EP.10 อ้อมแขนผัวคนแรก
“โอเค ๆ พี่ก็แค่อยากรับสายแทน เพราะเห็นเป็นเบอร์คุณพ่อน่ะ...พี่ว่าพวกท่านจะกังวลเอาได้นะถ้าพริ้งกลับดึก”พิมพ์ตะวันพยายามอธิบายเหตุผลด้วยน้ำเสียงเย็นใจ
พริ้งพราวยืนบ่น ๆ “แล้วใครว่าพริ้งจะกลับ? หอพี่พิมพ์ไกลจากบ้านจะตายไป นั่งรถไป ๆ มา ๆ ก็เกือบสองชั่วโมงแล้ว...คืนนี้พริ้งจะนอนที่นี่” น้ำตาเริ่มคลอในตาของเธอ
พิมพ์ตะวันพยายามสงบสติอารมณ์ “เรื่องนอนที่นี่น่ะ พี่ไม่ว่าหรอก...แต่ยังไงก็ต้องโทร. ไปบอกที่บ้านเขาก่อน” เธอเตรียมหยิบโทรศัพท์ตัวเองเพื่อส่งข้อความไปบอกแม่
“ถ้าพี่พิมพ์ไม่รู้ว่าพริ้งเจออะไรมา ก็อย่าพูดดีกว่า”พริ้งพราวปาดน้ำตาและพูดเสียงสั่น
“นี่เรา...ทะเลาะกับคุณพ่อมาใช่ไหม?” พิมพ์ตะวันถอนหายใจ และมองน้องสาวด้วยความเข้าใจ
พริ้งพราวเริ่มระบายความรู้สึกด้วยน้ำตาที่ไหลลงมา “พ่อบ่นพริ้งเรื่องที่พริ้งยังไม่มีที่เรียนน่ะสิ...แต่พริ้งก็พยายามแบบสุด ๆ แล้ว!” เธอเดินกระแทกเท้าไปทั่วห้องของพี่สาวอย่างไม่สบอารมณ์
“ปีที่แล้วพอพริ้งติดมหา’ลัยไกล ๆ จังหวัดอื่น พ่อก็บอกไกลไป ไม่อยากให้ไปเรียนไกลบ้าน” เธอพูดพลางหยิบครีมทาผิวมาทาและบำรุงร่างกายไปด้วย
“พอมาปีนี้พริ้งก็ไปเรียนพิเศษตามที่พ่อต้องการแล้ว...อ่านหนังสือจนสมองจะระเบิดอะ...แต่มันก็สอบไม่ติด ไม่ติด ๆ ๆ พี่พิมพ์ได้ยินไหม?” พริ้งพราวทึ้งผมตัวเองด้วยความโกรธ
“พริ้งไม่เอาน่า...ใจเย็น ๆ ก่อนสิ”พิมพ์ตะวันพยายามปลอบโยน
“พริ้งเกลียดที่พ่อชอบเอาพริ้งไปเปรียบเทียบกับพี่พิมพ์อยู่ได้”พริ้งพราวส่ายหน้าและพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
“พริ้ง~”พิมพ์ตะวันได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“ใช่ พริ้งมันโง่ พริ้งมันทำแบบพี่พิมพ์ไม่ได้...พริ้งสอบเข้ามหา’ลัยดัง ๆ ไม่ได้!!”พริ้งพราวพูดต่อ
“พริ้งสอบชิงทุนมหา’ลัยแบบอเธน่าหรือที่ไหนก็ไม่ได้...บางทีพริ้งก็เบื่อเหมือนกันนะ ที่จะต้องมาทำอะไรตามรอยพี่พิมพ์ทุกเรื่อง”เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างที่สามารถเห็นตึกสูงของอเธน่า และเธอจ้องมองอยู่นาน
แม้ว่าจะพูดไปแบบนั้น แต่ในที่สุดพริ้งพราวก็พยายามจะปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น และเริ่มแต่งตัวต่อ “แต่ช่างเถอะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่พิมพ์หรอก พริ้งเข้าใจ” เธอพยายามยิ้มออกมา และสะบัดหัวหลาย ๆ ครั้ง
ครืด ครืด...เสียงโทรศัพท์ในมือของเธอสั่นขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นเบอร์โทร. ของคนที่เธอกำลังรอคอยอยู่พอดี
“เออ พี่พิมพ์ พริ้งขอยืมเสื้อผ้าหน่อยนะ” พริ้งพราวพูดจบก็หยิบเสื้อผ้าชุดที่เธอเลือกเอาไว้มาสวมใส่ทันที
“ว่าแต่...เราจะแต่งตัวไปไหนเหรอ?” พิมพ์ตะวันขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
พริ้งพราวหันมาตอบ “ก็หาไปข้าวกินไง พริ้งจะหิวจะแย่แล้ว” เธอลูบหน้าท้องของตัวเองเบา ๆ
พิมพ์ตะวันหัวเราะและยอมให้ยืมเสื้อผ้า “พริ้งขอยืมเดรสตัวใหม่นี่นะ คงจะไม่หวงกับน้องใช้” พริ้งพราวบอกเมื่อเห็นเดรสตัวใหม่ที่ยังมีป้ายติดอยู่
“ไม่หวง...ถ้าชอบเอาไปเลยก็ได้นะ”พิมพ์ตะวันยิ้มและตอบ
“พี่พิมพ์เนี่ย น่ารักที่สุดเลย” พริ้งพราวยิ้มกว้าง และรีบถอดชุดเก่าออก แล้วสวมชุดใหม่ทับไปทันที
ตั้งแต่เธอโตเป็นวัยรุ่น ทั้งสองคนก็เหมือนจะเจอกันน้อยลง และไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมอีกแล้ว
“เอ่อ...งั้นพริ้งรอพี่อาบน้ำแป๊บหนึ่งแล้วกัน เดี๋ยวพี่พาไปกินร้านชายสี่หมี่ (พิมพ์ตะวัน) / ไม่เป็นไรพี่พิมพ์ พอดีพริ้งนัดกับเพื่อนไว้แล้วน่ะ...พี่พิมพ์เพิ่งเลิกเรียนมาเหนื่อย ๆ นั่งพักเถอะ (พริ้งพราว)”
“เพื่อน? ...เพื่อนที่อเธน่าน่ะเหรอ?” คนเป็นพี่ถามซ้ำอย่างแปลกใจ เพราะน้องไม่เคยพูดเลยว่าตัวเองมีเพื่อนที่นี่ด้วย
“ก็เพื่อนเก่าสมัยม. ปลายไง...เพื่อนพริ้งมาเรียนต่อปีหนึ่งที่อเธน่า” พริ้งพราวเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับเม้มปากเพื่อเกลี่ยลิปสติกสีชมพูอ่อน ๆ ให้ทั่วผิวปากของตัวเอง
“แล้วเพื่อนเรียนคณะอะไรเหรอพริ้ง...พี่รู้จักไหม” พี่สาวเอ่ยถามไปด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ เพราะในมุมมองของเธอ พริ้งพราวเป็นคนหัวอ่อนและเชื่อใจคนง่ายมากเกินไป
“โอ๊ย ๆ ๆ พี่พิมพ์เลิกถามซอกแซกเหมือนพ่อสักทีได้ไหม...พริ้งโตแล้วนะ” พริ้งพราวบีบไหล่ของพี่สาวและหัวเราะเบา ๆ
“โอเค ๆ งั้นตอบตามตรงแล้วกันนะ คนที่จะไปกินข้าวเป็นผู้ชายค่ะ... และพริ้งก็คุยกับเขามาสักพักแล้ว” เธอสะพายกระเป๋าถือ และเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง และยอมเล่าเรื่องลับ ๆ ของเธอให้พี่สาวฟัง เพราะยังไงพี่พิมพ์เองก็วัยไม่ได้ต่างกันมาก เธอน่าจะเข้าใจดีว่า การถูกจีบมันเป็นยังไง
“จบนะ” พริ้งพราวสวมใส่รองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมของเธอ ก่อนจะโบกมือลาพี่สาวไปพลาง ๆ
“แล้วที่สำคัญพริ้งโตมากพอที่จะมีแฟนแล้ว...ก็เหมือนพี่พิมพ์นั่นแหละที่แอบพาผู้ชายมาห้องแล้วเหมือนกัน” พริ้งพราวหรี่ตามองเธอและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะเธอเจอรองเท้าผ้าใบผู้ชายในห้องของพี่สาวเช่นกัน ดังนั้นจึงเดาไม่ยากว่าพี่สาวเธอเองก็แอบ...กกอยู่กับผู้ชายเหมือนกัน
“ฮะ?” พิมพ์ตะวันเองก็แอบงุนงงกับคำพูดของน้องสาวตัวเองเหมือนกัน
“ก็รองเท้าผ้าใบในห้องน้ำที่แช่ไว้ไง...ไม่ต้องมาทำหน้ามึนหรอกน่า”
“ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่เคยพาใครขึ้นมานอนค้างที่นี่” ยังไม่ทันที่เธอจะอธิบายเรื่องรองเท้า แต่พริ้งพราวก็เปิดประตูห้องออกไปก่อนแล้ว
“ชีวิตหอพักเนี่ย...อิสระดีจริง ๆ พริ้งชักเริ่มอยากจะเรียนมหา’ลัยไกล ๆ บ้านเหมือนพี่พิมพ์บ้างแล้วเหมือนกัน” เธอไม่ลืมที่วิ่งกลับมาสวมกอดพี่สาวอีกครั้ง เพราะเธอกำลังตื่นเต้นกับชีวิตอิสระนี้มาก ๆ และไม่รู้เลยว่าจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมายังไงดี
“แล้วคืนนี้จะกลับกี่โมง...”
“…” พริ้งถอนหายใจ และหันมามองหน้าฉันแบบไม่ค่อยพอใจ
“พี่หมายถึงเผื่อพี่ไม่อยู่ห้องน่ะ แล้วก็เผื่อว่าถ้าพริ้งไม่มีรถกลับ พี่จะได้แวะรับ” พิมพ์ตะวันเลือกที่จะพูดเสริมให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าพวกเธอคิดในแบบเดียวกัน
“อ๋อ...แหม ๆ แสดงว่าพี่พิมพ์เองก็จะกลับดึกเหมือนกันอะดิ”
“พริ้งน่าจะกลับสามสี่ทุ่มน่ะ แค่ไปกินข้าว ดูหนังเสร็จก็กลับ” พริ้งพราวพูดไปอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะเธอจะกลับหรือไม่กลับมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้ว แต่ถ้าบอกว่าไม่กลับ พี่สาวก็คงจะถามซักไซ้ไม่เลิก
“แล้วก็...ไม่ต้องมารับหรอกน่า ผู้ชายที่พริ้งคุยเขามีรถขับนะ”
“อีกอย่าง...เลิกหวงเลิกห่วงน้องสักที...เพราะพริ้งรู้ตัวดีว่าพริ้งทำอะไรอยู่” เธอตอบกลับมาเพียงเท่านั้นและปิดประตูแล้วเดินออกไปเรียกแท็กซี่ตรงไปที่คอนโดของคริสอย่างดีใจ
ทุกครั้งที่ไปหาเขา อยู่กับเขา มันเหมือนเวลาชีวิตของเธอมันสดใส ซาบซ่า มันมีความสุขมาก ๆ จริง ๆ ทุกอย่างมันแปลกใหม่ แทบเร้าใจมาก ๆ จนเธอเสพติดชีวิตที่น่าสนใจแบบนี้ไปแล้ว
ณ คอนโดคริส
พริ้งพราวยืนยิ้มอยู่หน้าห้องคอนโดของคริส ใจเธอเต้นรัวไม่หยุด คริสเป็นชายหนุ่มที่เธอรู้สึกดีและไว้วางใจมากกว่าใคร เขาเปิดประตูห้องออกมา รอยยิ้มกว้างของเขาทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาหวานหยด ก่อนจะพูดเสียงนุ่ม
“คิดถึงเมียที่สุดโลกเลย” คริสก้าวออกมาพร้อมกับโอบกอดบางของเธอเข้ามากอดแน่น