รอยด่างของความสมบูรณ์แบบ #1

1224 Words
“มึงไม่ใช่แม่กู..!” ความรู้สึกโกรธที่สุมอยู่ในอกแทบปะทุออกมาจนเตชินทร์ทนไม่ไหว เขาตวาดเสียงดังลั่นอย่างไม่นึกกริ่งเกรงเลยว่า โล่กำบังที่แม่เลี้ยงใจมารอย่างวณีคอยยึดถือเกาะเกี่ยวไว้จะผ่านมาได้ยินเข้าหรือไม่ โล่กำบังนั้น…คือคนที่เตชินทร์เคยเรียกว่าพ่อได้เต็มปาก “ต๊าย! พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง เตชินทร์! คิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วจะมาพูดจาอวดดียังไงก็ได้เหรอ รู้มั้ย ว่าถ้าเมื่อยี่สิบปีก่อนแกไม่มีฉัน แกไม่มีทางโตมาจนถึงวันนี้หรอก ไอเด็กเวรเนรคุณ!” วณีชี้นิ้วมาทางเตชินทร์พร้อมกับเต้นเร่า ๆ เมื่อถูกพูดจาหยาบคายใส่ ทั้งที่สันดานดิบของตนนั้นหยาบกว่าคำพูดที่ได้รับหลายเท่า “อย่าคิดนะว่าแค่เปิดบริษัทเครื่องเทศกะโหลกกะลานั่นแล้วจะทำให้แกยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้น่ะ สุดท้ายแล้วแกมันก็ใช้นามสกุลอัศวฤกษ์ นามสกุลที่แกเกลียดจนอยากตายไปให้พ้น ๆ ไม่ใช่หรือไง จำใส่หัวสมองของแกไว้เลยนะเตชินทร์ แกไม่มีวันหนีความจริงได้หรอก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ว้าย!” ความอดทนของเตชินทร์ไม่ได้มีมากพอสำหรับผู้หญิงปากร้ายที่ยืนอยู่ต่อหน้า เขาพุ่งตรงเข้าไปหาพร้อมกับใช้มือของตนบีบเข้าที่ลำคอของหล่อนอย่างแรงเพื่อหยุดคำพูดโสมมหลังจากนี้ไม่ให้หลุดออกมา “อั่ก…ไอ้..ไอ้เด็กบ้านี่! คุณไตรคะ! อึก คุณไตรขา ช่วยวณีด้วยค่ะ!” วณีเริ่มดีดดิ้นแรงขึ้นเมื่อตนกำลังจะขาดอากาศหายใจ เตชินทร์มองแม่เลี้ยงของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต หมอกหม่นในดวงตาก่อขึ้นเป็นลมมรสุมที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงทรงอำนาจของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง “เอามือออกจากคอของแม่เขาได้แล้ว!” เตชินทร์ตัวชาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตทั่วร่าง แรงที่กำลำคอของวณีอยู่เป็นอันหยุดลงดื้อ ๆ หล่อนจึงรีบดึงมือของเขาออกแล้วถลาไปยังบุคคลที่เดินเข้ามาใหม่ซึ่งอ้าอ้อมกอดกางปีกรอโอบอยู่แล้ว “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกถึงได้ทำร้ายร่างกายแม่เขาน่ะ" “มันไม่ใช่แม่ของผม..” เตชินทร์เค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก เขาค่อย ๆ หันใบหน้ากลับไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนลูบหลังลูบไหล่ปลอบวณีอยู่อย่างเชื่องช้า ดวงตาสีเทาสะท้อนภาพของคนที่มีดวงตาสีเดียวกัน คนที่เป็นต้นเหตุของอาการนอนไม่หลับที่เกิดต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ไตรภพ อัศวฤกษ์… พ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง … หากนึกถึงนักธุรกิจที่มีรูปเป็นทรัพย์ คงไม่มีใครไม่รู้จักเตชินทร์ อัศวฤกษ์ ประธานบริษัทเอเอสอาร์กรุ๊ปจำกัด ผู้นำเข้าและส่งออก รวมถึงแปรรูปผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องเทศ ที่ทำกำไรไปได้สูงถึงปีละหลายหมื่นล้านโดยใช้เวลาเพียงห้าปีเท่านั้น สาวน้อยสาวใหญ่ที่พอจะรู้โปรโฟล์ของเขาอย่างตื้น ๆ ก็ได้แต่ฝันหวานว่าตนคงจะมีโอกาสสักครั้งที่ได้ใกล้ชิด และเสนอตัวอยากจะเป็นคนข้างกายของชายหนุ่ม เตชินทร์ในสายตาของสาธารณชนคือคนที่เพียบพร้อมไปหมดทุกด้าน ทั้งใบหน้าที่หล่อเหลาตามสมัยนิยม ร่างกายที่แข็งแรงสมส่วน อุดมไปด้วยมัดกล้ามอย่างพอดิบพอดี ชาติกำเนิดที่เป็นถึงทายาทตระกูลอัศวฤกษ์ เจ้าของบริษัทนำเข้าและส่งออกธัญพืชอันดับหนึ่งของประเทศ เรียกว่าเกิดมาบนกองเงินกองทองก็คงไม่ผิด แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ความสมบูรณ์แบบไม่มีใครเกินของเขา กลับมีรอยด่างเป็นแผลใหญ่อยู่ที่กลางหลัง ซึ่งมีเพียงแค่ตัวของเตชินทร์กับคนสนิทอย่างนรากรเท่านั้นที่รู้ดีว่าคืออะไร.. เมื่อยี่สิบปีก่อน ดวงตาสีเทาของเตชินทร์ไม่ได้หมองหม่นและคลุมไปด้วยไอหมอกเฉยชาเหมือนอย่างทุกวันนี้ มันเต็มไปด้วยประกายแห่งความสดใสของวัยเยาว์ อย่างที่เด็กชายวัยเก้าขวบเศษ ๆ ควรจะเป็น เด็กชายเตชินทร์ อัศวฤกษ์ เติบโตมาด้วยความรักจากครอบครัวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้จะเป็นหลานชายที่ไร้ซึ่งปู่ย่าหรือตายายที่คอยโอบอุ้ม เนื่องจากท่านทั้งหลายต่างจากไปด้วยโรคชราภาพก่อนแล้ว แต่ผู้เป็นพ่อและแม่ของเขาก็อุ้มชูดูแลเป็นอย่างดีเสมอมา ชลดา อัศวฤกษ์ หรือแม่ดาที่เตชินทร์เรียกจนคุ้นปาก คือภรรยาสุดที่รักเพียงหนึ่งเดียวของไตรภพ ทั้งคู่สมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฝ่ายสามีก็ยกยอภรรยาออกหน้าออกตาให้สื่อสังคมได้รับรู้โดยทั่วกัน ชลดาเป็นผู้หญิงสง่าใบหน้าสวยคม ลูกสาวของหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทของไตรภพ แม้จะเข้าตำราสมภารกินไก่วัดแต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าการแต่งงานของทั้งสองคนเกิดมาจากความรักโดยแท้ ไม่ได้มีเรื่องของธุรกิจมาเป็นตัวแปรเลยแม้แต่น้อย เตชินทร์รักพ่อไตรและแม่ดาของตัวเองมาก เขาเฝ้ารอที่จะได้รับของขวัญชิ้นใหม่ในวันเกิดปีที่สิบของตนอย่างใจจดใจจ่อ เด็กชายตัวสูงโปร่งกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันคุยโวกับนรากรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เมื่อครั้งอนุบาลเอาไว้เสียยกใหญ่ ว่าของขวัญวันเกิดที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะต้องเป็นรถบังคับที่ตนอยากได้แน่นอน นรากรเองก็เตรียมของขวัญวันเกิดเอาไว้เซอร์ไพรส์เพื่อนเช่นเดียวกัน ทว่าในเช้าวันเกิดปีที่สิบของเตชินทร์ เขากลับเห็นสีหน้าของพ่อและแม่ตนไม่สู้ดีนัก เพราะได้รับข่าวมาว่ารถตู้ของครอบครัวอัศวฤกษ์ประสบอุบัติเหตุถูกรถสิบล้อพุ่งเข้าชนที่ทางกลับรถ เตชินทร์ที่มีบาดแผลเต็มแผ่นหลังรวมถึงต้นขาข้างซ้ายยืนมองภาพของรถตู้ที่ตนนั่งมาตลอดสิบปีด้วยสายตาว่างเปล่า ข้างกันมีผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นคนลากเขาออกมาในชั่ววินาทีสุดท้ายก่อนที่ยานพาหนะซึ่งถูกรถสิบล้อบดขยี้จะระเบิดออกมา เปลวเพลิงและควันไฟสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทาหม่นของเตชินทร์ เพราะแม่อันเป็นที่รักยังคงอยู่ในนั้น เพราะร่างของเขาถูกเบาะทับเอาไว้ ไตรภพจึงต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในการดึงออกมา นั่นเป็นเพราะคำร้องขอของผู้เป็นแม่ซึ่งอยู่ลึกกว่าทำให้พ่อไม่ยอมตัดใจในการช่วยเหลือเขา ‘เพราะมัวแต่ช่วยลูก เลยเสียเมียไป น่าสงสารจริง ๆ’ คำพูดของหน่วยกู้ชีพที่พยายามมาถึงให้ทันท่วงที แต่ก็ยังคงช้าไปกว่าความไวของเพลิงที่ลุกโหมอย่างรวดเร็ว เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสังเวช
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD