“บันดาลโทสะ" อาจารย์เอ่ยพร้อมกับพยักหน้า “ภาพที่อาจารย์เห็นมันฟ้องว่าพระจันทร์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน นักศึกษามีข้อโต้แย้งไหม เพราะถึงอย่างไรทางเมญ่าเขาก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไร"
“…ไม่มีค่ะ" พระจันทร์ยอมรับความผิดแต่โดยดีด้วยไม่รู้ว่าถ้าฝืนรั้นเถียงต่อไป โทษที่ได้รับอาจจะหนักขึ้น หรือเมญ่าอาจจะโกรธจนหาเรื่องอื่นมาเล่นงานเธออีกก็ได้
ตอนนี้ขอจัดการเรื่องค่าเทอมให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า
“งั้นอาจารย์จะทำทัณฑ์บนกับคณะเอาไว้ อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ทะเลาะวิวาทในมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องไม่ควร ส่วนเธอ เมญ่า ถ้าเพื่อนขอโทษแล้วก็ถือว่าเป็นอันจบ ไม่ใช่ไปพูดจาพาดพิงถึงครอบครัวของคนอื่น เธอต้องไปเก็บชั่วโมงจิตอาสาแปดชั่วโมงสำหรับเรื่องนี้ เข้าใจที่อาจารย์บอกไหม"
“เข้าใจค่ะอาจารย์" เมญ่าตอบกระแทกเสียง พร้อมกับหันไปมองพระจันทร์ตาขวางราวกับจะโทษว่าสาเหตุที่เธอต้องไปทำจิตอาสาถึงแปดชั่วโมงมาจากพระจันทร์ ทั้งที่ความจริงคือหล่อนทำตัวเองแท้ ๆ
“งั้นก็เชิญเธอออกไปก่อนได้เลย อาจารย์มีเรื่องจะคุยกับพระจันทร์เป็นการส่วนตัว" อาจารย์พยักเพยิดใบหน้าเป็นการเชิญให้เมญ่าออกไปทางอ้อม หญิงสาวผมบลอนด์ลุกขึ้นด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ยกมือไหว้ปลก ๆ ก่อนจะเดินออกไป
“อาจารย์มีเรื่องอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ" พระจันทร์ถามขึ้นเพราะเดาไม่ออกเลยว่าอาจารย์ประจำภาควิชาจะมีเรื่องอะไรมาคุยกับเธอ
“พอดีอาจารย์ได้รับเรื่องจากฝ่ายการเงินมา..รวมถึงอาจารย์ท่านอื่น ๆ ในภาควิชาของเราก็พูดกันถึงเรื่องนี้ พระจันทร์ หนูค้างค่าเทอมของมหาวิทยาลัยมานานมากแล้วนะ นี่ก็จะทบเป็นสองเทอมแล้ว ไหนจะค่าศึกษาดูงานนอกสถานที่ที่เพื่อน ๆ คนอื่นเขาจ่ายกันเรียบร้อยอีก อาจารย์จะมาคุยกับหนูว่าหนูยังพยุงค่าใช้จ่ายทุกอย่างไหวหรือเปล่า"
พระจันทร์หน้าซีดเมื่อได้ยินแบบนั้น หัวสมองมึนเบลอนึกถึงทุกความฝันและความคาดหวังที่พ่อกับแม่ฝากเอาไว้จนพูดอะไรไม่ออก
“อาจารย์คิดว่าถ้าเทียบโอนไปเรียนภาคปกติ คงจะช่วยได้พอสมควร…ถึงแม้บางวิชาจะหายไป แต่คุณภาพของมหาวิทยาลัยเราก็ใช้ได้เลยนะพระจันทร์"
“ถึงจะ..เทียบโอนไปเรียนภาคปกติ ค่าเทอมก็ลดไม่มากเท่าไหร่นี่คะอาจารย์ อาจารย์อย่าเพิ่งไล่หนูออกนะคะ หนูจะหาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้ได้ค่ะ ตอนนี้หนูมีเงินอยู่หนึ่งแสนบาท มากพอสำหรับการจ่ายค่าเทอมกับค่าศึกษาดูงานแน่นอนค่ะ" พระจันทร์ร้องขอความเห็นใจ แต่อาจารย์กลับส่ายหัว
“อาจารย์รู้นะ ว่านักศึกษาทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินตรงนั้นมา แต่นักศึกษายังต้องเรียนไปอีกสองปี อาจารย์คิดว่าค่าใช้จ่ายมันสูงเกินไป ในปีสามนี้มีโครงการที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ อาจารย์คิดว่าพระจันทร์คงพยุงค่าใช้จ่ายไม่ไหวแน่ ๆ ลองคิดเรื่องเทียบโอนไปภาคปกติดีไหม"
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงอาบแก้มเมื่อพระจันทร์รู้สึกเหมือนตนถูกแรงกดดันจากทุกทิศทุกทางบีบอัดเข้ามาจนไร้ซึ่งทางจะหลบเลี่ยง ทั้งที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากจะทำตามความฝันที่พ่อกับแม่ตั้งใจเอาไว้ให้สำเร็จแท้ ๆ
‘พ่อจะส่งพระจันทร์ลูกพ่อเรียนจบเชฟให้ได้เลย’
‘ภาคอินเตอร์ด้วยนะจ๊ะ พระจันทร์ลูกแม่ชอบดูหนังฝรั่ง เวลาเรียนจะได้ออกไปหาความรู้รอบโลกไปเลย แม่จะสนับสนุนลูกแม่เอง’
ถ้าหากเธอทิ้งความฝันของตนไปตอนนี้ พ่อกับแม่ก็คง..
คุณเตชินทร์
ชื่อของคนที่เสนอสัญญาให้เธอแวบเข้ามาในห้วงความคิด พระจันทร์มองหน้าของอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตามุ่งมั่น
“ไม่ว่ายังไงหนูก็จะเรียนให้จบภาคอินเตอร์ให้ได้ค่ะ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ความฝันของหนู แต่เป็นของคนที่หนูรักมากที่สุดในชีวิต..ที่เขาไม่มีโอกาสทำได้แล้ว ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะอาจารย์ แต่หนูจะทำให้ได้ค่ะ”
…
เรือนกายสูงโปร่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังคนขับ บนรถสปอร์ตสุดหรูราคาแพงลิบ สารถีในวันนี้คือสมิธ บอดีการ์ดหนุ่มตาน้ำขาวที่เชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้เกือบทุกแขนง พ่วงด้วยทักษะการใช้ปืนพกที่เก่งระดับที่ไม่เป็นสองรองใคร คนขับที่รู้จุดหมายปลายทางดีอยู่แล้วนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความเครียดเกร็งเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย
“เอ่อ…เจ้านายครับ คือว่า…”
“กูบอกให้ขับต่อไปเรื่อย ๆ เทวาบอกกูหมดแล้ว" เตชินทร์พูดเสียงแข็งกร้าว ในดวงตาสีเทาหม่นเต็มไปด้วยร่องรอยโทสะเข้มข้น เทวาที่เขาพูดถึงคือผู้ช่วยที่คอยรับหน้าที่ประสานงาน และเป็นสื่อกลางระหว่างเขากับคนที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิต มาโดยตลอด
“ครับเจ้านาย..” สมิธหยุดเอ่ยปรามพร้อมกับเร่งความเร็วของรถมากขึ้นเพื่อให้ถึงที่หมายได้ไว คฤหาสน์ตระกูลอัศวฤกษ์ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก สีขาวสะอาดตาของมันทำให้เตชินทร์รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียน
เพราะคนคนนั้น…ทำให้เขาเกลียดสีขาว
ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกอยากหนีไปให้พ้น
“เจ้านายแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ… ให้ผมเข้าไป..”
“มึงไม่ต้องเสือก" เตชินทร์ตวัดสายตามองสมิธที่มาเปิดประตูรถให้ เขาลงจากรถพร้อมกับก้าวอาด ๆ ไปอย่างไม่กริ่งเกรงสิ่งใด ทำเอาเหล่าคนรับใช้ของอัศวฤกษ์แตกตื่นกันเป็นแถวเมื่อเห็นว่าใครมาเยือน ณ ที่แห่งนี้
เพียงแค่ผ่านประตูบ้านไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของใครบางคนที่เตชินทร์ไม่อยากพบหน้าก็ปรากฏให้เห็น หล่อนคือหญิงวัยเลขสี่ปลาย ๆ ที่ออกกำลังกายประจำทำให้ร่างกายดูเหมือนตนเป็นสาวรุ่นอยู่เสมอ ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยคำทักทายไม่รื่นหู
“อุ๊ยตาย แม่ก็นึกว่าใคร เตชินทร์ลูกแม่นี่เอง วันนี้ลมอะไรหอบลูกมาจ๊ะ ไม่เห็นหน้าเห็นตานานเชียว แม่ก็นึกว่าลูกรักของแม่จะตายไปแล้วซะอีก" หล่อนจีบปากจีบปากจีบคอพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงแหลมจนกังวานไปทั่วทั้งโถงชั้นหนึ่ง
“คุณวณีคะ…อย่าพูดแบบนั้นสิคะ" หญิงรับใช้วัยชราคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เอ่ยปรามผู้เป็นนายของตน แต่นั่นก็ยิ่งทำให้วณีมีน้ำโหขึ้นมาแทน
“ไม่ต้องยุ่งซักเรื่องจะได้มั้ยอีแก่! แม่กับลูกเขาจะคุยกัน!” วณีแสดงสันดานดิบของตนออกมา แม้ตอนนี้จะดำรงตำแหน่งเป็นถึงนายหญิงใหญ่ของบ้านอัศวฤกษ์ก็ตาม “อ้าว เตชินทร์ลูก ทำไมแม่พูดแล้วไม่พูดด้วยล่ะจ๊ะ มาทานข้าวกับแม่ซักมื้อหน่อยไหม หรือว่าอยากจะขึ้นไปทักทายน้องชายที่ห้องดี โอ๊ะ ลืมไป ห้องที่น้องอยู่ตอนนี้คือห้องของเตนะลูก แม่เห็นเตไม่ค่อยกลับบ้าน ก็เลยยกให้น้องไปแล้ว.. เตคงไม่ว่าอะไรแม่ใช่ไหม"
เตชินทร์ได้ยินเสียงเส้นเลือดในขมับของตนกำลังเต้นเร่า ๆ จนแทบระเบิดออกมา เขาเค้นเสียงตอบไปอย่างใจเย็น “หุบปาก..”
“ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะจ๊ะ เตลูกแม่ แม่อุตส่าห์พูดดี ๆ กับลูกนะจ๊ะ" วณีเค้นเสียงตอบกลับไปไม่ต่างกัน
“กูบอกให้มึงหุบปาก..” คราวนี้เตชินทร์ใช้เสียงที่ดังขึ้น ดวงตาสีเทาลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะที่ยากจะดับ “มึงไม่ใช่แม่กู..!”