โรงพยาบาล HR
หวอ… วี้… หว่อ…
รถหน่วยพยาบาลจอดเทียบหน้าทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลจำนวนสองคนวิ่งออกมารอรับคนเจ็บตามหน้าที่ ขณะพยาบาลและแพทย์กำลังวิ่งวุ่นกันอย่างหัวหมุนเนื่องจากวันนี้มีเคสอุบัติเหตุติดต่อกันหลายเคส ฉันจ้องมองร่างสูงคุ้นตาของหนึ่งในผู้บาดเจ็บซึ่งกำลังถูกพาลงจากรถด้วยสภาพที่ดูปกติเกินกว่าจะมากับรถคันนี้ได้
“หมอบีลีฟคะ! เชิญห้องฉุกเฉินด้วยค่ะ!” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังมาจากพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พร้อมกับความเคลื่อนไหวของเตียงผู้ป่วยที่กำลังเคลื่อนเข้าไปในห้องนั้น ทำให้ฉันจำเป็นต้องละสายตาไปจากผู้ชายร่างสูงคนนั้น โดยที่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าเขาเลยสักนิด
แม้ว่าความขุ่นข้องใจมันจะมากเหลือล้น แต่ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดจึงทำให้ฉันผละตัวออกจากหน้าเคาน์เตอร์เพื่อเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินตามคำเรียกร้อง พยาบาลส่งชาร์จผู้ป่วยมาให้พร้อมกับรายงานอาการเบื้องต้นให้ทราบ ฉันหลุบตาอ่านก่อนจะละขึ้นมองเพื่อสำรวจและตรวจอาการตามวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาถึงหกปีเต็ม
อย่างที่ได้ยินและได้เห็น อาชีพของฉันคือหมอ และชื่อของฉันคือ ‘บีลีฟ’ ฉันเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้น Extern หรือที่เรียกกันตามความเข้าใจคือนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายนั่นแหละ และถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้เป็นหมอเต็มตัว แต่สิทธิ์การรักษาก็ยังขึ้นอยู่กับฉันโดยตรงในฐานะแพทย์เวรประจำห้องฉุกเฉิน
“คนเจ็บประสบอุบัติเหตุทางรถมาค่ะ ดูเหมือนจะมาจากสนามแข่ง UNIT RACE นะคะ ตามร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรมาก นอกจากศีรษะแตก แขนหัก และ...” พยาบาลคนเดิมรายงานต่อไปเรื่อย ๆ ขณะที่ฉันสะดุดใจกับชื่อของสนามแข่งเล็กน้อย
“มีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวมากี่คน นอกจากเขาน่ะ” ฉันพยักพเยิดไปทางคนเจ็บบนเตียงที่พยาบาลกำลังช่วยกันทำแผลให้อยู่
“ยังมีอีกคนค่ะ แต่รายนั้นไม่หนักเท่าไหร่ ตอนนี้รอทำแผลอยู่อีกห้อง”
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นหลังจากทำแผลให้คนนี้เสร็จแล้ว อย่าลืมพาไปเอกซเรย์ด้วยนะ เดี๋ยวหมอขอไปตรวจอีกคนก่อนค่ะ” ฉันส่งชาร์จคืนให้พยาบาลเมื่อเห็นว่าคนไข้คนนี้ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรมากนัก อีกอย่างยังมีคนเจ็บอีกคนที่ฉันต้องไปตรวจด้วยตัวเองในฐานะหมอเวรประจำคืนนี้
ขณะเดินมาถึงหน้าห้องทำแผลสองเท้ากลับต้องชะงักนิ่งเมื่อได้พบกับพยาบาลคนหนึ่งที่เพิ่งเปิดประตูออกจากห้องนั้นมาพอดี พยาบาลคนนั้นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดยามสบตากับฉัน ใบหน้าขาวหมวยของเธอแดงเรื่อนิด ๆ มีเหงื่อออกประปรายราวกับเพิ่งไปทำอะไรเหนื่อย ๆ มา
“หมอ… หมอบีมาทำอะไรเหรอคะ”
ฉันขมวดคิ้วสงสัยในพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอแต่ไม่ได้ถามอะไรออกไปนอกจากตอบคำกลับสั้น ๆ “มาตรวจคนเจ็บในห้องน่ะ เขาอาการเป็นยังไงบ้างคะ?”
“เอ่อ… อ้อ… ยังไม่ได้ทำแผลเลยค่ะ เขา… แค่มีรอยถลอกตามร่างกายเล็กน้อยกับหัวคิ้วแตก แล้วก็มีอาการปวดข้อมือร่วมด้วยค่ะ” พยาบาลหน้าหมวยรายงานอาการด้วยสีหน้าที่ยังไม่ปกติดีก่อนเธอจะรีบขอตัวออกไป ฉันมองตามหลังของเธอ ทำให้เห็นอะไรบางอย่างซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้รอยเสื้อด้านหลังยับยู่ยี่นั่นมันเกิดจากอะไร
หึ… หมาจิ้งจอกมันออกล่าเนื้ออีกแล้วสินะ!
แอ๊ด…
“อ่า… มาเร็วจัง ของฉันกำลังขึ้นอยู่พอดี… เฮ้ยเธอ!”
ฉันยืนกอดอกพลางหลุบตามองผู้ชายร่างสูงตรงหน้าด้วยสีหน้าเฉยชาสุดชีวิต ปลายนิ้วอันไร้มารยาทของเขาชี้มาทางฉันพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่เหวอรับประทานไปชั่วขณะ
ฉันกรีดสายตาจากเรียวนิ้วยาวไล่ขึ้นตั้งแต่สองไหล่กว้างอัดแน่นไปด้วยหมัดกล้าม ปลายคางสากเคราอ่อน ๆ ริมฝีปากหนารูปกระจับ และดวงตาเรียวคมดุจมังกร เครื่องหน้าของเขาดูดีราวกับเทพบุตร รูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มไม่ต่างจากนายแบบ ท่าทางแบดบอยแสนอันตรายเหลือร้าย ติดอยู่อย่างเดียวคืออุปนิสัยน่ารังเกียจที่ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีทางรักษาหาย
เขาคือผู้ชายที่ฉันเกลียดแสนเกลียด… เวฬา!
ให้ตายสิ! คิดเอาไว้ไม่มีผิดเลยจริง ๆ ว่าจะต้องเป็นหมอนี่แน่ ๆ ผู้ชายที่รักความเร็วเป็นชีวิตจิตใจและเฉียดคำว่าเกือบตายมานับร้อยครั้งแต่ก็ไม่เคยหลาบจำสักที เขามันตัวปัญหาและโคตรจะวุ่นวายมากที่สุดเลยล่ะ!
“ต้องการคนช่วยเอาของลงให้ไหม?” ฉันถามทั้งที่ยังกอดอกท่าเดิม ขณะที่ร่างสูงเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองกันด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทระดับสิบริกเตอร์ เปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่า 5G ก็หมอนี่นี่แหละ!
“ทำไม? เธอจะช่วยเอาลงให้เหรอ?”
“เปล่า แต่บุรุษพยาบาลอยู่หน้าห้องเป็นสิบคนเลยน่ะ เผื่อนายสนใจ” ฉันว่า บิดยิ้มเย็นเล็กน้อยพลางหันหลังกลับเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ พอได้รู้ว่าคนเจ็บอีกคนเป็นใคร ฉันก็ไม่คิดอยากจะอยู่ต่ออีกสักวินาที หากทว่าท่อนแขนกลับสัมผัสได้ถึงฝ่ามือกรุ่นร้อนที่ตรงเข้ามาฉุดรั้งเอาไว้จากด้านหลัง
“เดี๋ยวสิ จะรีบหนีไปไหน ไม่คิดจะทำแผลให้ฉันก่อนหรือไงวะ”
ฉันเอี่ยวตัวกลับเพียงเล็กน้อย เอียงคอถาม “จำเป็น?”
“อ้าว เธอเป็นหมอป่ะ?” สีหน้าเขาเริ่มหงุดหงิดเล็ก ๆ
“ก็ใช่ แต่ฉันเป็นแพทย์ไงไม่ใช่สัตวแพทย์”
“ทำไมเธอต้องกวนตีน? นี่ไปหงุดหงิดอะไรมาอีกวะ?” เวฬาทำหน้างง คิ้วเข้มขมวดนิด ๆ
เคยบอกไปยังว่าฉันเกลียดสีหน้าแกล้งโง่ของเขามาก เหอะ!
“ปล่อยเลยอย่ามาจับ” ฉันสะบัดแขนออกแล้วหันไปคว้าน้ำยาฆ่าเชื้อบนรถเข็นมาเทใส่สำลีก่อนจะทำการเช็ด ๆ ถู ๆ ลงบนผิวที่ถูกมือหนาสัมผัสเมื่อครู่ เวฬาเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงทำแผลเหมือนเดิม แต่สายตางี้จ้องฉันไม่เลิก
“เลิกทำท่าทางโอเว่อร์แบบนั้นสักทีได้ป่ะ เห็นแล้วมันหงุดหงิด”
“คงจะไม่ได้ เพราะตัวนายมันมีแต่เชื้อโรค รังเกียจน่ะชัดมั้ย?”
“งั้นเธอคงต้องอาบมันแทนน้ำแล้วล่ะ เพราะยังไงเธอก็ไม่มีทางหนีฉันพ้น” เวฬาแสยะยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ ฉันเลยตอกกลับเสียงเย็น
“งั้นเปลี่ยนเป็นกรอกใส่ปากนายแทนดีไหม? ง่ายกว่ากันเยอะ”