กลางดึกในคืนนั้น ไป๋ซืออวี่นอนไม่หลับด้วยเสียงของสัตว์ป่าที่ร้องโหยหวน ก่อนหน้านี้ที่มีนักฆ่าผู้นั้นอยู่ด้วย นางกลัวเขามากกว่าจนลืมหวาดกลัวบรรยากาศเช่นนี้ไป
นางมั่นใจว่าอิ่นเฟิงผู้นี้ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา ตั้งแต่ที่ไฝปลอมนั้นไม่อยู่นางก็รู้แล้วว่าอิ่นเฟิงคือชื่อปลอม แววตาที่เต็มไปด้วยแรงสังหารของเขา นางรู้ว่าเขาคือบุรุษนิรนามภายใต้หน้ากากครึ่งใบหน้าผู้นั้น
เสียงหอนรับกันของหมาป่าทำให้นางขดตัวด้วยความหวาดกลัว เตียงไม้ไผ่ที่เขาทำแข็งจนนางปวดหลัง แต่ก็ยังดีกว่านอนพื้นดินที่เย็นเยียบ ในขณะที่เขาออกไปนอนนอกกระท่อม เพราะให้เกียรตินาง เรื่องนี้ทำให้นางซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถหักล้างกับเรื่องที่เขาสังหารคนต่อหน้านางได้
นางคำนวณเวลาที่เขาจะกลับมา คาดว่าคงต้องใช้เวลานานหน่อย แต่ไม่เท่าตอนที่พานางมา ระหว่างทางคนผู้นั้นต้องฉุดดึงนางมา แล้วกลับไปกลบร่องรอย นางเหนื่อยเขาก็พานางหยุดพัก ใช้เวลาสองวันกว่าจะมาถึงกระท่อมหลังนี้มิใช่เรื่องง่าย แต่เขาเดินทางคนเดียว อย่างน้อยพรุ่งนี้ตอนสายก็คงกลับมาถึงแล้ว
เสียงใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำอยู่นอกกระท่อมไม้ไผ่ทำให้นางเกิดความกังวล ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีตัวคนเดียวอย่างนาง
หญิงงามได้แต่ปิดปากเงียบ ฟังเสียงย่ำใบไม้ที่เข้ามาใกล้ก็ยิ่งเกิดความกลัว ไม่นานเสียงเดินนั้นก็หยุดลงที่หน้าประตูกระท่อม ไป๋ซืออวี่ใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ นางเบิกตากว้างเห็นเพียงเงาร่างสูงสีดำที่มองไม่เห็นหน้า ท่ามกลางแสงสลัวด้านหลังของเขา ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นนางก็ลุกหนีไปยืนตัวสั่นที่มุมกระท่อม
“ซืออวี่ ข้ากลับมาแล้ว” เขาเรียกชื่อนางด้วยความอ่อนโยน
ดวงตาของนางกะพริบเบาๆ พอเริ่มชินกับความมืดและเมฆที่บดบังดวงจันทร์ลอยผ่าน ก็เห็นใบหน้าของเขารางๆ
“ข้าลืมบอกให้เจ้าจุดคบเพลิงไปรอบกระท่อม เป็นความผิดของข้าเอง” เขากล่าวก่อนที่จะวางสัมภาระลงที่เตียงไม้ไผ่ เดินออกไปนอกกระท่อม
นางค่อยๆ เดินไปนั่งที่แค่ท่ามกลางความมืด สัมผัสดูห่อผ้าขนาดใหญ่ที่เขาแบกกลับมา พลางได้กลิ่นที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่แน่ใจนัก
สักพักเขากลับมาพร้อมกับคบเพลิงที่ทำขึ้นจากยางไม้ จากนั้นก็จุดตะเกียงภายในห้อง ก่อนจะเดินไปจุดคบเพลิงรอบกระท่อมทั้งสี่ด้านก่อนจะเดินกลับเข้ามา
“นี่มัน...” เมื่อเห็นว่าห่อผ้านั้นเป็นลายที่คุ้นตา นางก็รีบแกะดู ห่อแรกเป็นสมุนไพร ตำรา และครกบดยาของนาง ห่อมาด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าอ่อนของนาง
ห่อผ้าอีกห่อที่ใหญ่กว่าคือผ้าห่มของนางที่ห่ออาภรณ์ของนางมาให้
“ข้าย้อนกลับไปที่จวนของเจ้า แล้วขนมันกลับมาให้” เขากล่าวแล้วรอท่าทีของนางว่าจะดีใจแค่ไหนกับความใส่ใจในครั้งนี้
ไป๋ซืออวี่ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ก่อนจะหันไปมองเขาแล้วเผลอตัดพ้อไอด้วยความน้อยใจ
“หากจะกลับไปที่เรือน เหตุใดไม่บอกข้าก่อน ข้าจะได้ฝากความไปให้ท่านพ่อ ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านลุง จะเป็นห่วงข้าเพียงใด” นางไม่ลืมที่จะกล่าวถึงไป๋เยี่ย ลุงที่นางไม่รู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อกับตน
“ข้าไม่ได้ตั้งใจกลับไป ข้าขอโทษ” เขารีบพูดขอโทษนาง รู้สึกผิดเมื่อเห็นว่านางร้องไห้มากกว่าจะยินดี
“แต่ข้าไม่ได้นำกลับมาเพียงเท่านี้ ยังมีเกลืออีกไห น้ำตาล แล้วก็เครื่องเทศเหล่านี้” เขารีบกล่าวแล้วชี้ไปที่ของที่เขานำกลับมา
ไป๋ซืออวี่ไม่รู้ควรจะพูดว่าขอบคุณดีหรือไม่ สิ่งที่เขาทำเหมือนว่าเอาใจใส่นาง ความคลั่งไคล้ที่ดูน่ากลัวมากกว่าจะเป็นความรักอย่างอ่อนโยน มันทำให้นางยิ่งกลัวเขามากขึ้น
“เจ้าไม่ดีใจหรือ”
เขาถามพลางดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ในสายตาของนาง มันคือดวงตาแห่งความไม่พอใจ กังวลว่าเขาอาจจะปลิดชีวิตนางลงได้ทุกเมื่อ
“เจ้าขนมาได้อย่างไรมากขนาดนี้ แล้วยังเดินทางมาถึงเร็วกว่าที่ข้าคิด” นางเปลี่ยนไปถามเขาแทน เกรงว่าคำตอบของนางจะทำให้เขาไม่พอใจ
“เพราะข้าอยากรีบกลับมาหาเจ้า จึงเดินทางโดยไม่หยุดพัก” เขากล่าวเสียงเบาลง แววตาที่สะท้อนผ่านแสงจากตะเกียงในห้องทำให้นางมองเห็นความจริงใจที่เขาแสดงออกมา
“จริงสิ ข้ามีนามว่าจื่อเฟิง สวี่จื่อเฟิง” เขาแนะนำตัวกับนางเป็นครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่านางต้องการรู้ชื่อเขาหรือไม่
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ชื่ออิ่นเฟิงแต่แรก เจ้าคือบุรุษผู้นั้น ที่ข้าเคยช่วยเอาไว้ ใช่หรือไม่” นางถามเขา
“อืม เป็นข้า” สวี่จื่อเฟิงยอมรับตามตรง
ไป๋ซืออวี่ลดความหวาดระแวงเล็กน้อย แม้จะหวาดกลัวเขา แต่ก็รู้ว่าลึกๆ แล้วเขาจะไม่ทำร้ายนาง
“นี่ก็ยามฉั้วแล้ว” นางกล่าวเสียงเรียบเบา เป็นนัยบอกเขาว่านางต้องการพักผ่อน
“อ้อ จริงด้วย งั้นข้าช่วยเก็บของพวกนี้ให้” เขาพูดจบก็นำพวกนาสมุนไพรไปจัดเรียงที่โต๊ะไม้ไผ่ตรงมุมห้อง เอาเสื้อผ้าของนางไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้นำผ้าห่มที่ห่อมาให้นางใช้ห่มในคืนนี้ ก่อนจะจัดแจงปูที่นอนให้ แต่นางห้ามเอาไว้
“เดียวข้าจัดการเอง” นางกล่าวเสียงเบา
“งั้นข้า... ข้าออกไปนอนด้านนอก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่คาดหวังให้นางรั้งเอาไว้ ก่อนจะหันหลังไปนางก็เรียกเขาก่อน
“เดี๋ยวสิ อิ่นเฟิง ไม่สิ จื่อเฟิง” นางเรียกเขาเอาไว้ นักฆ่าวัยยี่สิบเอ็ดหันกลับมาด้วยความหวัง
“เอาผ้าห่มนี่ออกไปด้วยสิ เจ้าอยู่ข้างนอกน่าจะหนาวกว่าข้า” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเมตตา แม้จะกลัวเขาเพียงใด ก็ไม่ใจร้ายกับคนที่ทำเพื่อนางขนาดนี้
“อืม ขอบใจเจ้ามาก”
เขารับผ้าห่มจากมือนาง แม้จะไม่ได้รับโอกาสให้นอนภายในกระท่อมเดียวกัน แต่เท่านี้เขาก็ดีใจมากแล้ว
สวี่จื่อเฟิงคลุมผ้าห่มที่ไหล่ของตนแล้วเดินยิ้มออกไป ไม่ได้ทำอย่างอื่นไปมากกว่าการสบตาแล้วยิ้มให้กับนาง
เมื่อประตูปิดลง ไป๋ซืออวี่ก็หายใจโล่งขึ้น นางสำรวจดูของที่เขาขนกลับมา จากความกลัวในตอนแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
บุรุษตัวคนเดียวแบกของมากมายเช่นนี้กลับมากลางดึกโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เขาทำทุกอย่างเพราะนางจริงหรือ
แล้วเหตุใดลู่ชิงชิงถึงคิดจะทำร้ายนาง หากอยากให้นางลงเอยกับลู่หานจริง แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่หากป้าสะใภ้ให้ไป๋เยี่ยลุงของนางออกหน้าคุยกับบิดาของนาง มีหรือว่านางจะสามารถขัดคำสั่งแต่งงานจากบุพการีได้
นางไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับนาง แต่สวี่จื่อเฟิงไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนางเช่นกัน หากเขาจะลักพาตัวนางแล้วข่มเหงนาง เขาสามารถทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างใดๆ
ดังนั้น นางเชื่อคำพูดเขา
ภายนอกกระท่อม สวี่จื่อเฟิงกอดผ้าห่มของนางเอาไว้แน่น กดจมูกสูดดมกลิ่นหอมจางๆ ของนางที่ติดบนผ้าห่มก็ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ เขาเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาหานางทั้งที่แบกสิ่งของหนักอึ้ง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันหายไปในทันที
************************