ได้ฟังจากแม่สื่อหลี่ฉางหมิวเมื่อวันก่อนว่าอาณาเขตโดยรอบลึกเข้าไปจนสุดป่า ล้วนเป็นพื้นที่ในครอบครองของครอบครัวหลี่ สหายนางล่วงลับไปแล้ว มรดกทั้งหมดจึงตกทอดเป็นสมบัติของหลี่อี้เทียนแต่เพียงผู้เดียว เจ้าของร่างท่าทางจะเป็นคนสมถะรักความเรียบง่าย ที่ดินผืนกว้างปานอุทยาน แต่กลับสร้างบ้านหลังกะทัดรัดพอแค่คุ้มแดดคุ้มฝน
“ข้าเอาผักมาจากตรงนี้เจ้าค่ะ”
หากเทียบที่ดินในครอบครองกับจำนวนแปลงผักที่หลี่อี้เทียนคนเดิมทำไว้ เขามองว่ายังทำเงินให้ไม่มาก
“อืม…ต้องลงแปลงเพิ่ม” ร่างสูงพึมพำกับตัวเอง
“เดี๋ยวข้าไปหยิบจอบมาให้นะเจ้าคะ”
“ช้าก่อนน้องหญิง”
หลินจื้ออิงเอ่ยอาสา ทำท่าจะย้อนกลับบ้านไปหยิบอุปกรณ์ หวังช่วยงานผู้เป็นสามีอย่างเต็มที่ ทว่าโดนห้ามไว้เสียก่อน
“ก่อนปลูกอะไรเพิ่ม เราต้องหาทุนก่อน”
จะทำสิ่งใดจำเป็นต้องวางแผนและคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อรู้ถึงต้นทุน มาอยู่ร่างหลี่อี้เทียนได้หลายวันแล้ว แต่ไม่ทราบเลยว่าเงินเก็บอยู่ตรงไหนในบ้าน เขาไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียว! ดังนั้นเรื่องเพาะปลูกควรเป็นแผนงานลำดับถัดไป ยามนี้ควรเริ่มต้นด้วยการหาอะไรมาขายไปพลางๆ ก่อน
“เราไปหาของในป่ากัน เผื่อเอาอะไรมาขายได้”
ชายหนุ่มเพยิดหน้าไปยังชายป่า ก่อนทั้งคู่จะเริ่มออกสำรวจ พื้นที่ถัดจากแปลงผักนั้นกว้างขวาง สามารถเพาะปลูกเพิ่มเติมได้อีกมาก แมกไม้ที่ขึ้นรายรอบเต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลาย หากถึงฤดูผลิดอกออกผลคงเก็บไปขายได้เยอะเป็นแน่
ความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้อยู่แค่บนดิน หากแต่พื้นที่ในครอบครองมีทั้งน้ำตกและลำธารไหลผ่าน บรรยากาศร่มรื่นและเป็นส่วนตัว ชวนให้นึกถึงภพก่อนตอนเข้าพักรีสอร์ตติดธรรมชาติ กวาดตามองผ่านๆ เห็นปูตัวน้อยเรียงแถวเลาะผ่านริมธาร ในน้ำมีปลาแหวกว่ายกันขนัด มรดกผืนนี้นับว่าล้ำค่ามากทีเดียว อาศัยแค่พอหากินไปวันๆ ก็ใช้ชีวิตสบายไปทั้งชาติ ทว่าเขายังยึดมั่นในปณิธานสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ดี
เคยเป็นถึงซูเปอร์สตาร์รายได้ต่อปีนับร้อยล้านหยวน มาใช้ชีวิตใหม่จะให้มีแค่เศษเงินและพืชผลเห็นทีจะไม่ได้
“ท่านพี่ ข้าเห็นตรงโน้นมีต้นท้อเจ้าค่ะ”
หลินจื้ออิงชี้บอกพลางเดินนำไปยังจุดที่ตัวเองคลับคล้ายคลับคลา เมื่อมาถึงก็พบต้นท้อเรียงราย ผลสีแดงอมส้มสุกพร้อมเก็บเกี่ยวเต็มกิ่งก้าน ภรรยาเขาถือว่าหูตาไวใช้ได้
“เป็นตามเจ้าว่า” ชายหนุ่มยิ้มละไม ตั้งใจออกสำรวจเพราะไม่ทราบว่ามีสิ่งใดบ้างในบริเวณ จึงไม่ได้พกพาอุปกรณ์ใด ดีว่าคว้าผ้าผืนย่อมมาด้วยเลยส่งให้หลินจื้ออิง
“น้องหญิงรอรับข้างล่าง เดี๋ยวข้าปีนขึ้นไปเก็บเอง”
“เจ้าค่ะ”
ต้นท้อขนาดไม่สูงมาก แต่บางกิ่งยื่นออกไปไกลกว่าที่จะเอื้อมเด็ด จึงตั้งใจเก็บแค่ส่วนที่อยู่ใกล้ก่อน อดีตซูเปอร์สตาร์พยายามนึกถึงตอนที่เคยปีนป่ายช่วงเยาว์วัยแล้วเริ่มไต่ขึ้นต้นไม้ คนตัวเล็กขยับไปยืนข้างใต้พลางคลี่ผ้าออกเตรียมรอรับ ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าบนนั้นมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งปักหลักอยู่ก่อนแล้ว
“น้องหญิง รับ”
หลี่อี้เทียนนั่งคร่อมกิ่งที่ดูแข็งแรง เลือกเด็ดผลท้ออย่างเบามือเพราะไม่อยากให้บอบช้ำ เก็บไปได้ไม่กี่ผลคล้ายได้ยินเสียงกระพือปีก ดวงตาเริ่มมองหาต้นกำเนิดของเสียงนั้น ก่อนจะหยุดตรงก้อนกลมที่กำลังจับจ้องมา
“กระต๊าก!”
สองสามีภรรยาสะดุ้งโหยง เจ้าไก่ป่าตัวเมียแผดเสียงออกมาคราหนึ่ง มันเปลี่ยนจากท่านั่งกลมปุ๊กมายืนจังก้า สายตามองผู้บุกรุกที่อยู่มันอย่างโกรธเคือง
“เอ่อ เจ้าใจเย็นก่อน ข้าขอเก็บลูกท้อเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วจะรีบไป”
ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้อดีตซูเปอร์สตาร์เลือกเจรจาต่อรองกับไก่ป่า ทว่ามนุษย์ไม่เข้าใจภาษาสัตว์เช่นไร ไก่ป่าย่อมไม่เข้าใจภาษามนุษย์เช่นกัน มันรับรู้แค่ว่ามีคนกำลังบุกรุกเขตแดนและต้องขับไล่
“แกว๊กกก แกว๊กกกก!”
ถึงสองสามีภรรยาจะฟังภาษาไก่ไม่ออก แต่รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรในน้ำเสียง ปีกสองข้างกระพือสูงเพื่อข่มขวัญ รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์กลับตัวไม่ได้ ให้ลุยต่อก็คงไปไม่ถึงอย่างไรชอบกล กระนั้นหลี่อี้เทียนทำใจดีสู้ไก่เอื้อมมือเด็ดผลท้อต่อ
“ท่านพี่ระวังเจ้าค่ะ”
เตือนไม่ทันจบประโยค เจ้าไก่ขี้หวงก็ตีปีกและประเคนเท้าใส่ชายหนุ่มรัวๆ
“โอ๊ยๆ ไปแล้วๆ!” หลี่อี้เทียนหดคอหลบการโจมตีจากไก่คลั่ง ขาขึ้นปีนป่ายอย่างระมัดระวัง แต่ขาลงแทบพุ่งหลาวจากต้นไม้ ยืนบนพื้นแค่อึดใจ ก็มีเสียงตีปีกสลับวิ่งย่ำบนพื้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชะรอยว่าเสียงแหลมที่แผดก่อนหน้าจะเป็นการตามพรรคพวก ไก่ป่าฝูงใหญ่กำลังกรูมาหาสองสามีภรรยา มองอย่างไรก็หาความปลอดภัยในชีวิตไม่ได้
“น้องหญิง วิ่ง!”
“เจ้าค่ะ!”
มือเล็กรีบห่อผ้าลวกๆ แล้วกอดไว้ในอ้อมแขน หลินจื้ออิงโกยแน่บ พยายามรักษาผลท้อยิ่งชีพ
“กระต๊ากก!”
เจ้าไก่หัวโจกไม่วายส่งเสียงไล่หลัง หากแปลเป็นภาษามนุษย์คงหมายถึงว่า ‘ไปให้พ้นเลยนะ!’
ภารกิจออกสำรวจ จู่ๆ ก็กลายเป็นภารกิจเอาตัวรอด หลี่อี้เทียนคว้าข้อมืออีกคนไว้ ก่อนจะพากันสับขาวิ่งออกจากป่าโดยมีฝูงไก่หัวร้อนตามไปติดๆ เมื่อเห็นผู้บุกรุกพ้นชายป่าไปพวกมันก็เลิกรา
“ท…ท่านพี่ ข…ข้าขอพักหายใจก่อนเจ้าค่ะ”
หันไปดูด้านหลังไม่เจอฝูงไก่ไล่กวด คนตัวเล็กกว่าชะลอจังหวะวิ่งแล้วทิ้งตัวลงนั่ง ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนว่าปอดจะหลุดออกมาด้านนอกจึงทรุดตัวลงนั่งด้วย
พักหายใจหายคอได้ครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่กลมเพิ่งสังเกตเห็นสภาพสามี ผมเผ้าที่เมื่อเช้ารวบอย่างดี บัดนี้ยุ่งเหยิงเพราะไก่ทึ้งไว้ หลินจื้ออิงเม้มปากเบนหน้าไปอีกทาง พยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เผลอเสียมารยาทหลุดยิ้มออกมา
“น้องหญิงอย่าขำข้า ผมหน้าม้าเจ้าก็แตกเช่นกัน”
หลี่อี้เทียนแซวกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เขาพอคาดเดาสภาพตัวเองได้ว่ายับเยินแค่ไหน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปให้ผู้เป็นภรรยา
“กลับบ้านไปตั้งหลักกันก่อนเถิดวันนี้”
“ไก่พวกนั้นดุมากเลยนะเจ้าคะ”
“นั่นสิ”
หลินจื้ออิงนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนทาบมือลงไป ฝ่ามือใหญ่ช่วยดึงนางให้ลุกขึ้นมา แถมยังช่วยจัดผมหน้าม้าอีกฝ่ายให้เข้าทรงตามเดิม จากนั้นพากันเดินไปคุยไปเกี่ยวกับการผจญภัยวันนี้กระทั่งกลับถึงบ้าน
ทั้งคู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าชีวิตหลังแต่งงานจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นเช่นนี้!
การเป็นชาวนาชาวสวนมันไม่ง่ายเลยจริงๆ!