‘เรามาจูบกันเถอะ’
“…”
‘จูบกันให้ร้อนแรง’
‘อะ อื้อ’
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนจะถูกริมฝีปากกรุ่นร้อนทาบทับลงมาด้วยความรวดเร็ว มือหนาประคองท้ายทอยและข้างแก้มของฉัน ใบหน้าหล่อเบี่ยงเล็กน้อยขณะบดขยี้จูบบนผิวเนื้ออ่อนนุ่ม และครั้งนี้เขาไม่ได้สัมผัสเพียงริมฝีปากล่างเหมือนก่อนหน้านี้ หากทว่ากลับรุกล้ำเรียวลิ้นเข้ามาภายในโพรงปากของฉันอย่างถือสิทธิ์
สมองและประสาทการรับรู้อื้ออึงไปหมด มันขาวโพลนและพร่าเบลอราวกับกำลังเพ้อฝัน สัมผัสกรุ่นร้อนจากเรียวลิ้นของเวฬาหยุดความปวดร้าวภายในหัวใจฉันได้อย่างชะงัด มันแปรเปลี่ยนจากเต้นช้าเหมือนจะหยุดเต้นกลายเป็นเต้นรัวเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ใบหน้าและร่างกายร้อนฉ่าโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าฉันปล่อยให้เวฬาบดจูบเร่าร้อนนานไหม กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่ามือหนาละจากข้างแก้มมาลูบไล้แผ่นหลังก่อนจะลงต่ำจนถึงสะโพก เท่านั้นแหละสติที่ถูกกระชากหลุดไปของฉันถึงได้คืนกลับมา ฉันรีบผลักร่างสูงพ้นตัวสุดแรง เวฬายอมถอยออกไปโดยง่ายขณะใช้ดวงตาเรียวคมวาววับจ้องมาพร้อมกับเลียริมฝีปากคล้ายกำลังตอกย้ำกัน
น่าอาย… น่าอายชะมัดเลย!
“โอ๊ยยยฉันอยากตาย! นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ เลย!” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองพลางยกหลังมือขึ้นถูกปากแรง ๆ ขณะสองเท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
หลังจากเกิดฉากจูบร้อนแรงบ้า ๆ นั่นขึ้น ฉันก็รีบเดินหนีทุกคนออกมาจากตรงนั้นเลย ไม่กล้าสู้หน้าใครทั้งสิ้น เรื่องที่เกิดขึ้นมันโคตรน่าอาย… ยิ่งได้เห็นสายตาเย็นชาจากเขาคนนั้นฉันก็ยิ่งอยากจะตาย!
ทำไม… ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้า ๆ นั่นต่อหน้านาฑีด้วย!
บ้าจริง… แล้วฉันจะไปสนใจเขาทำไมกัน จะไปแคร์ผู้ชายเลือดเย็นอย่างเขาทำไม ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ฉันจะเป็นบ้าตายก็เพราะสองพี่น้องนั่นแหละ!
หลังจากหงุดหงิดคนเดียวในใจมาตลอดทาง ฉันก็เริ่มหันมองรอบตัวอย่างเต็มตาอีกครั้ง ฉันยังอยู่ในสนามแข่ง และเดินอยู่บนทางเดินซึ่งทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ ทั้งผับ บาร์ กาสิโน เหล่านักท่องราตรีทั้งชายหญิงเดินกันขวักไขว่ ไม่มีใครหันมาสนใจฉัน ทุกคนล้วนสนใจในแสงสียามค่ำคืนที่ดูรื่นตา ฉันหยุดมองแผ่นป้ายไฟขนาดใหญ่ซึ่งมีชื่อบาร์ปรากฏอยู่
‘T TIME’
“ร้านนี้แล้วกัน” พึมพำบอกตัวเองเสร็จสองเท้าก็ก้าวเดินเข้ามาในบาร์ตามสมองสั่ง ฉันอยากเมา อยากเอาแอลกอฮอล์มาช่วยทำให้ลืมเรื่องบ้า ๆ นั่นไป รวมถึงสัมผัสนั่นด้วย…
ฉันเลือกนั่งหน้าบาร์โดยไม่คิดจะสนใจผู้คนรอบข้างที่กำลังมองมาเป็นตาเดียว บาร์เทนเดอร์รีบเดินเข้ามารอรับบริการอย่างรู้งาน
“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
“ขอแบบแรง ๆ เลยค่ะ” ฉันปรายตาขึ้นสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วหันกลับไปผสมเครื่องดื่มใส่แก้วสีสวยมาวางลงตรงหน้า “ขอบคุณค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ” เขาถามเหมือนห่วงใย แต่ฉันไม่ใส่ใจจะตอบพลางกระดกเหล้ารวดเดียวหมดก่อนจะวางแก้วเปล่าลงตรงหน้าตามเดิม
“ขออีกแก้วค่ะ” ความเข้มของวอดก้าเปรียบเสมือนลาวาร้อน ๆ ไหลลงคอ มันเรียกเลือดลมในกายของฉันให้สูบฉีดดีจริง ๆ
มันต้องอย่างนี้สิ… มีแค่ความแรงของแอลกอฮอล์เท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาความว้าวุ่นภายในหัวใจฉันได้ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนต่อโลกที่ดื่มแก้วสองแก้วแล้วจะเมา แม้อาชีพการงานของฉันมันจะไม่เหมาะกับของมึนเมาเหล่านี้ก็ตาม แต่เป็นหมอแล้วไง… หมอก็มีหัวใจไหม มีความรู้สึกเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ นั่นแหละ
ใช่… ฉันก็มีหัวใจนะ… มีความรู้สึกเหมือนคนอื่น… ทำไมเฮียถึงไม่เคยสนใจฉันบ้าง!
.
.
.
[บทบรรยาย เวฬา]
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
“เอาไงต่อดีเฮีย เหมือนเจ้จะเริ่มเมาหนักแล้วนะ”
กึก
แก้วเหล้าสีสวยถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะกระจกเบา ๆ สายตาละขึ้นจับจ้องไปทางบาร์ซึ่งมีร่างบางของยัยผู้หญิงอวดดีคนหนึ่งนั่งโงนเงนอยู่ เธอนั่งดื่มวอดก้าเพียว ๆ อยู่ตรงนั้นมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ยอมรับเลยว่าบีลีฟทำผมแปลกใจไม่น้อย เพราะคาดไม่ถึงว่าหมออย่างเธอจะคอทองแดงได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงปกติทั่วไปกระดกวอดก้าไม่ถึงห้าแก้วก็น็อคแล้ว แต่นี่ที่ผมนั่งนับคร่าว ๆ เธอซัดเข้าไปสิบกว่าแก้วแล้วมั้ง ไม่รู้ป่านนี้ตับไตไส้พุงพังไปหรือยัง เห็นแล้วโคตรน่าหงุดหงิดเลยว่ะ
“เฮีย เอาไงเนี่ย เจ้จะล้มแล้วนะ” ไอ้ ‘พีช’ รุ่นน้องคนสนิทที่ผมไว้ใจให้ดูแลบาร์แทนหันมาสะกิดอีกรอบ สีหน้ามันบ่งบอกชัดเจนว่าห่วงยัยนั่นเหลือเกิน ห่วงจนเกินหน้าไปนะบางที
“หุบปากแล้วจะไปไหนก็ไปสิวะ กูให้มึงมาคุมบาร์นะไม่ได้ให้มานั่งพร่ำไร้สาระ” ผมด่าเข้าให้ ไอ้พีชทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเดินออกไปเหมือนไม่ค่อยพอใจ
เออดี ตกลงผมหรือมันที่เป็นเจ้านายกันวะ
ลืมบอกไปว่าบาร์เหล้าแห่งนี้เป็นของผมเองแหละ มันไม่ได้ใหญ่อะไรมากก็แค่บาร์เหล้าธรรมดา ๆ ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก แต่จะว่ามันบังเอิญหรือยังไงก็ไม่รู้นะที่มีอะไรไปดลใจให้บีลีฟเลี้ยวเข้ามาที่นี่น่ะ ก่อนหน้านี้ผมแอบเดินตามเธอจากสนามแข่งมาเรื่อย ๆ ก็ตั้งแต่ผมจูบเธอแล้วเธอผลักออกนั่นแหละ ผมเห็นเธอเดินใจลอยมาตลอดทางราวกับร่างไร้วิญญาณ จะให้ปล่อยไปไม่สนใจไยดีก็จะหาว่าไม่มีน้ำใจ ยังไงเธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียผมแล้วนี่
เห็นไหมว่าผมเป็นคนดีแค่ไหน
รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากขณะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม สายตาละขึ้นมองไปทางบาร์อีกครั้ง แล้วก็ต้องตกใจจนเกือบสำลักเมื่อพบว่าร่างบางที่เคยนั่งอยู่บริเวณนั้นมาร่วมครึ่งชั่วโมง เวลานี้กลับพบเพียงความว่างเปล่า...
“เวรเอ๊ย… ยัยนั่นหายไปไหนแล้ววะ?!”