ตอนที่ 6

1238 Words
“ข้าแค่เปลี่ยนชุดเตรียมนอน” “ไม่ใช่ว่า…เรายังทำไม่ครบขั้นตอนหรือเจ้าคะ?” นัยน์ตาคู่กลมเต็มไปด้วยความสงสัย มารดาบอกนางว่าเมื่อเข้าห้องหอและดื่มสุรามงคลแล้วต้องปล่อยให้สามีพาขึ้นเตียงห้ามขัดขืนโดยเด็ดขาด หลินจื้ออิงจึงกระทำตามคำสอนอย่างเคร่งครัด “เช่นนั้นข้าขอถามหนึ่งข้อ เจ้าคิดอย่างไรตอบมาตามตรง” สตรียุคนี้เกิดมาเป็นสมบัติพ่อแม่ แต่งออกแล้วนับเป็นสมบัติของสามี แทบไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง เห็นเจ้าสาวตัวน้อยถามด้วยแววตาไร้เดียงสา ชวนให้เอ็นดูระคนเห็นใจ มือใหญ่เอื้อมจับสาบเสื้อของอีกฝ่าย หลินจื้ออิงไม่ได้ปัดป้องหากแต่หลับตาปี๋ตัวแข็งทื่อในทันที “เจ้าพร้อมจะหลับนอนกับข้าจริงหรือ ไม่กลัวงั้นหรือ?” หลินจื้ออิงเป็นสตรีพูดน้อยและมีนิสัยยึดมั่นต่อความสัตย์ซื่อ เมื่อได้ยินคำถามศีรษะทุยรีบส่ายไปมา ปฏิเสธขั้นตอนสำคัญของการเข้าหอทันใด เจ้าบ่าวหาใช่คนน่ากลัว แต่การคุกคามหยั่งเชิงเมื่อครู่ทำเอาตั้งตัวไม่ทัน รู้ซึ้งแล้วว่าตนยังไม่พร้อมในตอนนี้ “ไม่พร้อมเจ้าค่ะ ท่านโกรธข้าหรือไม่เจ้าคะ?” “โกรธเรื่องใดกัน ของแบบนี้ต้องเต็มใจกันทั้งสองฝ่ายจึงจะถูกต้อง” โชคดีที่โน้มน้าวอีกฝ่ายได้สำเร็จ อดีตซูเปอร์สตาร์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากจะให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมจนถึงขั้นร่วมหลับนอน เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินเจ้า แต่คงแยกห้องนอนให้ไม่ได้” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สีหน้าหญิงสาวดูผ่อนคลายลง คำมั่นและท่าทีหนักแน่นของหลี่อี้เทียนสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ภรรยาตัวน้อยได้พอควร อยู่ในสถานะแต่งเข้าเป็นสะใภ้สกุลหลี่ นางย่อมไม่กล้าขับไล่เจ้าบ้านให้ไปนอนห้องอื่น “นี่ก็ล่วงเข้ายามไฮ่แล้ว เราพักผ่อนกันเถิด” ผู้เป็นภรรยาพยักหน้ารับทราบ จัดชุดให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปนอนด้านในอย่างไม่อิดออด หลี่อี้เทียนนึกชื่นชมอีกฝ่ายที่ปรับตัวได้เป็นอย่างดี เห็นทีว่าเขาคงต้องเอาเยี่ยงอย่างบ้าง “นั่นเขตท่าน ส่วนตรงนี้เขตข้า” มือเล็กทำท่าระบุเขตแดนโดยยึดจากที่ว่างของหมอนสองใบเป็นตัวแบ่ง “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า” หลี่อี้เทียนขึ้นเตียงตามมา ระมัดระวังไม่ให้ล้ำอาณาเขตแม้แต่ชายผ้า ร่างเล็กเอนนอนพยายามขยับให้ชิดด้านในมากที่สุด ถึงจะเริ่มวางใจในตัวผู้เป็นสามีบ้างแล้ว ทว่ายังไม่อาจคุ้นชินในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป กระนั้นด้วยความอ่อนล้าที่สะสมมาทั้งวัน นำพาหลินจื้ออิงดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว หลังดับไฟในห้องเพียงไม่นาน งานมงคลสมรสเสร็จสิ้นแล้ว เหลือก็แต่การหาเลี้ยงชีพ เขายังนึกภาพไม่ออกว่าความสามารถในการร้องเพลงและการแสดงที่ตนเองมี จะประยุกต์ใช้กับที่นี่อย่างไรได้บ้าง นอนมองเพดานท่ามกลางความมืดอยู่ครู่ เปลือกตาของชายหนุ่มชักเริ่มหนักอึ้ง หนทางการสู้ชีวิตขอไปคิดอีกทีในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ต้นยามเหม่า ขอบฟ้าทอประกายสีทอง เสียงสกุณาเจื้อยแจ้วแว่วอยู่ไกลๆ ปลุกให้คนที่กำลังหลับฝันลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับวันใหม่ เมื่อหลี่อี้เทียนปรือเปิดตาก็พบว่าด้านข้างมีเพียงความว่างเปล่า ท่าทางเขาคงสะสมความอ่อนเพลียไม่น้อย คนทั้งคนปีนข้ามไปยังไม่รู้สึกตัว “อ้าว ท่านพี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” คนที่กำลังนึกถึงเปิดประตูเข้ามาพอดิบพอดี ในมือถืออ่างใส่น้ำใบเล็กพร้อมผ้าสำหรับเช็ดหน้าอีกผืน ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะแถวนั้น “ท่านล้างหน้าล้างตาก่อนนะเจ้าคะ ข้าต้มข้าวไว้ อีกประเดี๋ยวจะยกมาให้” “ลำบากเจ้าแล้ว” “ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ มันเป็นหน้าที่ของข้า” ครอบครัวหลินมีกันอยู่สี่คน สองสามีภรรยาอยู่ไม่ค่อยติดบ้าน หาเอาตามบ่อนแลจะพบตัวได้ง่ายกว่า การดูแลเรื่องภายในบ้านจึงตกเป็นงานของหลินจื้ออิงมาตั้งแต่อายุได้สิบขวบปี ยามนี้ก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะปัดกวาดเช็ดถูหรือจัดเตรียมสำรับอาหาร ย่อมเป็นสิ่งที่ภรรยาอย่างนางพึงกระทำ หน้าที่ไม่ต่างจากเดิม เปลี่ยนแค่เพียงแวดล้อมเท่านั้น กล่าวจบหญิงสาวก็เดินออกประตูเพื่อไปยังห้องครัว หลี่อี้เทียนล้างหน้าบ้วนปาก ยกผ้าขึ้นซับหยาดน้ำเสร็จเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กกลับเข้ามาพอดี ข้าวต้มเกลือควันกรุ่นพร้อมรับประทานวางลงคู่กับชิงช่ายผัดน้ำมัน “น้องหญิงเก็บผักมาจากที่ไหนหรือ?” ชิงช่ายในจานมีสีเขียวไร้ใบเน่าเสีย สภาพเหมือนผักสดใหม่มากกว่าของเหลือทิ้ง “ข้าออกไปดูข้างนอก เจอแปลงผักตรงโน้นเลยเก็บกลับมาเจ้าค่ะ เอ่อ ของไว้ขายหรือเปล่าเจ้าคะ?” “น้องหญิงอย่ากังวล เพราะข้าก็จำไม่ได้เช่นกัน” หลี่อี้เทียนแย้มยิ้มน้อยๆ เพราะไม่อยากให้อีกคนคิดมาก หลังจบมื้ออาหารเขาตั้งใจออกเดินสำรวจแถวนี้เสียหน่อยว่าที่ทางเป็นอย่างไร “ท่านยังเจ็บตรงไหนหรือไม่?” หลินจื้ออิงรู้สึกผิด เมื่อวานมัวใส่ใจแต่กับพิธีการ จนเผลอลืมไปว่าผู้เป็นสามีสูญเสียความทรงจำเพราะโดนโจรทำร้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน “มีปวดหัวอยู่บ้าง แต่ข้าไม่เป็นไรแล้ว มากินข้าวกันดีกว่า” เมื่อผู้เป็นสามีจับตะเกียบ หลินจื้ออิงจึงค่อยเริ่มรับประทานบ้าง สำรับบนโต๊ะมีเพียงกับข้าวหนึ่งอย่าง และข้าวต้มเกลือคนละถ้วย เรียบง่ายสมฐานะชาวนายากจน กระนั้นอดีตซูเปอร์สตาร์ก็หาได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ แค่มีหนึ่งสมองกับสองมือ เขาจะต้องพลิกฟื้นชีวิตให้ดีกว่านี้ คิ้วของหลี่อี้เทียนเลิกขึ้นเมื่อคีบชิงช่ายเข้าปากไปหนึ่งคำ มองเผินๆ จานตรงหน้าเป็นแค่ผัดผักธรรมดา ยุคนี้ไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูป ทว่ารสชาติของมันกลับอร่อยเกินคาด “รสชาติดีทีเดียว” “จริงหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าผู้ถามเรียบนิ่ง หากแต่แววตาแสดงออกซึ่งความปลาบปลื้ม นอกจากน้องสาวแล้ว บิดามารดาไม่เคยชื่นชมหรือให้กำลังใจนางสักครั้ง หลินจื้ออิงคิดมาตลอดว่าทั้งหมดคือหน้าที่ แม้ไม่ได้คาดหวังมาก่อนแต่เมื่อได้ยินประโยคชมเชยจึงอดดีใจไม่ได้ ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันแล้วกินต่อ ไม่ถึงสองเค่อมื้อเช้าก็ลำเลียงลงกระเพาะอาหารพวกเขาจนหมด “น้องหญิง เดี๋ยวข้าขอออกไปสำรวจละแวกนี้สักหน่อย” “ข้าขอตามท่านไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ข้าคงไปนาน เจ้าจะไม่เหนื่อยหรือ?” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าแข็งแรง” ด้วยยังไม่ทราบจุดหมายการสำรวจแน่ชัด รู้สึกเกรงใจหากจะพาคนที่ตื่นเข้าครัวแต่เช้าไปตะลอนอย่างไร้แบบแผน เมื่อเห็นนางยืนยันเช่นนั้นจึงไม่ขัดศรัทธา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD