“เวรเอ๊ย… ยัยนั่นหายไปไหนแล้ววะ?!”
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปทางบาร์ที่ตอนนี้มีเพียงแก้วเหล้าเปล่าวางอยู่ ร่างบางเจ้าของแก้วไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ผมคลาดสายตาจากเธอแค่แวบเดียวเอง ไม่คิดว่าเธอจะเดินไปไหนได้เร็วขนาดนี้
“มองหาอะไรเฮีย” ไอ้พีชเดินเข้ามาถามก่อนจะหันมองตามสายตาผม “อ้าว แล้วเจ้หายไปไหนแล้ว”
“มึงไม่เห็นเธอเลยเหรอ?” ผมถามขณะกวาดสายตาไปรอบ ๆ บาร์ซึ่งไร้วี่แววของบีลีฟ จู่ ๆ ก็หายไปแบบนี้คิดแล้วมันน่าหงุดหงิดว่ะ!
“ไม่เห็นดิ ก็เฮียไล่ผมเข้าข้างในนี่… งั้นเดี๋ยวถามไอ้กายให้” แล้วมันก็เดินไปที่บาร์เพื่อสอบถามกับบาร์เทนเดอร์ สองคนนั้นคุยกันไม่กี่คำ ไอ้พีชก็เดินกลับมา “มันบอกว่าเจ้จ่ายเงินเสร็จก็เดินออกจากร้านไปแล้วอ่ะ ท่าทางเมาหนักมากด้วยว่ะเฮีย น่าห่วง… อ้าวเฮีย! จะไปแล้วเหรอ?!”
ผมไม่รอฟังจนจบก็รีบวิ่งออกจากร้านมาซะก่อน แค่ได้ยินว่ายัยผู้หญิงใจมารนั่นออกจากร้านไปด้วยสภาพเมาหนักขนาดนั้น ร่างกายผมแม่งก็ร้อนเป็นไฟแล้ว บีลีฟอวดดีอะไรขนาดนั้นกันวะ กล้าเดินในแหล่งนรกนี่ด้วยสภาพนั้นได้ยังไง อยากโดนลากไปรุมโทรมมากเลยหรือไงวะ!
โว้ยยย! คิดแล้วโคตรโมโห!
“ฮัลโหล! สั่งคนให้ตามหาเมียกูหน่อย เธอยังอยู่ในสนาม ด่วน!” สั่งเสร็จผมก็กดตัดสายทิ้ง สองเท้าก้าวเดินไปตามทาง สายตาสอดส่ายทุกซอกทุกมุมของบล็อกต่าง ๆ ผู้คนจำนวนมากเดินพลุกพล่านดูวุ่นวายไปหมด
ผมไม่ชอบที่แบบนี้เลยให้ตาย ปกติไม่เคยมาเดินอะไรแบบนี้หรอกนะ ส่วนมากเวลามาสนามถ้าไม่ลงแข่งผมก็จะคลุกตัวเองอยู่ที่บาร์นั่นแหละ แต่วันนี้แม่งไม่ปกติไง เพราะดันมียัยผู้หญิงโง่เดินวิญญาณหลุดเข้ามาจนต้องมาเดินตามหาแบบนี้ แถมตอนนี้ไม่ได้แค่วิญญาณหลุดอย่างเดียว แต่ยังเมาหนักมากอีกด้วย
คอยดูเถอะ! เจอตัวเมื่อไหร่โดนจัดหนักแน่ยัยเมียใจมาร!
“รายว้า! ปายเลยไป! เอิ้ก… ม่ายยุ่งดิ๊!”
สองเท้าของผมชะงักกึกแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากซอยเล็ก ๆ ซ้ายมือ น้ำเสียงหวานยานคางเหมือนคนเมาหนักกำลังขับไล่ใครสักคนอยู่ ผมรีบเปลี่ยนทิศทางวิ่งเข้าไปในซอยนั้นด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปถึงก็พบกับร่างบางที่กำลังตามหายืนโงนเงนพิงผนังตู้คอนเทนเนอร์อยู่ตรงมุมมืดนั่น ด้านหน้าของเธอมีผู้ชายยืนดักอยู่สองคน ท่าทางพวกมันเหมือนกำลังคุกคามเธอ เห็นอย่างนั้นเลือดในกายผมเดือดพล่านอย่างกับเปลวไฟร้อนระอุทันที
“อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยคนสวย เมาขนาดนี้ให้พวกพี่พาไปขึ้นสวรรค์ดีกว่า” หนึ่งในสองคนนั้นเอื้อมมือชั่ว ๆ ของมันไปจับแก้มเนียนของบีลีฟ ผมกำหมัดแน่นเตรียมจะพุ่งเข้าไปหักมือแม่ง แต่กลับต้องชะงักเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น “อ๊ากกกกกก!!”
กร๊อบ!
“จับมายวะ! อยากตายงายย!” ยัยขี้เมาตัวเล็กยกสองมือขึ้นจับข้อมือนั่นแล้วบิดสุดแรงจนไอ้เวรนั่นร้องลั่น ผมถึงกับอ้าปากค้างให้กับพลังอันมหาศาลของบีลีฟ เธอต้องใช้แรงมากเลยนะถึงจะทำเรื่องแบบนั้นได้ นึกไม่ถึงว่ายามที่เธอเมาแล้วจะเก๋าเกมขนาดนี้
“หนอยนังนี่! ฤทธิ์เยอะนักเหรอ!!” ไอ้เวรตัวเดิมเงื้อมืออีกข้างขึ้นจะตบเธอ ผมไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปถีบมันจนกระเด็นไปอีกทาง แล้วหันไปถีบไอ้เวรอีกตัวที่ยืนอยู่ด้านหลัง พวกมันสองคนมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นหน้าผม
เหอะ! ก็แน่ล่ะ! มีใครในสนามนี้บ้างที่ไม่รู้จักผมน่ะ ไอ้เวรสองตัวนี่ไม่ได้ตายดีแน่!
“ฮะ เฮียเว…”
“มือไหน” ผมดึงบีลีฟที่ยืนซวนเซเหมือนจะล้มเข้ามาอยู่ในวงแขนก่อนปรายตากลับไปมองไอ้เวรสองตัวนั่น พวกมันรีบลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางลนลาน
“อะ อะไร… นะครับ”
“มือข้างไหนที่แตะต้องเมียกู!!”
“มะ ไม่นะครับ! ผมขอโทษ! พวกผมไม่รู้ว่าเธอ เอ๊ย เจ้เป็นเมียเฮีย!” พวกมันรีบก้มหัวอย่างหวาดกลัวความผิด เป็นจังหวะเดียวกับไอ้เรย์และพรรคพวกวิ่งเข้ามาในซอยพอดี
“เกิดอะไรขึ้นวะ? แล้วนั่น…” ไอ้เรย์เหลือบตามองร่างบางในวงแขนผมก่อนจะขมวดคิ้วเครียด มันหันไปมองไอ้สวะสองตัวที่ตอนนี้ทรุดเข่าลงบนพื้นไปแล้วอย่างรู้ชะตากรรมตัวเอง “พวกมึงทำเหี้ยอะไรกัน?”
“ปะ เปล่านะฮะ! พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเจ้… อ๊อก!” ไอ้เรย์ตรงเข้าบีบคอไอ้เวรนั่นที่พูดยังไม่ทันจบด้วยมือเดียวก่อนจะหันกลับมาถามผมเสียงเหี้ยม
“จะเอาไงกับพวกแม่ง”
“…” ผมปรายตามองคนอื่น ๆ ด้านหลังมันที่ทำท่าเตรียมพร้อมรุมกระทืบไอ้เวรสองตัวนี่ทันทีที่สั่ง และผมก็เกือบจะหลุดปากสั่งออกไปแล้วถ้าไม่ติดเสียงหวาน ๆ ของผู้หญิงในอ้อมกอดพึมพำออกมา
“อานตะพาน… เอิ้ก… อานตะพานทั้งน้านน”
ให้ตาย… เมาหนักขนาดนี้ยังไม่วายหาเรื่องด่าผมจนได้นะ แล้วนี่ไม่รู้จะดีดดิ้นทำไมนักหนา เสื้อก็ตัวเล็กฉิบหาย แถมยังบางจนแทบจะมองทะลุอยู่แล้ว! คงต้องรีบจัดการเรื่องห่าเหวนี่ให้เสร็จแล้วพาเธอออกไปจากที่นี่สักที!
“ปล่อยพวกมัน…”
“ขะ ขอบคุณครับเฮีย พวกผมจะไม่ทำอีกแล้ว” ไอ้เวรสองตัวนั่นรีบก้มหัวขอบคุณด้วยความดีใจ ไอ้เรย์ปล่อยมือออกจากคอพวกมันแล้วหันมองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด มันคงไม่คิดว่าผมจะยอมปล่อยไอ้สวะสองตัวนี่ไปง่าย ๆ หรอกนะ
“จัดการมือขวาของไอ้เหี้ยนั่นให้ใช้ไม่ได้สักสามสี่เดือนก็พอ… โทษฐานที่บังอาจแตะต้องเมียกู!”
พูดจบผมก็ช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแล้วเดินออกจากซอยนั้นมา เสียงโอดครวญดังโหยหวนไล่หลังมาฟังแล้วชวนอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากผุดยิ้มพึงพอใจขณะเดินผ่านสายตาอยากรู้อยากเห็นหลายสิบคู่ ความรุนแรงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ทุกคนไม่ตื่นตกใจและไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย เพราะมันเป็นวัฎจักร…
ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก พวกเศษสวะย่อมโดนถอนรากถอนโคนด้วยคนที่ยิ่งใหญ่กว่า… มันคือวัฏจักรของโลก