“แด่ แด แด่ แด่แด่…”
เสียงเปียโนบรรเลงท่วงทำนองอันงดงาม ก้องกังวานไปทั่วโถง เสมือนเป็นสัญญาณประกาศการปรากฏตัวของเจ้าสาว ผู้คนต่างพากันหันสายตาไปยังประตูใหญ่ด้วยความคาดหวัง รอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้า แขกทุกคนต่างรอคอยช่วงเวลาสำคัญ
ทว่า…
บทเพลงยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ประตูบานนั้นกลับยังคงปิดสนิท ไร้วี่แววของเจ้าสาวที่ควรจะก้าวออกมาในวินาทีนี้ ความเงียบงันค่อย ๆ กัดกินบรรยากาศ ความสงสัยปนความกังวลเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งงาน
ด้านหลังโรงแรม…
เสียงดนตรีอันศักดิ์สิทธิ์ยังดังลอดออกมาจากห้องจัดเลี้ยง แต่ที่มุมลับซ่อนจากสายตาผู้คน กลับเต็มไปด้วยแรงปะทะทางอารมณ์
“เธอจะไปไหน ริสา! เธอต้องกลับเข้าไปในพิธี ไม่รู้หรือไงว่ามีคนรออยู่เต็มงาน”
เสียงเข้มของเดย์ บอดี้การ์ดคนสนิทของคิริว กดต่ำ เต็มไปด้วยแรงกดดัน
คาริสาหันขวับ สายตาแข็งกร้าวไม่ต่างจากเปลวไฟ
“ริสารู้! แต่ริสาจะไม่กลับเข้าไปเด็ดขาด”
“เธอบ้าไปแล้วหรือไง! คิดจะหนีงานแต่งอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่!” คำตอบชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับเสียงหอบแรง ๆ ที่สั่นสะท้าน “แล้วเฮียก็ต้องเป็นคนพาริสาหนี!”
“ไม่!” เดย์ก้าวเข้ามาขวาง ดวงตาเครียดขึง “ริสาอย่าเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้”
“เฮียอยากให้ริสาแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยรักจริง ๆ เหรอ?” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่ยังคงเด็ดเดี่ยว
“ฉัน…” เดย์ชะงัก ลมหายใจขาดห้วงราวกับกำลังถูกกดทับด้วยความจริง
คาริสาเม้มปากแน่น ก่อนตวาดออกมา “เฮียยอมก็เรื่องของเฮีย แต่ริสาไม่ยอม! เพราะฉะนั้น… เฮียต้องพาริสาหนีออกไปจากงานแต่งบ้า ๆ นี่!”
หลังจบประโยค คาริสาไม่รอช้า เธอรวบชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย เตรียมตัวพุ่งหนีไปทางหลังโรงแรมทันที
ทว่า…
“คาริสา!”
เสียงทุ้มต่ำของเจ้าบ่าวดังขึ้นจากด้านหลัง ราวกับคำสั่งที่สะกดให้ร่างแข็งค้าง ทั้งคาริสาและเดย์ต่างหันขวับไปตามปลายเสียงนั้น ดวงตาของเจ้าบ่าวฉายแววกราดเกรี้ยวปะทะเข้ามาอย่างตรงไปตรงมา
หัวใจเต้นแรงราวกับถูกต้อนจนมุม คาริสาเม้มปากแน่น ก่อนจะรีบคว้ามือเดย์ กระชากให้วิ่งไปพร้อมกันโดยไม่ลังเล!
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของบอดี้การ์ดเจ้าบ่าวดังขึ้นติด ๆ กันจากด้านหลัง ความโกลาหลปะทุขึ้นในพริบตา
ทว่าการหนีไม่ใช่เรื่องง่าย
รองเท้าส้นสูงแหลมทำให้การก้าวเท้าของคาริสาเต็มไปด้วยความลำบาก กระโปรงยาวหรูหราที่ควรจะสง่างามกลับกลายเป็นพันธนาการ ก้าวเท้าแต่ละครั้งแทบสะดุดล้ม
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังฝืนวิ่งไปข้างหน้า ดวงตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่กลับไปในงานบ้า ๆ นั่นอีก
เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
กระโปรงเจ้าสาวที่เคยสง่างามกลับพันรัดขาเหมือนโซ่ตรวน ทุกก้าวยิ่งถ่วงให้อึดอัดจนคาริสาแทบล้ม
“บ้าชะมัด!” เธอสบถในลำคอ ก่อนจะตัดสินใจหยุดกะทันหัน
เดย์ชะงักตาม ดวงตาเบิกกว้าง “หยุดทำไม…”
เสียงประโยคนั้นยังไม่ทันจบ คาริสาก็ใช้แรงทั้งหมดฉีกชายกระโปรงชุดแต่งงานออกด้วยมือที่สั่นระริก เนื้อผ้าที่เคยยาวกรอมเท้าขาดสะบั้น กลายเป็นเพียงความยาวเหนือเข่า เสียงฉีกกรอบแกรบดังชัดท่ามกลางความเร่งรีบ
ไม่พอเท่านั้น เธอยังถอดรองเท้าส้นสูงปลายแหลมออกอย่างรวดเร็ว ก้มคว้ามาถือไว้ในมือ ราวกับมันเป็นเพียงเครื่องมือป้องกันตัวแทนที่จะเป็นเครื่องพันธนาการ
“ไปเถอะเฮีย!” คาริสาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแข็งกร้าว ก่อนกระชากมือเดย์ให้วิ่งต่อโดยไม่เหลียวหลัง
ตอนนี้เธอไม่ใช่เจ้าสาวผู้สูงศักดิ์อีกต่อไป แต่เป็นนักโทษที่เลือกหักโซ่ตรวนเองกับมือ และพร้อมจะหนีให้พ้นไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร!
เสียงหอบหายใจดังแข่งกับฝีเท้าของทั้งคู่ จนกระทั่งคาริสาและเดย์วิ่งพรวดออกมาถึงลานกว้างด้านหน้า ร่างทั้งสองชะงัก หอบหนักราวกับปอดกำลังจะระเบิด
ทันใดนั้น…
เสียงเครื่องยนต์คำรามแผดขึ้น รถรูทรุ่นใหญ่สีดำเงาพุ่งตรงเข้ามาจอดเทียบพวกเขาอย่างแม่นยำ ล้อบดเบียดพื้นคอนกรีตจนเกิดเสียงครูดดังสะท้อน
กระจกฝั่งคนขับค่อย ๆ เลื่อนลงช้า ๆ เผยให้เห็นดวงตาคมกร้าวและร่างใหญ่กำยำของคิริวที่กำลังจับพวงมาลัยด้วยมือแข็งแรง
“ขึ้นรถ…เดี๋ยวนี้!”
เสียงห้าวต่ำชัดถ้อย กดข่มอำนาจจนบรรยากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่ง
คาริสาและเดย์ไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียว
เดย์รีบกระชากประตูด้านหลังเปิดออก ส่งคาริสาขึ้นไปนั่งก่อน จากนั้นเขาปิดประตูดังปัง แล้ววิ่งอ้อมตัวรถด้วยความรวดเร็ว กระโจนไปนั่งคู่ข้างคนขับตรงตำแหน่งที่ว่างไว้
เครื่องยนต์คำรามอีกครั้ง เมื่อคิริวหมุนพวงมาลัย รถหรูสีดำพุ่งทะยานออกไปอย่างดุดัน ทิ้งบอดี้การ์ดของเจ้าบ่าวที่วิ่งตามหลังไว้เพียงก้อนฝุ่นคลุ้งกลางลาน
ทันทีที่รถคันใหญ่สีดำพ้นเขตโรงแรมไปไกล แสงไฟหรูหราด้านหลังก็ถูกทิ้งไว้เพียงแค่เงา คาริสาที่นั่งอยู่เบาะหลังยังไม่ละสายตาจากกระจก มองจนมั่นใจว่าไม่มีรถใดตามมา ก่อนที่รอยยิ้มจะผุดขึ้นเต็มหน้า
“วู๊ยยยย โครตมันเลย!” เธอแทบจะกรี๊ดด้วยความโล่งอก พลางหัวเราะเบา ๆ “นึกว่าจะหนีไม่รอดแล้วนะ ริสาวิ่งมากับเฮียเดย์นี่มันสุดจริง ๆ” ว่าแล้วก็ยกมือดึงผ้าคลุมผมออก ปัดมันทิ้งอย่างไม่แยแส
เสียงทุ้มต่ำของคิริวดังขึ้นจากเบาะหน้า สายตาคมมองผ่านกระจกมาหาเธอ
“หึ! แล้วคิดยังไงถึงหนีออกมาแบบนี้… แม่ได้บ่นหูชากันพอดี”
“ก็ใครบอกให้จับริสาแต่งงานล่ะ!” คาริสาสวนกลับทันควัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ก็บอกแล้วว่าไม่แต่ง ๆ ๆ แต่แม่ก็ไม่ยอมเชื่อ”
“ก็เลยเลือกจะหนี?” เสียงเรียบ ๆ ของเดย์ดังขึ้นแทรก เขาเหลือบตามองเธอแวบหนึ่งอย่างเอือม ๆ
คาริสาหันไปทางเขา ยกคิ้วขึ้นสูงอย่างท้าทาย “ถูกต้องค่ะ! วิธีนี้แหละ หนีสิ ถึงจะง่ายที่สุด” เธอพูดพลางทำมือประกอบ ท่าทางมั่นใจราวกับตัวเองคืออัจฉริยะที่คิดแผนนี้ขึ้นมา
คิริวสบตากับเดย์ ก่อนส่ายหน้าน้อย ๆ เหมือนจะหมดคำพูดกับความเอาแต่ใจของน้องสาว
คิริวถอนหายใจยาว ขณะสายตายังคงจับจ้องถนนเบื้องหน้า
“แล้วนี่คิดจะเอายังไงต่อ ถ้ากลับไปคฤหาสน์ ก็มีหวังโดนแม่จับแต่งงานอีกแน่”
“แล้วใครบอกว่าริสาจะกลับคฤหาสน์ล่ะ” คาริสาเชิดหน้าเล็กน้อย กอดอกแน่นเหมือนจะประกาศความดื้อรั้นอย่างเต็มภาคภูมิ
เดย์เหลือบมองเธอจากเบาะข้างคนขับ ก่อนถามเสียงเรียบ
“ไม่กลับ… แล้วจะไปที่ไหน”
หญิงสาวนิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนแววตาจะวูบขึ้นเหมือนนึกอะไรออก
“ก็ลำปางไง บ้านอัญชัน!”
คำตอบนั้นทำให้เดย์กับคิริวหันขวับมามองเธอเกือบพร้อมกัน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจปนไม่เชื่อหูตัวเอง
คิริวกัดฟันแน่น “คาริสา… นี่เธอบ้าไปแล้วหรือไง”
“บ้าอะไร! นี่แหละ ริสาคิดมาดีแล้ว” คาริสายืนกราน ดวงตาวาววับอย่างภาคภูมิ “ตอนนี้ไม่มีที่ไหนซ่อนตัวได้ดีเท่าลำปาง บ้านของอัญชันแล้ว เฮียคิริวเองก็เพิ่งสร้างปรับปรุงใหม่หมดไม่ใช่เหรอ หลังจากที่บ้านเก่าโดนเผาไปน่ะ”
คิริวขมวดคิ้ว มุมปากตึงเครียด “ก็ใช่… แต่แล้วจะไปอยู่ยังไงคนเดียว”
“ใครบอกว่าริสาจะไปอยู่คนเดียวล่ะ?”
น้ำเสียงของเธอห้าวหาญเกินกว่าจะเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งหนีงานมา ก่อนที่นิ้วเรียวจะพุ่งไปชี้ตรง ๆ ที่เดย์ซึ่งนั่งข้างคนขับ
“นี่ไง! เฮียเดย์ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนริสาที่ลำปาง แบบนี้ริสาก็ไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายแล้วไง”
รถทั้งคันตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ คิริวหันไปมองเดย์ที่นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นหิน ส่วนเดย์เองก็หันกลับมาอย่างเชื่องช้า สบตาคนข้างหลังด้วยสีหน้าเรียบสนิท แต่เส้นเลือดขมับปูดขึ้นชัดเจน
“คาริสา…” เขาเอ่ยเสียงต่ำช้า ๆ “…นี่เธอคิดว่าฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กหรือไง”