EP.8 อิสระที่ต้องการ
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเลยค่ะ เพราะพริ้งก็อยากให้พ่อกับแม่เห็นเหมือนกันว่า พริ้งเองก็เก่งไม่แพ้พี่สาวของพริ้ง”
“แน่นอนว่า เมียพี่ต้องเก่งกว่าอยู่แล้วสิ” คริสยิ้มและกดริมฝีปากลงที่หน้าผากของเธอเบา ๆ
“งั้นเดี๋ยวพริ้งขอไปเคลียร์กับพ่อก่อนนะคะ”
“โอเค อย่านานนะ...พริ้งก็รู้ว่าพี่น่ะขาดพริ้งไม่ได้” คริสดึงมือของเธอมาวางที่เป้ากางเกงของตัวเองเบา ๆ
“ค่ะ” พริ้งพราวก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินลงจากรถของเขา และตรงไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์เพื่อนั่งเข้าไปยังบ้านตัวเอง
พริ้งพราวลงจากรถของคริสและตรงไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ที่ปากซอยบ้านเพื่อกลับบ้านตัวเอง ระหว่างทางเธอรู้สึกกังวล แต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้เกิดปัญหากับพ่อของเธอแน่นอน แต่เธอต้องการอิสระที่ไม่ถูกควบคุมอีกต่อไป
เมื่อเธอมาถึงบ้าน ก็เห็นพ่อยืนรออยู่ที่หน้าบ้านด้วยท่าทางที่ดูกังวลและโกรธเคือง สายตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความผิดหวัง เมื่อพริ้งพราวก้าวเข้ามาใกล้ เขาก็เริ่มต้นบทสนทนาอย่างทันทีทันใด
“พริ้ง! ไปไหนมา! ทำไมสองสามวันมานี้ไม่รับสายพ่อเลย!?”
“โทรศัพท์เสียจริงเหรอ? หรือว่าไปทำอะไรไม่ดีมา?” พ่อของเธอเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความกังวล
“พ่อคะ...พริ้งบอกแล้วไงว่า ไปติวหนังสือกับเพื่อน” พริ้งพราวพยายามจะอธิบาย แต่พ่อของเธอก็ยังไม่คลายความโกรธ
“จะอะไรหนักหนาวะ” คนตัวเล็กพึมพำอย่างหงุดหงิดใจ
“ติวหนังสือ?” น้ำเสียงของพ่อเต็มไปด้วยความผิดหวัง และความโกรธที่เขาพยายามจะซ่อน
“ติวหนังสือจริงหรือเปล่า?”
“แล้วเสื้อผ้าหน้าผมนี่...ไปเอามาจากไหน!?”
“ใครให้เงินซื้อของพวกนี้มา!?” เขาชี้ไปที่ชุดหรูหรา กระเป๋า รองเท้าที่เธอสวมใส่อยู่รวมถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางจนดูแก่เกินวัยไปมาก
“ก็...ก็ยืมเพื่อนมาน่ะค่ะพ่อ” พริ้งพราวพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเทา เธอรู้ดีว่า คำตอบนี้ไม่น่าจะทำให้พ่อของเธอพอใจ
“ยืมเพื่อนมา?” คนเป็นพ่อถอนหายใจอีกครั้ง เพราะเสื้อผ้าที่พริ้งพราวสวมใส่มันทั้งดูใหม่ และดูราคาแพงเกินกว่าที่เพื่อนจะให้ยืมใส่มาได้
“นี่กลิ่นบุหรี่นี่” พ่อขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ ก็ได้กลิ่นของบุหรี่ตามเส้นผมของเธออีก
“พ่อคะ...กว่าจะเดินมาถึงบ้านเนี่ย ไม่มีคนสูบบุหรี่เลยรึไง?”
“นี่พ่อกำลังจับผิดหนูใช่ไหม?” เธอเผลอพูดออกไปด้วยความโมโห รู้สึกถึงแรงกดดันที่พุ่งขึ้นมาจากภายใน
“ใช่ซี้ พริ้งทำอะไรมันก็ไม่เคยดีเลยนี่” คำพูดและคำถามของพ่อเหมือนเข็มทิ่มแทงลงไปในใจของพริ้งพราวซ้ำ ๆ มันเป็นคำถามซ้ำซากที่เธอได้ยินมาตลอด เธอรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้เข้ามุมจนไม่มีที่ไป ความกดดันและทุกอย่างมันทำให้เธอไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว
“ขนาดไปติวหนังสือมา พ่อยังจ้องจับผิดอยู่ได้ ชีวิตหนูมันจะไม่มีอิสระเลยใช่ไหม?”
“หนูอายุสิบแปดแล้วนะ เรียนจบม.6 แล้วด้วย จะทำอะไร ไปไหน ทำไมต้องมานั่งคอยรายงานตัวแบบนี้ด้วยฮะ?”
“ถ้าลูกไปติวหนังสือ แล้วไหนล่ะหนังสือเรียน!?”
“ไหนกระเป๋าเรียน?”
“แกไม่อายบ้างเหรอที่เอ็นไม่ติดรอบแรก จนต้องซิ่วมารอสมัครเรียนปีหน้าแบบนี้” พ่อถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดและเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“แกไม่ดูอย่างพี่พิมพ์เขาบ้าง ได้เรียนที่ดี ๆ มหา’ลัยดี ๆ แกอยากจะเป็นคนที่ไม่มีการศึกษาแบบนี้เหรอพริ้ง?”
พริ้งพราวรู้สึกเหมือนถูกผลักดันให้จนมุมสุด ๆ มันเป็นคำถามซ้ำซากที่เธอได้ยินมาตลอด เปรียบเทียบกับพี่สาวที่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อ แต่ก็ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดี มีอนาคตที่สดใส
“พ่อทุ่มเทให้แกมากกว่าใคร...แกควรจะได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำไปนะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งตวาดใส่
“ทำไมพ่อถึงต้องเปรียบเทียบพริ้งกับพี่พิมพ์อยู่เรื่อยเลย!?” พริ้งพราวตววาดแว้ดกลับไป เธอเองก็รู้สึกว่า ความอดทนของเธอหมดลงแล้วเช่นกัน
“พริ้งไม่ใช่พี่พิมพ์ พริ้งก็คือตัวพริ้ง ทำไมถึงต้องให้พริ้งเป็นเหมือนเขาด้วย!?”
“อีกอย่างข้อสอบมันยากขึ้นกว่าปีของพี่พิมพ์อีก ใคร ๆ รู้”
“มันไม่ใช่เพราะพริ้งไม่เก่ง แต่เป็นเพราะข้อสอบมันยากขึ้น ถ้าให้พี่พิมพ์มันมาสอบรุ่นเดียวกัน พี่พิมพ์ก็ทำไม่ได้หรอก”
“มหา’ลัยเขาเปลี่ยนกฎเกณฑ์ไปหมดแล้ว ถ้าพ่ออยากให้พริ้งได้ดีจริง ๆ ทำไมไม่ส่งพริ้งเรียนมหา’ลัยเอกชนแบบพี่พิมพ์ล่ะ?”
“พี่แกมันได้ทุนเรียนด้วยตัวเอง แล้วพ่อถามหน่อยว่า ถ้าพ่อส่งพริ้งเรียนที่นั่นได้จริง ครอบครัวเราจะเอาอะไรกิน เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี มหา’ลัยนั้นมันแพงเกินไป” พ่อของเธอส่ายหัวและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“พ่อสนับสนุนพริ้งทุกอย่าง ทุกอย่างเลยที่พริ้งต้องการ!” พ่อทวนสิ่งที่เขาทำให้เธออย่างไม่เข้าใจว่าลูกสาวต้องการอะไรอีกกันแน่
“ตอนจะเอนรอบแรก พ่อจ่ายค่าเรียนพิเศษให้เท่าไรต่อเท่าไร ทำไมล่ะลูกแค่ตั้งใจสอบให้ติดมันยากเหรอ?”
“หรือถ้าเอกชนจริง ๆ ก็ไปสมัครมหา’ลัยที่พ่อส่งเสียให้ไหวไม่ได้เหรอ ...ทำไมต้องเป็นอเธน่าด้วย?”
“แต่ถ้าแกอยากเรียน ทำไมแกไม่สอบชิงทุนเข้าไปให้ได้แบบเขาสิ”
“เก่งให้เหมือนพี่เขาสิ”
คำพูดของพ่อเริ่มแทงลึกลงไปในใจของพริ้งพราว เธอรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจที่ถูกมองว่าล้มเหลวเมื่อเทียบกับพี่สาวของเธอ
“โอ๊ยยยยย!!” พริ้งกรี๊ดใส่หน้าของพ่ออย่างไม่ต้องการรับฟังอะไรอีกแล้ว
“พ่อเอาแต่พูดเหมือนพริ้งไม่ดีอย่างพี่พิมพ์ ทำไมพ่อไม่เข้าใจพริ้งบ้างเลย!”
“ไม่เข้าใจอะไร...ที่แกสอบไม่ได้เพราะขี้เกียจ หรือแกโง่กันแน่ล่ะ?” พ่อขึ้นเสียงอย่างหมดความอดทน
“แล้วตอนสอบติด พอไกลบ้านก็ไม่ให้ ...จะเอายังไงกับชีวิตพริ้งกันแน่?”
“ทำไมวะ...ทำไมแค่เลือกที่เรียน พ่อยังต้องมาบงการ ๆ ไม่เลิกสักที” พริ้งพราวยืนเงียบอยู่ชั่วครู่ ความน้อยใจและความโกรธที่สะสมมานานระเบิดออกมา
“ถ้าพ่อเห็นว่าพริ้งมันโง่... ทำอะไรก็ไม่ดีเท่าพี่พิมพ์”
“งั้นพริ้งจะไปที่อื่นให้ไกลจากพ่อ! พริ้งจะไปใช้ชีวิตของพริ้งเอง พริ้งเชื่อว่าพริ้งต้องได้ดีกว่ามันแน่”
“พริ้งจะไม่ทนให้พ่อมาด่าพริ้งแบบนี้อีกแล้ว พริ้งโตแล้ว...และพริ้งต้องการชีวิตที่เป็นของพริ้งคืน!!”
เธอตะโกนเสียงดังพลางหันหลังเดินออกจากบ้านทันทีโดยไม่หันกลับไปมอง แม้จะได้ยินเสียงพ่อเรียกตามหลัง
“พริ้ง! พริ้งกลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ พ่อยังพูดไม่จบ” พ่อเดินตามมาแต่ก็วิ่งไม่ทันเธอแล้ว
“จำไว้ด้วยว่า พ่อไม่ใช่เจ้าชีวิตของพริ้งนะ...นี่มันชีวิตของพริ้ง” เธอตวาดลั่นใส่หน้าพ่อ และวิ่งสวนทางกับรถของแม่ที่เพิ่งกลับมาจากรับน้องชายคนเล็กที่โรงเรียน
“พริ้งลูก...พริ้งเกิดอะไรขึ้น” คนเป็นแม่รีบลงจากรถเพื่อจะตาม แต่ก็วิ่งชนกันกับพ่อ
“อย่ามายุ่งกับพริ้งอีก ชีวิตพริ้งมันเป็นของพริ้ง ไม่ใช่ของพ่อ” เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะเลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมหรือเปรียบเทียบกับใครอีกต่อไป
“พริ้ง ๆ ๆ” เสียงพ่อตะโกนเรียกหาเธอซ้ำ ๆ ๆ
เธอวิ่งตรงออกจากบ้านไปด้วยบ้าบิ่น เสียงของพ่อตะโกนไล่ตามหลังเธอมาติด ๆ พริ้งพราวรีบวิ่งตรงไปขึ้นรถแท็กซี่ที่ผ่านมาพอดี และบอกทางกลับคอนโดของคริสไปทันที ในใจของเธอเต็มไปด้วยความขมขื่นและความเป็นอิสระที่เธอแสวงหามานาน และเธอพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อสร้างชีวิตที่เธอต้อง