หลังจากอนาวินกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็วิ่งวุ่นอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานเพราะใกล้ถึงฤกษ์ยามที่เจ้าของร่างเดิมวางไว้ แม้ว่าบาดแผลบริเวณศีรษะยังไม่หายสนิทก็ตาม
“อย่าหักโหมนัก เจ้านั่งพักก่อนเถิดอี้เทียน” หญิงชราหน้าตาใจดีกล่าว นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน
“ท่านย่า ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เขาตอบพลางติดกระดาษสีแดงบนเสาไม้ข้างประตู ตามจริงแล้วเจ้าบ่าวไม่จำเป็นต้องลงมือตบแต่งสถานที่จัดงานเอง ทว่าหลี่อี้เทียนมีฐานะค่อนข้างยากจน ไม่เพียงไร้บ่าวไพร่ ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มีเช่นกัน
หญิงชราที่กำลังสนทนาด้วยมีนามว่าหลี่ฉางหมิว นางเป็นแม่สื่ออีกทั้งยังเป็นสหายกับปู่ย่าผู้ล่วงลับของหลี่อี้เทียน แม้ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด แต่อนาวินก็พอเห็นว่าคนผู้นี้รักและเอ็นดูเจ้าของร่างราวลูกหลานตน ช่วยปรับเปลี่ยนพิธีการบางส่วนให้สะดวกต่อคนบาดเจ็บโดยไม่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ ยามนี้ครอบครัวหลินจึงพำนักที่นี่เป็นการชั่วคราว และจะกลับหลังงานพิธีสิ้นสุดลง
“เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยงั้นหรือ?" หลี่ฉางหมิวลมแทบจับ เมื่อได้ทราบข่าวว่าหลานของสหายที่ตนรักดั่งลูกหลานโดนโจรป่าดักปล้น
“เป็นเช่นนั้น ท่านย่าช่วยบอกเรื่องราวของข้าให้ทีจะได้หรือไม่?" ทราบบางอย่างมาจากหลินชิงแล้วก็จริง แต่เพราะเขาไม่มีความทรงจำเจ้าของร่างเดิมหลงเหลืออยู่เลย จึงอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าตัวเพิ่มอีก คงไม่มีผู้ใดจะทราบเรื่องราวดีไปกว่าผู้อาวุโสตรงหน้า
“โถ ฟ้าดินไยกลั่นแกล้งกันเช่นนี้ แต่เอาเถิด เจ้ารอดมาได้ข้าก็โล่งใจแล้ว” มือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตบลงบนบ่าเบาๆ เชิงปลอบขวัญ
“ท่านย่า ข้ากับแม่นางหลินเป็นคนรักกันนานแล้วหรือ?” เมื่อได้สำรวจรูปร่างหน้าตา เขาพบว่าเจ้าหนุ่มหลี่อี้เทียนเด็กกว่าตนเองจากภพก่อนร่วมสิบปีเห็นจะได้ การออกเรือนไวไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนยุคนี้ หากนำความคิดคนสมัยใหม่เป็นบรรทัดฐาน เจ้าของร่างบรรลุนิติภาวะแล้วไม่ใช่ปัญหา แต่คู่หมั้นนี่สิ ไม่เท่ากับว่าเขากำลังพรากผู้เยาว์หรอกหรือ?! คิดแล้วก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันใด
“เฮ้อ เรื่องนี้พูดยาก พวกเจ้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายมาหลายปี แต่นั่นเพราะผัวเมียหลินติดหนี้ปู่ย่าเจ้า เลยเอาลูกสาวมาแต่งงานใช้หนี้ หากไม่มีเจ้า ไม่แคล้วแม่หนูจื้ออิงคงถูกขายให้เป็นสาวใช้เพื่อใช้หนี้อยู่ดี” ทุกคนทราบดีว่าครอบครัวหลินติดสุราและการพนันอย่างหนัก ในบ้านไม่เหลือทรัพย์สินให้ขายออกแล้ว นอกจากบุตรสาวสองคน
หลังรับรู้ที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ ความกังขาต่อคนแปลกหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ทันที บุตรถือเป็นทรัพย์สมบัติของบิดามารดา การขายลูกกินสำหรับยุคนี้หาใช่เรื่องผิดแผก หากแต่เขาคงไม่อาจเห็นดีเห็นงามด้วยได้ การพานางออกมาจากครอบครัวเช่นนั้นคงเป็นสิ่งสมควรแล้ว
ชะตากรรมของหลี่อี้เทียน สุดท้ายย่อมเป็นชะตากรรมของเขาด้วยเช่นกัน
“เดิมทีข้าเป็นชาวนาหรือท่านย่า?” อนาวินสังเกตเห็นว่าในห้องเก็บของมีเครื่องมือการเกษตรผ่านการใช้งานแล้วอยู่หลายชิ้น
“ใช่แล้วๆ นี่เจ้าเริ่มนึกออกแล้วงั้นหรือ?!” สีหน้าของผู้อาวุโสแสดงออกถึงความดีใจ อนาวินในร่างหลี่อี้เทียนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทำเพียงแค่แย้มยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายเข้าใจไปตามนั้นก่อน
“เจ้ามีแปลงผักเล็กๆ ตรงโน้น หลังเก็บเกี่ยวเจ้าก็เอาไปขายให้ที่ร้านของตระกูลเหอ” หลี่ฉางหมิวชี้นิ้วออกไปด้านนอกเพื่อบอกทิศทางคร่าวๆ ใบหน้าคมพยักขึ้นลงสื่อความรับทราบ ยามนี้การจัดเตรียมสถานที่เป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า เขาจึงยังไม่ซักถามเกี่ยวกับแปลงผักและร้านตระกูลเหอเพิ่ม ค่อยหาข้อมูลเพิ่มทีหลังคงไม่สาย
ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ กระดาษและผ้าสีแดงสำหรับงานมงคลสมรสก็ถูกประดับไปทั่วบ้าน
“ขอบคุณท่านย่ามาก ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บข้า ข้าดีขึ้นมากแล้วจริงๆ”
“คนกันเองจะมากพิธีไปทำไมกัน พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ เจ้ารีบไปพักเถิด”
หลี่ฉางหมิวโบกมือไปมาคล้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่ ออกปากไล่ให้ว่าที่เจ้าบ่าวรีบเข้านอนด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านของตน
——————————-
วันต่อมายามท้องฟ้าอาบย้อมด้วยแสงตะวันรอน ก็ถึงช่วงเวลาสำคัญของพิธีการ หากไม่นับรวมแม่สื่อหลี่ฉางหมิว ญาติผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวไม่มีใครอื่นอีก นับว่าเจ้าของร่างไร้ญาติขาดมิตรอย่างแท้จริง ฟากเจ้าสาวเองก็มีเพียงบิดามารดาและน้องสาว แขกเหรื่อที่มาร่วมงานคล้ายจะเป็นคนละแวกนี้จำนวนประปราย งานมงคลสมรสระหว่างหลี่อี้เทียนและหลินจื้ออิง ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน
สอง คำนับบิดามารดา
สาม คำนับกันและกัน”
บ่าวสาวในอาภรณ์สีแดงสดทำการคำนับฟ้าดินและบิดามารดาของหลินจื้ออิง จากนั้นจึงหมุนตัวประจันหน้าแล้วค้อมคำนับกันและกันตามลำดับ อนาวินไม่ได้เสียใจที่ต้องมาแต่งงานกับคนไม่รู้จัก เขามองว่างานมงคลสมรสนี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่สองของตนเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เขาไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ผู้โด่งดัง หากแต่เป็นชาวนานามว่าหลี่อี้เทียนอย่างเต็มตัว