักคน แกจะต้องอยู่ให้ห่างจากมันเอาไว้นะรู้ไหม? ”
ก็พูดแบบนี้ทุกที ที่เห็นน้องสาวมีผู้ชายเข้ามาใกล้ และไม่เคยส่องกระจกมองตัวเองบ้างเลยว่า ที่พูดออกมานั่นมันคือนิสัยของพี่อุลชัดๆ
“แต่เขาหล่อมากเลยนะ แล้วเวลาที่เขามองสบตาฉันที ใจงี้แทบละลาย”
ฉันแกล้งยั่วพี่ชายเล่น แต่เมื่อเห็นเขาทำหน้าตาตื่นตกใจ ฉันจึงพูดความจริงออกไปว่า
“ แหม...คนที่จะมาเป็นแฟนฉันได้ เขาจะต้องเป็นถึงเดือนคณะ หรือไม่ก็ระดับเดือนมหาลัย แล้วผู้ชายคนนั้น จะต้องผ่านการสแกนด้วยสายตาของพี่ชาย เพราะผีก็ย่อมเห็นผีอยู่แล้วใช่มั้ยละ ฮ่าๆ ”
ฉันหัวเราะร่าอย่างชอบใจ ที่สามารถแกล้งพี่ชายกลับไปได้ จากนั้นจึงเดินเข้าห้อง และทำทีเป็นไม่สนใจ ในคำพูดของพี่ชายตัวดี...
“ เฮ้ย!อันนา! พี่จริงจังนะเว้ย แกทำเป็นเรื่องตลกไปได้ เรื่องอื่นพี่ไม่ว่า แต่เรื่องนี้พี่ขอนะ...”
ฉันส่ายหน้าขำๆ...เมื่อได้ยินเสียงของพี่ชาย ตะโกนไล่หลังย้ำฉันมาอีกครั้ง...