บ้านของชนะศึก
"การรบกลับมาแล้วเหรอลูก ยินดีด้วยนะที่จบการศึกษาเสียที" หญิงวัยกลางคนวัยสี่กว่าปีรีบปรี่เข้ามาโอบกอดลูกชายวัยยี่สิบสองด้วยความดีใจเป็นที่สุด
"สวัสดีครับม้า สวัสดีครับป๊า"
"ดีๆ มาก็ดีแล้วไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าวกินปลากัน" อาโหยวผู้ตบไหล่ลูกชายเบาๆ ด้วยความปลาบปลื้ม
"ครับ"
บนโต๊ะอาหาร
"อาตี๋พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปดูโรงสีกับป๊า ถ้ายังพอมีเวลาก็ไปดูแปลงผักออแกนิก แล้ววันมะรืนไปดูทุ่งนาที่ปลูกข้าวของชาวบ้านที่ส่งให้กะโรงสีของเรา วันต่อไปค่อยไปดู โรงงานผลิตอุกรณ์การแพทย์"
"โห ป๊า กลับมานี่แทบจะไม่ให้พักเลยเหรอครับตารางงานแน่นเอี๊ยด คิวยาวเป็นหางว่าวแน่ะ"
"แล้วแกอยากพักกี่วันล่ะ ป๊าให้พักก่อนก็ได้ เดี๋ยวป๊าไปเองช่วงนี้กิจการกำไรลดน้อยลง มีแกมาช่วยอีกทางป๊าก็สบายใจ"
"ป๊าไม่พักผมจะกล้าพักเหรอครับ"
"หึ หึ ต้องเร่งมือหน่อย ช่วงนี้พวกอิทธิพลจากกรุงเทพฯเริ่มขยับขยายใกล้พวกเรามาทุกที อาเกศอีกสองวันเฮียจะลงไปกรุงเทพฯ ลื้ออยู่กับอาตี๋สองคนก่อนนะ"
"ไปทำไม" ใบหน้าที่สดใสของเกศสุวรรณเปลี่ยนเป็นขึงขังและเต็มไปด้วยความกังวลขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นสามีพูดจบ
"จะไปเจรจาเอาบ้านของเราคืน แม้ไม่ได้อยู่ที่นั่นแต่มันคือสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ของเธอมอบให้ เฮียจะลองไปเจรจาขอซื้อคืนกลับมาให้เธอ"
"ไม่ ฉันไม่ให้เฮียไป สมบัติอะไรนั่นช่างมัน ฉันไม่เอาแล้ว"
"เฮียไม่ได้จะไปเจอพวกมันตรงๆ เสียหน่อย เฮียขอให้คนไปเจรจาให้ สองปีที่แล้วมันเรียกยี่สิบล้าน เงินของเราไม่พอ ปีนี้เฮียเตรียมไปสี่สิบล้านเผื่อพวกมันจะยอมขายให้"
"เฮีย! เฮียคิดอะไรอยู่ จะเอาเงินไปทิ้งกับบ้านสับปะรังเคหลังนั้นสามสี่สิบล้านเนี่ยนะ ต่อให้เฮียได้บ้านหลังนั้นมาจริงๆ คิดหรือว่าฉันอยากจะกลับไปอยู่ที่นั่นอีกครั้งน่ะ ฉันไม่มีวันกลับไปเหยียบที่นั่นอีกหรอกนะ"
"อาเกศ..."
"ถ้าเฮียอยากจะไปก็ไปเลย ไปเอาบ้านหลังนั้นไว้เลย แต่ถ้าเฮียกลับมาแล้วไม่เจอเกศก็อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน" เกศสุวรรณลุกจากโต๊ะอาหารปาดน้ำตาวิ่งขึ้นห้องนอนของเธอไป
"นี่มันอะไรกันครับป๊า ทำไมม้าต้องโกรธป๊าเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นกันครับ"
"ม้าเขาแค่กลัวป๊าจะตายเท่านั้นเอง ไม่ต้องกังวลไปหรอก หึ เดี๋ยวป๊าก็ง้อสำเร็จ"
"ทำไมป๊าดูชิล แต่ม้านี่เกินเบอร์ไปเยอะเลยนะครับ ทะเลาะกันบ่อยเหรอ"
"พูดเรื่องนี้ทีไรม้าแกก็เป็นแบบนี้ทุกทีแหละ ป๊ารู้ว่าแม่แกรักบ้านหลังนั้นมาก แต่ก็มีเรื่องฝังใจมากเช่นกัน"
"เรื่องอะไรกันครับ ผมควรต้องรู้ไหม"
"จริงๆ ป๊าก็ไม่อยากพูด มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เด็กรุ่นหลังอย่างแกไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่มันก็เป็นหนามยอกอกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึงมัน"
หนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณถึงกับปาดน้ำตาปากคอสั่นเพราะไม่อยากพูดถึงอดีตที่แสนจะเจ็บปวด แต่ก็อยากระบายออกมาบ้าง
"มันเรื่ิิองอะไรกันที่ทำให้ป๊าถึงกับร้องไห้ออกมา" แต่เล็กจนโตชนะศึกไม่เคยผู้เป็นบิดาร้องไห้ออกมาเลยสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้เป็นพ่อหลั่งน้ำตาและมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย
"เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนป๊ามาทำงานที่เมืองไทยโดยมีแต่ตัวไม่มีแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน ป๊ารับจ้างทำงานสารพัดที่เด็กหนุ่มคนนึงจะทำได้
จนกระทั่งวันหนึ่งป๊าได้เจอเพื่อนสนิทเป็นคนไทยสองคนที่เคยสาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน ป๊ามาเจอแม่ของแกตอนนั้นเธอเป็นคนมีฐานะ เพื่อนสนิทป๊าสองคนเลยขอกู้เงินพ่อของอาเกศมาลงทุนค้าขาย
เราสร้างตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยกัน สร้างอาณานิคมทางทะเลด้วยกัน และเรียกเก็บค่าคุ้มครองของคนจีนที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ด้วยกัน
ยิ่งนานวันธุรกิจในสามเหลี่ยมขุมทรัพย์ก็เริ่มขยายตัวมากขึ้น พวกเราจึงตกลงแบ่งธุรกิจกันดูแลโดยมีบวรยศ ดูแลธุรกิจทางทะเล พนาดูแลตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า ส่วนป๊าเป็นลูกเขยเงินทุนจึงได้ธุรกิจเรียกค่าคุ้มครองคนจีนในไทย
ป๊าเป็นคนขี้เห็นใจ ใครไม่มีป๊าก็ไม่เก็บ เมื่อเอาเงินสามส่วนมารวมกัน ป๊าก็มักจะได้น้อยกว่าพวกเขาสามถึงสี่เท่าตัว ทำให้พนาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่งพ่อของเกศราก็จากไปกะทันหัน ทำให้พวกเราขาดเสาหลักของครอบครัว ตอนนั้นแกอยู่ในท้องม้าได้แค่เดือนเศษๆ
พอแกคลอดออกมาได้ห้าเดือนคุณยายก็มาเสียเพราะตรอมใจ พนากับบวรยศได้โอกาสร่วมมือกันหักหลังพวกเรา จนต้องระเห็ดระเหเร่ร่อนมาอยู่ที่นี่ โชคดีมาเจอชาวบ้านใจดีให้ที่กินที่อยู่ ป๊ากับม้าจึงลืมตาอ้าปากได้มาจนถึงทุกวันนี้"
"โถ ปะป๊า"
ชนะศึกอุทานออกมาด้วยความสงสารและเห็นใจผู้เป็นบิดาอย่างที่สุด
"ป๊าถูกเรียกเงินหนึ่งล้านบาทเพื่อแลกกับบ้านและกิจการเก็บค่าคุ้มครอง ในตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินเยอะมาก ป๊าหาไม่ได้จึงถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของยายที่ยกให้แม่ของแก"
"ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้กัน"
"เพราะความโลภจึงทำให้คนแปรเปลี่ยน"
"ผมจะทำยังไงได้บ้างครับ"
"เอางี้ดีไหม หากแกอยากจะช่วยแกไปเจรจาซื้อบ้านหลังนั้นคืนแทนป๊าดีไหม ม้าของแกต้องดีใจมากแน่ๆ ไม่มีใครรู้จักการรบนี่นา ฮ่าๆ"
"ครับ ผมจะไปเจรจาซื้อบ้านหลังนั้นกลับมาให้ม้ากับป๊าจนได้ครับ"
"ดีๆ เตรียมตัวเถอะอีกสองวันค่อยเดินทางไป"
"ครับ"
ชนะศึกรับคำรีบกินข้าว
บ้านตระกูลโสภณภักดี(บ้านของบัววิกตอเรีย)
"บัว พรุ่งนี้ไปทำธุระกับบอลนะ"
"ไปไหนเหรอคะคุณพ่อ"
"มีคนติดต่อขอซื้อบ้านเก่าแถวย่านการค้าน่ะ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นเรือนหอของพวกแกสองคนแล้ว ให้ไปดูกันเอาเองว่าจะตัดสินขายหรือเก็บเอาไว้ เพราะครั้งนี้ทางนั้นก็เสนอราคามาดีอยู่"
"ฮะ อะไรนะคะคุณพ่อ เรือนหอ" บัววิคตอเรียถึงกับตกใจเป็นอย่างมากที่จู่ๆ ผู้เป็นพ่อบอกให้เธอได้รับรู้เรื่องเรือนหอที่จะยกให้
"ใช่ เรือนหอของแกกับบอล"
"อะไรกันคะคุณพ่อทำไมบัวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย เรือนหออะไร"
"พ่อก็กะจะบอกตอนที่พวกเราสองครอบครัวนัดทานข้าวกันนั่นแหละ"
"เรื่องอะไรคะ บัวงงไปหมดแล้วค่ะ"
"ก็เรื่องที่แกจะต้องแต่งงานกับบอลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ายังไงล่ะ"
"แต่งงาน! คุณพ่อทำไมทำอะไรถึงไม่ปรึกษาบัวก่อนล่ะคะ รู้ไหมคะว่าการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของบัวเลยนะคะ"
"ก็เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของแกยังไงล่ะพ่อถึงต้องมาจัดการด้วยตัวเอง"
"แต่บัวเคารพรักพี่บอลเหมือนพี่ชายเท่านั้นค่ะ และไม่มีวันเป็นอย่างอื่นไปได้"
"แต่งๆ กันไปเดี๋ยวก็อยู่ด้วยกันได้เองแหละ"
"บัวไม่แต่งค่ะ นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วคะคุณพ่อคลุมถุงชนแบบนี้มันเป็นการละเมิดสิทธิ์ไปแล้วนะคะ"
"ถ้ายังไม่อยากแต่งก็หมั้นกันไว้ก่อนก็ได้ ผลประโยชน์ทางธุรกิจหวังว่าแกคงจะเข้าใจนะ"
"บัวไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดค่ะ" หญิงสาวเสียงแข็งจนผู้เป็นพ่อต้องถอนหายใจออกมาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
"ฟังพ่อนะบัววิคตอเรีย ตอนนี้การค้าที่ท่าน้ำของเรากำลังไปได้สวยกว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว พนายื่นข้อเสนอมาว่าหากพ่อจะรักษาพื้นที่ทำมาหากินตรงนั้นเอาไว้ บัวจะต้องแต่งงานกับบุตรพนา หากบัวไม่แต่งพวกเราก็เตรียมตัวย้ายออกจากที่นี่แล้วไปหาที่ทำมาหากินที่ใหม่ได้เลย เพราะพนามันไม่ยอมหรอก"
"ทำไมพ่อต้องกลัวอาพนาขนาดนั้นด้วยคะ บัวไม่เข้าใจ"
"ก็เพราะพนาเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไงล่ะ ส่วนพวกเราเป็นคนไทยแค่ครึ่งเดียวแถมแม่ของแกยังเป็นฝรั่งอีก พวกเราต่อรองอะไรไม่ได้เลย"
"พ่อคะ เราย้ายออกไปจากที่นี่แล้วหนีไปตั้งต้นใหม่กันเถอะค่ะ บัวจะหางานทำแล้วดูแลพ่อเอง"
"พ่อก็อยากทำอย่างนั้นแต่อยู่ดีๆ ก็ไปเลยมันคงทำไม่ได้ บัวหมั้นกับบอลเพื่อยื้อเวลาไว้ซักปีสองปีเถอะนะ ถึงเวลานั้นค่อยถอนหมั้นก็ยังไม่สาย"
"แต่..." บัววิคตอเรียจะบอกผู้เป็นพ่อได้ยังไงกัน ว่าเธอมีชนะศึกหรือการรบอยู่เต็มหัวใจไปหมดแล้ว
"นะบัว ถือว่าพ่อขอร้องช่วยพ่อสักครั้งเถอะ"
บวรยศจับมือลูกสาวขึ้นมากุมเอาไว้ ขอร้องเธอด้วยสีหน้าและแววตาที่เศร้าหมอง เขาจะบอกเธอได้ยังไงว่าพนาขู่เอาไว้ว่ายังไงหากเธอไม่หมั้นหรือแต่งงานกับบุตรพนา
แม้จะไม่ชอบฝืนใจลูก แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาชีวิตของลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขาเอาไว้
..........
ป้าดซิโท๊ะ ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อครอบครัว แล้วจะเป็นยังไงต่อไปนะ.... คิดถึงรี๊ดนะคะ?