“สามสิบอีแปะ”
ลูกจ้างร้านรับซื้อของตระกูลเหอตีราคาผลท้อทั้งตะกร้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หลี่อี้เทียนเข้าใจความรู้สึกชาวนาที่ต้องตรากตรำทำงานแล้วโดนพ่อค้าคนกลางกดราคาขึ้นมาหลายส่วน ขนาดเขาเป็นแค่คนเก็บไม่ได้ปลูกต้นท้อมากับมือ ยังมองว่าให้ราคาไม่เป็นธรรม
“ท้อนี่รสชาติดีทีเดียว เพิ่มราคาอีกสักนิดไม่ได้หรือพี่ชาย?” อดีตซูเปอร์สตาร์เลือกที่จะต่อรองดูก่อน
“เหอะ สามสิบอีแปะขาดตัว”
ร้านรับซื้อตระกูลเหอเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งผลผลิตทางการเกษตรไปจนถึงอัญมณีและของมีค่าหายาก พวกเขามักอบรมลูกจ้างเสมอว่าต้องรับซื้อในราคาที่ต่ำและปล่อยออกในราคาสูงเพื่อกอบโกยกำไร โดยไม่ต้องสนคู่ค้าว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับพวกชาวบ้านชาวนา พวกนี้แค่โยนเศษเงินให้ก็นับเป็นพระคุณแล้ว
“ถ้าไม่ขายก็ออกไป ขวางทาง! โอ้~ คุณชายท่านนี้กำลังมองหาสินค้าใดหรือขอรับ?”
พนักงานของที่นี่เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน หากมีคนเข้าร้านพร้อมกัน ผู้มีฐานะย่อมได้รับการต้อนรับมากกว่าชาวบ้านทั่วไป เมื่อมีลูกค้าสวมใส่อาภรณ์เนื้อดีเข้ามา ลูกจ้างชายคนนั้นเลิกแยแสสองสามีภรรยาแล้วตามประกบผู้มาใหม่แทนทันที
“น้องหญิง เราไปกันเถิด”
ยามนี้หลี่อี้เทียนไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์เป็นเพียงชาวนาผู้ยากจนก็จริง ทว่าจะไม่ยอมให้ผู้ใดเอาเปรียบ เขาชักชวนภรรยาเดินออกจากร้าน สู้เอาเวลาต่อรองราคาไปหาพื้นที่ขายของยังดีเสียกว่า
“ที่นี่หรือเจ้าคะ?” หัวคิ้วคนตัวเล็กกว่าขมวดเล็กน้อย เมื่อพบว่าผู้เป็นสามีพามาหยุดยืนที่ร้านยาสภาพทรุดโทรม
“ถูกต้องแล้วน้องหญิง” หลี่อี้เทียนส่งยิ้มยืนยัน พลางแตะบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เชิงบอกให้เดินไปด้านใน
เขาเคยได้รับบทบาทหมอเทวดาในละครแนวจีนโบราณ ด้วยนิสัยส่วนตัวที่จริงจังกับงานและไม่ใช่พวกสักแต่ท่องจำบท เขามักค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับพื้นเพตัวละครนั้นๆ เพิ่มเติม ความรู้ความเข้าใจเรื่องพืชและยาขั้นพื้นฐานจึงยังจดจำได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าลูกท้อก็มีสรรพคุณทางยา ที่นี่จึงเป็นเป้าหมายรองลงมาจากร้านรับซื้อตระกูลเหอ
แม้ด้านนอกร้านดูทรุดโทรม ทว่าภายในกลับสะอาดสะอ้านและเป็นสัดส่วน ชายวัยกลางคนเหลือบตาขึ้นจากตำราในมือ
“มาหาข้ามีอะไรงั้นหรือ?”
พินิจอยู่ครู่ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย สายตาผู้เชี่ยวชาญมองเห็นแค่ความอ่อนเพลียบนสีหน้าของสองสามีภรรยา แต่ไม่มีใครดูมีอาการเจ็บไข้หรือร้อนใจ จึงสันนิษฐานเอาว่าคงมาด้วยเหตุอื่น
“ข้าลองเอาลูกท้อมาขายท่าน เผื่อท่านต้องใช้ทำยา”
เกริ่นจบร่างสูงก็ย้ายตะกร้าที่สะพายด้านหลังมาวางลงให้ชายวัยกลางคนดู หลินจื้ออิงเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีผลักไส ทั้งยังคล้ายให้ความสนใจ จึงรีบชูสรรพคุณหวังช่วยสามีค้าขายเต็มกำลัง
“ท่านอา ลูกท้อของเราดีมากนะเจ้าคะ”
หลี่อี้เทียนลอบยิ้ม เห็นภรรยาผู้ไม่ใช่คนชอบจำนรรจาพยายามเสนอขายแล้วชวนให้เอ็นดูไม่น้อย
“ผลท้อมีเท่าที่เห็นหรือมีเยอะกว่านี้?”
เจ้าของโรงหมอพิจารณาเงียบๆ ของสิ่งนี้ไม่ถึงกับหายากแต่ก็ใช่ว่าจะพบได้ทั่วไปตามข้างทาง ในตำราถือเป็นยาอายุวัฒนะตัวหนึ่ง ผลท้อไม่แคระแกร็น ผิวเกลี้ยงเกลาไร้รอยเจาะจากหนอนหรือแมลง ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จัดว่าคุณภาพดีอย่างที่หญิงสาวกล่าวอ้าง
“พวกนี้เก็บจากสวนบ้านข้าเอง หากท่านอาอยากได้เพิ่ม ข้าจะจัดหามาให้”
“ร้านข้าเป็นร้านเล็กๆ คงซื้อจำนวนไม่มาก”
“ท่านซื้อแค่ลูกเดียว ข้าและภรรยาก็ซาบซึ้งใจแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้ายืนยันคำของหลี่อี้เทียน แค่ไม่ไล่ส่งเช่นที่โดนมาจากร้านของตระกูลเหอ ก็นับว่าดียิ่ง
“เอามาสิบลูก ข้าอยากได้ดอก ใบ และรากเพิ่มด้วยจะได้หรือไม่?”
ผลสดเก็บได้ไม่นานมาก ชายวัยกลางคนตั้งใจนำไปตากแห้งเพื่อใช้เนื้อและเมล็ดเป็นตัวยา ไม่ใช่แค่ผลของมันที่มีสรรพคุณทางยา หากแต่ส่วนอื่นของต้นท้อก็มีประโยชน์ต่างกันไป
“วันนี้ท่านอาเอาลูกมันไปก่อน ส่วนของที่ท่านต้องการ อีกสามวันข้าจะนำมาส่งให้”
“ได้ นี่ส่วนของลูกท้อ ที่เหลือค่อยจ่ายวันนั้น”
ถุงเงินใบเล็กถูกยื่นมาให้ ขณะที่หลี่อี้เทียนเจรจากับเจ้าของร้านขายยา มือเล็กก็ช่วยหยิบผลท้อออกจากตะกร้าจำนวนสิบลูกวางเรียงให้ด้วยความระมัดระวัง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านอามาก”
หลังออกจากร้านหลี่อี้เทียนลองแง้มดูถุงเงิน ในนั้นมีเหรียญอีแปะใส่อยู่สิบกว่าเหรียญได้ หมอยาคนเมื่อครู่ให้ราคาเที่ยงธรรม เหมาะสมที่จะค้าขายร่วมกันในระยะยาว
“ต้องไปไหนต่อหรือเจ้าคะท่านพี่?”
“เราไปหาที่วางขายลูกท้อตรงโน้นกัน”
สามีชี้ชวน ภรรยาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเคียงกันไปตามทางขวักไขว่ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกผู้คนที่ออกมาจับจ่ายเซ็งแซ่ ในตลาดส่วนมากมีเจ้าประจำตั้งแผงขาย พวกเขาวนหาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเจอที่ว่างให้ปักหลัก
“อี้เทียนมิใช่รึ? ลมอะไรหอบเจ้ามาขายของในตลาดกัน?”
น้ำเสียงนั้นแฝงความแปลกใจอยู่แปดส่วน เขาไม่ทราบเลยว่าเจ้าของคำทักทายคือผู้ใด แต่เมื่อพิจารณาจากช่วงวัยแล้ว ไม่แคล้วคงเป็นสหายของปู่ย่าอีกหนึ่งคน ไม่รู้จักไม่ใช่ปัญหา หลี่อี้เทียนรีบหันหางเสือตามลม คิดเสียว่านี่คือการพบปะแฟนคลับของซูเปอร์สตาร์!
“ต้นท้อออกผลดกมาก จะทิ้งให้เน่าคาต้นก็เสียดาย ข้ากับภรรยาเลยเอามาขายน่ะท่านยาย” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมรอยยิ้มอ่อนอย่างมืออาชีพ โดนกองทัพนักข่าวสัมภาษณ์ออกรายการสดมาแล้วจากภพก่อน แค่ตอบคำถามคุณยายคนเดียวนับเป็นกระไรได้!
“อ้อ เห็นเจ้าเอาแต่ส่งให้ร้านตระกูลเหอ ไม่เคยขายเองสักที”
คำพูดของอีกฝ่ายแปลได้ว่า หลี่อี้เทียนคนก่อนเลือกส่งผลผลิตให้ร้านรับซื้อตระกูลเหอแต่เพียงอย่างเดียว ไม่คิดตั้งแผงขายเองเพราะต้องการหนีจากความวุ่นวาย ตามนิสัยผู้รักสันโดษ มิน่าเมื่อเช้าเจ้าลูกจ้างนั่นถึงได้กดราคา แต่ฝันไปเถิดว่าชาวนาหลี่ผู้นี้จะยอมส่งของให้อีก
“ข้าไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว เลยต้องเร่งหาเงินน่ะท่านยาย”
“ดียิ่ง เอ้า มาตรงนี้ พวกเจ้านั่งขายได้เลย” หญิงชราแบ่งปันที่ว่างหน้าร้านซาลาเปาของตัวเองอย่างยินดี
“ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ” หลินจื้ออิงกล่าวพลางค้อมศีรษะ ปูผ้ารองที่พื้นแล้วก็หยิบท้อออกจากตะกร้ามาสองผลแล้วยัดใส่มือหญิงชราผู้มีน้ำใจ
“ไม่เป็นไรๆ ของซื้อของขาย เอามาให้ข้าได้อย่างไรกัน”
“ท่านแบ่งที่ให้พวกข้า พวกข้าแบ่งท้อให้ท่าน ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเล็กๆ จากผู้น้อยมิได้หรือท่านยาย?”
“เฮ้อ จริงๆ เลย ก็ได้ๆ” นางกล่าวด้วยท่าทีจำยอมก่อนจะรับลูกท้อไว้ เห็นสองสามีภรรยาใจดีเกินเหตุเลยอดที่จะสอนพ่อค้ามือใหม่ไม่ได้ “ของขายคือของขาย พวกเจ้าจะเอาแต่แจกให้คนไม่ได้ กำไรหดหายหมดพอดี”
“ข้าจะจำคำชี้แนะท่านยายไว้”
หญิงชราพยักหน้าก่อนเดินเข้าร้านของตัวเองไป สองสามีภรรยาจึงประจำที่ตัวเองบ้าง สี่มือช่วยกันจัดวางลูกท้อกองละสามผล จากนั้นก็หยิบมีดและจานใบเล็กออกมา หลินจื้ออิงฝานท้อเป็นชิ้นพอดีคำแล้วจัดเรียงบนจาน ปิดท้ายด้วยเอาไม้ไผ่ที่เหลาปลายแหลมขนาดเล็กปักบนชิ้นลูกท้อ สามีบอกนางว่ามันสะดวกต่อการจิ้มอาหารเข้าปาก
“ท่านพี่ ข้าเตรียมตามที่ท่านบอกเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้า”
มิได้จะกินแรงภรรยา แต่หากเทียบระหว่างอดีตซูเปอร์สตาร์กับแม่บ้าน ย่อมต้องเป็นคนหลังที่มีทักษะการใช้มีดมากกว่า