พอพี่หมอกตัวจริงเสียงจริงเพื่อนของพี่เคนมาแต่เขามาด้วยสภาพที่เปลือยท่อนบนผมยุ่งเหยิงเหมือนคนพึ่งตื่นอนหมาดๆ แถมยังมีรอยเเดงบริเวณซอกคออีกต่างหาก แต่เขามาคนเดียวนะไม่ได้พาใครมาด้วย หน้าตาก็ดีไม่แพ้กันแถมนิสัยยังถอดแบบกันมาอีก อืม เขาเพื่อนกันหนิเนอะ
อ่า~ ง่วงจะตายชักอยู่แล้ว
ผมยืนเช็ดหัวตัวเองไปพลางๆ สลับกับมองเพื่อนพี่เคนเขาจัดการเเบกร่างของพี่เเกขึ้นมา ใบหน้าเเลดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเเต่ผมก็คาดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก อาจจะเป็นเเค่ไข้หวัดจากฝนเนี่ยเเหละ คนตากฝนตัวก็ต้องซีดเป็นธรรมดา ..ใจเย็นหน่า ผมกำลังปลอบใจตัวเองอยู่เพราะถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาผมอาจจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
"ไม่คิดว่าจะลงทุนขนาดนี้"
"หะ เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะ"ผมถาม เเล้วก็เพ่งสายตามองไปที่ร่างสูงบนเตียง
มันเบลอมากตอนนี้เพราะผมพึ่งถอดเเว่นวางเอาไว้ ผมเกลียดโลกที่ไม่มีเเว่นผมจังเลยมองอะไรก็ไม่ชัด เผลอๆ ไปจ้องชาวบ้านเขาจะหาว่าผมไปหาเรื่องเอาได้น่ะดิ หน้าตาปกติผมก็กวนส้นตีนมากพอเเล้ว
"คิดดูสิครับ ถ้าเปรียบไอ้เคนมันเป็นนักธุรกิจมันก็คงเป็นนักลงทุนในสาขาที่โคตรจะเสี่ยงว่าตัวเองจะได้กำไรหรือขาดทุน ..ถ้าได้กำไรก็โคตรฟลุ๊คเเต่ถ้าขาดทุนมันก็จะไม่เหลืออะไรเลย หมดตูดน่ะครับ ฮึๆ "
"ไม่เห็นเข้าใจ พวกพี่เป็นโคนันหรอถึงต้องพูดจาให้คนอื่นเขาไขรหัสบอกตามตรงเเค่พูดธรรมดาก็ฟังไม่รู้เรื่องเเล้ว"
ผมบ่นอุบอิบกับการเปรียบเปรยนักธุรกิจกับการลงทุนของพี่เเกซะเหลือเกิน จะบอกว่าผมโง่ก็เกินไปให้เรียกว่าไม่ค่อยเข้าใจในทฏษดีจะดีกว่า
"สักวันถ้าน้องเปารู้ น้องเปาอาจจะขอบคุณพี่ในวันนี้นะครับ ..ไอ้เคนนะไอ้เคนหายตอเเหลเมื่อไหร่พรุ่งนี้มาหากูที่ห้องด้วยอะจะวันเกิดกูเเล้ว ...สาวเพียบ"
"เหอะ.."
ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอามองพี่หมอกที่นั่งคุยกับพี่เคนเหมือนจะรู้เรื่อง ทั้งๆ ที่อีกคนนอนป่วยซมริมฝีปากเเห้งสนิท น่าสงสารเขานะครับที่มีเพื่อนเป็นคนบ้า ผมมองสลับกับหันไปคว้าเเว่นมาใส่เอาไว้ โลกที่ไม่มีความโฟร์เคไม่ไหวเอาซะเลย
เเล้วเมื่อไหร่พี่เเกเขาจะตื่นขึ้นมาสักที ผมง่วงจะตายอยู่เเล้ว -*-
22.40 P.M.
ผมยังคงนั่งเฝ้ารอพี่เคนฟื้นมาเกือบจะสามชั่วโมงได้ ส่วนพี่หมอกแกเองก็บอกจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เคนก่อน พอเขาฟื้นแล้วค่อยกลับ ผมว่าตอนนี้ผมกำลังโดนหวัดเล่นงานอย่างจังเเล้วล่ะ
“พี่เองก็กลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าให้”
“เกรงใจน้องอะดิ”
“ไม่ต้องหรอก เออว่าแต่.. รถพี่เคนเป็นยังไงบ้าง” ผมถามขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อของพี่เคนในตู้เสื้อผ้าอย่างถือวิสาสะ ให้เขาถอดเสื้ออยู่แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้างนอกฝนยังตกพรำๆ อยู่ด้วย หนังคนหรือหนังสัตว์ทำไมมันถึงได้หนาถอดเสื้อมาหาเพื่อนขนาดนี้ก็ไม่รู้
“พี่ให้คนส่งไปซ่อมแล้วล่ะ อีกสักอาทิตย์คงใช้ได้”
“อืม.. ใส่เสื้อพี่เคนไปก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนะครับน้องเปา.. น่ารักจังนะเราเนี่ย”
แข็ง! ชา! ดิก!
ผมตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกได้แต่กรอกตามองพื้นไปมา คนตรงหน้าแค่นหัวเราะเหมือนชอบใจ เขาสวมเสื้อแล้วก็จัดทรงผมเล็กน้อย แต่แค่นั้นพี่เขาเองก็ดูดีขึ้นมาเยอะเลย หรืออันที่จริงเบ้าอาจจะดีอยู่แล้วล่ะมั้ง = =’
“พี่หมอก” ผมเรียกชื่อเขาเอาไว้ ก่อนที่คนร่างสูงเองจะเดินออกจากห้องไป เขาหันหน้ามามองผมพร้อมคลี่รอยยิ้มและเลิกเรียวคิ้วเรียวนั่นขึ้นมองมาที่ผม
“ครับ?”
“ผมขอถามอะไรอย่างนึงได้ไหม ..ครับ”
ในกรณีนี้ที่พูดเพราะด้วยเพราะต้องการจะล้วงความลับของคนที่นอนซมอยู่บนเตียงต่างหาก พี่หมอกเองแลดูเป็นคนเฟรนลี่แล้วก็อาจจะนิสัยดี อาจจะดีน่ะนะ ..แต่ผมว่าน่าจะพึ่งได้อยู่ น่าจะอีกนั่นแหละ = =
“ได้สิครับ คนน่ารักแบบนี้ถามกี่อย่างพี่ก็ตอบครับ”
ความหน้าหนาก็คงจะมีปริมาณเท่าๆ กับพี่เคนนั่นแหละ ดูจากการยิงมุขแล้วพี่หมอกเองน่าจะหลีสาวเก่งกว่าเยอะ ไม่แปลกใจเลยสักนิดตอนที่เขาโทรมาเสียงสาวๆ ตรึม
พ่อเสือสาว ผมล่ะกลัวจริงๆ! -.-
ผมไม่รู้หรอกนะว่าในแก๊งเสือของเขามีใครแล้วชื่ออะไรบ้าง ผมแค่รู้ว่ามีห้าคนห้าเสือแค่นั้น และก็พึ่งรู้จักพี่หมอกนี่แหละ สายหมอก เสือผู้หญิงของจริง
“ผมอยากรู้ว่าพี่เขามีแฟนแล้วหรือยัง”
“ฮ่ะๆ ๆ ..พวกพี่ไม่เคยมีแฟนหรอกครับ ที่เป็นตัวเป็นตนน่ะนะ” เขาว่าพลางหัวเราะก๊ากยกใหญ่ ผมแค่ถามคำถามที่อยากรู้ไม่ได้มาโชว์คณะตลกว้อยขำอะไรของแกฟร่ะ!
แต่ภายใต้เสียงหัวเราะแววตาของเขามันเผลอฉายแววความเกรี้ยวกราดออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตนเองด้วยซ้ำ
ถ้าจะมีใครสักคนที่น่ากลัว ..ผมว่า ..พี่หมอกนี่แหละน่ากลัวสุด เเต่ก็เเค่คาดเดา บางทีพี่เเกอาจจะติสก์เเตกก็ได้ ใครจะไปรู้
“แล้วการที่เพื่อนของพี่มาให้ความหวังเพื่อนผมมันคืออะไร..”
ผมถามเสียงแข็ง ผมต้องการคำตอบที่ได้ยินแล้วจะมองพวกเขาดีขึ้นเท่านั้น ถ้าเกิดพี่เคนเขาจริงจังกับไอ้พลูผมก็จะสบายใจ เพราะทั้งฐานะ หน้าตา การศึกษา ชาติตระกลู เขาเพียบพร้อมทุกอย่าง
แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี จากวันนี้ที่ออกไปกับผู้หญิงคนนั้น..
“ฟังนะน้องเปาครับ ..เพื่อนพี่ไม่เคยให้ความหวังใคร มีแต่พวกเขาเองเท่านั้นที่คิดไปว่าพวกเรามีใจ ..ฟังดูเลวใช่ไหมล่ะครับ ..แต่นั่นแหละความจริง ความจริงไม่มีมโน ฮ่ะๆ ๆ”
“อืมโคตรเลว ชั่วได้ใจมาก มอบรางวัลสตออวอร์ดเลย ..ได้ยินชัดใช่ไหมล่ะครับ ผมพูดจากใจจริง ไม่ใช้แสตนด์แต่เป็นความจริงล้วนๆ”
“ว้าว ปากร้ายเหมือนที่ไอ้เคนเคยเล่าเลยนะเนี่ย”
“ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในวงเม้าของพวกพี่ๆ นะ รู้สึกสำคัญขึ้นมาทันทีเลยแหะ”
“ระวังล่ะ..”
“..?” ผมเลิกคิ้วในเชิงถามคนตรงหน้า เขากระตุกยิ้มมุมปาก สายตาคมช้อนขึ้นมามองผมอีกรอบ
“ระวังจะตกหลุมรักเพื่อนพี่เข้าล่ะ ..แล้วเราเองจะติดใจ”
“พี่หมอกเองคงต้องรอไก่ออกลูกเป็นตัวน่ะครับ ผมถึงจะเสียใจกับผู้ชายแบบเขา บาย!”
ผมเอียงคอแล้วฉีกยิ้มเสแสร้งให้เขาไป ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาจะเรียกว่าโบกก็ไม่ถูกเพราะผมทำเชิงไล่นั่นแหละ ว่าแล้วผมก็ปิดประตูใส่ซะเลย มารยาทผมน่ะมี แต่มีให้กับคนที่ให้ความเคารพทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเท่านั้น
อย่าเรียกร้องให้คนอื่นทำดีอย่างนู้น อย่างนี้กับเราเลยครับ ถ้าเราไม่เคยทำดีให้ใคร
“สตรองอะไรขนาดนั้นวะกู”
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงเฝ้าไข้พี่แกต่อ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะลืมปิดไฟกลางห้องมันร้อนตัวเขาก็ร้อน ร้อนกับร้อนเดี๋ยวไหม้พอดี
ผมเดินไปจัดการปิดไฟในห้องนอนของเขาแล้วเปิดโคมไฟหัวเราะเอาไว้ให้พอมันมีแสงสลัวๆ เอาแค่มองเห็นหน้าเขาก็พอ เพื่อตัวร้อนจี๋กว่านี้ผมจะได้เช็ดตัวทันแต่ผมว่าถ้าร้อนกว่านี้ส่งโรงพยาบาลฉีดยาสักเข็มสองเข็มเดี๋ยวก็คงจะหาย
ตอนนี้แขนผมมันเริ่มกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เดี๋ยวกะว่าพรุ่งนี้จะเอาไปให้หมอดูก่อนหลังจากนี้คงต้องทาครีมของหมอตลอดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย อีกอย่างนึงที่ลืมบอกผมเป็นคนที่ขี้เกียจทาผิวมากกกก
แต่ถึงอย่างไงผมว่าเดี๋ยวผิวผมเนี่ยมันก็แปลกลับสภาพเดิมผมไม่ค่อยชอบดูแลมันเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าผิวมันก็เหมือนเดิมไม่ต่างกันเลย
“กินยาดักก่อนบอกเลย” เรื่องคุยคนเดียวขอให้บอกผมทำประจำ
ผมหยิบยาแก้แพ้อากาศมากินดักเอาไว้ก่อนเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไหวเต็มที เวลานี้ผมควรจะพักผ่อนสิไม่ใช่มานอนค้างที่ห้องของเจ้าของร้านที่นี่ เเต่ถือซะว่าดูเเลเขาที่อุตส่าห์เสียสละเวลามาสอนผมก็เเล้วกัน อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่นัก นอกจากจะหน้าหม้ออย่างเดียว
ที่นี่มันเป็นห้องใต้หลังคาของร้านพี่เคน ซึ่งมันก็น่าอยู่นะ ไม่ได้กว้างเกินไป เหมาะสำหรับนอนค้างหรือเฝ้าร้านนี่แหละ แต่ประเด็นคือตอนนี้มันหนาวไง ขนาดไม่ได้เปิดแอร์นะเนี่ย
ผมหันมาจ้องคนร่างสูงที่นอนหลับนิ่งไม่รู้สึกตัว ริมฝีปากขยับเล็กน้อยคล้ายจะตื่นเเต่ก็นิ่งเงียบไป ผมเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเขาตามเดิม
เห็นหน้าเเบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะ ..สงสาร
“ผมจะเตือนพี่นะ.. ผมไม่ได้อยากจะเกลียดพี่หรอก แต่ถ้าพี่ทำเพื่อนผมเสียใจล่ะก็.. โดนตอนแน่”
“.....”
“ว่าแล้วยังจะมานอนนิ่งใส่อีก บ้าอะไรขึ้นมาวะถึงวิ่งฝ่าฝนมา กลัวผมฆ่าหรือไง”
“.....”
“หายไวๆ ล่ะ ผมไม่อยากรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ”
ถึงแม้จะพูดออกไปแล้วเขาจะไม่ได้ยินก็ตาม แต่ผมก็อยากจะขอโทษแล้วก็ขอบคุณเขาอยู่ดี คนบ้าอะไรวิ่งฝ่าฝนมาเพราะกลัวผมจะรอนาน อีกอย่างตอนนั้นรถเมล์ก็ยังวิ่งอยู่ผมกลับบ้านเองได้สบายมากอยู่แล้ว
“หนาว..”
“หนาวอะไรเล่าแอร์ไม่ได้เปิดซะหน่อย”
ผมบอกกับคนตรงหน้าราวกับว่าเขาจะรับรู้ในสิ่งที่ผมพูด แต่ที่ไหนได้เขาแค่ละเมอพูดออกมามือกอดอกตัวสั่นระริก ผ้าก็ห่มให้แล้วแอร์ก็ไม่ได้เปิดยังจะมาหนาวอะไร หรือว่าเป็นเพราะอากาศด้านนอกมันหนาว
“หนาว”
"โว้ย ไม่ได้เปิดเเอร์.. เอ้าผ้าห่ม"ผมว่าก่อนจะเอาผ้าห่มคลุมตัวเขาเเน่นๆ
"อื้อ.. นะ หนาว"
“เวรเอ้ย”
ผมคงทำในสิ่งที่โคตรบ้าระห่ำที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยทำมาเลยก็ว่าได้ โดยการที่ผมโผตัวเข้าไปสวมกอดเขาเบาๆ แต่อาการสั่นๆ ตัวเย็นเฉียบของเขายังไม่ยอมทุเลาลง ผมเลยเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการลงมานอนร่วมเตียงกับเขาเอาซะเลย สองแขนก็ยกกอดคนในผ้าห่มแน่น
“หายหนาวๆ ๆ”
ตอนนี้ผมคงเหมือนคุณยายที่คอยเป่าไข้ให้ตอนเด็กๆ เวลาไม่สบายอะ ส่วนผมกำลังแสดงเป็นยายพี่เคนเองก็เป็นเด็กน้อยที่นอนป่วยซม ดูเหมือนว่าจะเป็นไข้หนักด้วยนะนี่
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ ..รู้แค่ว่าผมกำลังจะหลับไหลไปเพราะฤทธิ์ยาแก้แพ้เมื่อกี้ ผมกำลังจะป่วยเหมือนเขาใช่มั๊ยเนี่ย
อ่า! ..จริงๆ เลยเพราะเลยนะเนี่ย ออกค่ารักษาโรงพยาบาลให้ด้วยล่ะ!
“เปา..”
“ครับ..”
ผมขานรับเสียงงัวเงีย ได้ลงมานอนแล้วหลับตามันจะหลับยิ่งด้านนอกฝนตกพร่ำๆ ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ แบบนี้อีก หนังตามันก็หนักมากซะด้วยตอนนี้ และดูเหมือนว่าผมกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราเลย.. ผมเห็นแกะกระโดดข้ามหลังคาบ้านป้าข้างบ้าน
อ่า..ผมจะต้านทานหนังตาตัวเองไม่ไหวแล้วนะ
เพลียฝน.. ทำยังไงดี
“อื้อ..”
ผมร้องอื้อในลำคอมือไม้พยายามตะปมยุงหรือแมลงอะไรสักอย่างที่มันกำลังกัดหน้าอกผมอยู่ สักพักมันก็เลื้อยขึ้นมาที่แก้มของผมก่อนจะวกขึ้นมาที่ริมฝีปาก ผมพยายามหลายครั้งที่จะหลบเลี่ยงแต่ทำไมแมลงบ้านี่ถึงไม่ยอมออกไปซะที
หรือผมกำลังโดนผีอำกันแน่..
“อ้ะ..”
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเห็นเงาดำตะคุ่มๆ กำลังจะเลื้อยไล้ลงไปที่หว่างขาของผม ทันทีที่ฟันแหลมคมของมันกัดลงมาผมถึงได้ร้องลั่นห้องใต้หลังคาทั้งๆ ที่ตัวเองยังหลับตาสนิท มันเหมือนกับว่าผมกำลังฝันเสมือนจริงอยู่
ผมข่มตาแน่นมือไม้จิกลงที่ผ้าปูที่นอน และอีกครั้งที่ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังซุกไซร์ซอกคอผม ฟันแหลมคมนั่นขบกัดลงมาจนผมกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวด ความเย็นยะเยือกของสิ่งนุ่มนิ่มนั่นกำลังทำให้ผมตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
ผมโดนผีอำงั้นหรอ ..หรือฝันนี้มันเป็นฝันเสมือนจริงกันแน่
มันกำลังทำให้ผมกลัวนะ
“อื้อ.. ฝันบ้าอะไร..”
“ฝันร้ายที่เป็นจริงไงครับ..”