ตอนที่ 1 ผ้าขาวของคุณ...มีสีอะไรบ้าง?

2426 Words
ตอนที่ 1 ผ้าขาวของคุณ...มีสีอะไรบ้าง? “หมี่ วันนี้เราจะเดินขึ้นกับเมฆนะ” ฉาย หรือตะวันฉายเดินมาแตะไหล่ หมี่ขาวตื่นจากภวังค์ “วันนี้แต่งซะสวยเลยน้า” หมี่ขาวเห็นว่าอีกฝ่ายสวมช็อปตัวใหม่พร้อมกับกางเกงยีนสีซีด รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ ใบหน้าน่ารักลงเครื่องสำอางบางเบา เพราะผิวของเธอขาวอยู่แล้ว จึงดูเหมือนไอดอลในซีรีส์เกาหลี ฉายรวบผมยาวสีอ่อนเป็นหางม้า ผ้าพันคอ SOTUS สีขาวผูกไว้ที่คอหลวมๆ มองโดยรวมแล้วยังน่ารักกว่าดาวคณะปี 3 เสียอีก ฉายกอดคอหมี่ขาวแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “แหม...วันนี้ภารกิจถ่ายรูปกับแฟนบนดอยสุเทพยังไม่สำเร็จ ก็ต้องจัดเต็มไว้ก่อนสิ แกเถอะ ยังหาแฟนไม่ได้ระวังจบปีสี่แล้วภารกิจที่ท้ากันไว้ตอนปีหนึ่งจะไม่สำเร็จนะ” “เหอะ...เหลือเวลาอีกสองปี ยังพอมีเวลาน่า” หมี่ขาวฝืนยิ้มแห้ง มองฉายอย่างเอือมระอา ถึงตอนนั้นจริงต่อให้โดนเพื่อนล้อหมี่ขาวก็มั่นใจว่าจะสามารถหลอกผู้ชายมาถ่ายรูปบนดอยพร้อมติดแฮชแท็ก #พาแฟนขึ้นดอย ตอนปีหนึ่งเธอและฉายถูกเรียกตัวไปคัดเลือกผู้นำเชียร์ ไม่ใช่ว่าหน้าตาของทั้งคู่โดดเด่นจนหนุ่มๆ เหลียวมองกันตาเป็นมันหรอก แต่สำหรับคณะวิศวะ ผู้หญิงเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะผู้ชายในคณะเชิดชูบูชาอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะผู้หญิงในคณะมีไม่ถึง 20% แถมเกือบทั้งหมดยังไม่รู้วิธีการแต่งตัวหรือแต่งหน้า กว่าจะออกสาวได้ก็ต้องผ่านการฝึกปรือมาจนขึ้นปีสาม เพราะไม่ใช่ว่าพอคุณจะสามารถแต่งหน้าได้แล้วจะเดินเฉิดฉายในคณะอย่างมั่นใจ แต่เป็นเพราะเพื่อนชั่ว...เพื่อนรักทั้งหลายในภาควิชาที่คอยแซวจนคุณเสียความมั่นใจ เมื่อใดก็ตามที่หน้าของสาววิศวะหนากว่ารองพื้นที่ตัวเองใช้ เมื่อนั้นจะสวยแค่ไหนก็ตามใจคุณเถิด ตัดภาพมาตอนปีหนึ่ง ใครที่หน้าใสหน่อย หุ่นดีหน่อย คุณคือสมบัติล้ำค่า จงไปคัดหลีดซะ... ตะวันฉายเป็นเพื่อนรหัสติดกันกับหมี่ขาว ถึงแม้จะมีชื่ออยู่ในหอพักนักศึกษาในมหา’ลัย แต่การซ้อมเชียร์ในแต่ละวันนั้นจะเลิกดึกกว่าเพื่อนคนอื่น ช่วงนั้นแม่ของฉายต้องดูแลคุณยายที่ป่วย ส่วนพ่อของเธอเลิกงานราวๆ สองทุ่ม หากตะวันฉายไม่พักที่บ้าน คนที่เหนื่อยที่สุดจะเป็นแม่ของเธอเอง ด้วยเหตุผลนี้ฉายจึงขออนุญาตพี่เชียร์เลิกก่อนคนอื่นเสมอ การเป็นผู้นำเชียร์จะต้องเป็นคนที่เสียสละ นอกจากจะกลับดึกยังต้องซ้อมเพลงเชียร์หนักกว่าเพื่อนคนอื่นเขา หมี่ขาวไม่มีความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิม พอฉายสามารถใช้ข้ออ้างนี้ได้ เธอจึงขอร้องให้พ่อฉายช่วยพูดให้เธออีกแรง โชคดีที่เมื่อพ่อฉายช่วยพูดกับรุ่นพี่ ทั้งคู่ก็ไม่ถูกเรียกตัวไปคัดหลีดอีกเลย หมี่ขาวไม่อยากเป็นผู้นำเชียร์ เธออยากลงแข่งกีฬามากกว่า แต่ก่อนที่ตะวันฉายจะรับปากหมี่ขาวว่าจะช่วยพูดกับพ่อเธอให้ ดันคิดชาเลนจ์มาให้เธอรับปากด้วย นั่นคือต้องหาแฟนให้ได้ภายในสี่ปีแล้วพาผู้ชายคนนั้นไปถ่ายรูปบนยอดดอยสุเทพด้วยกัน ชาเลนจ์น่าอายนี้มีแค่ยัยฉายเพื่อนเธอเท่านั้นที่คิดได้ จนถึงวันนี้หมี่ขาวยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนสาวไปจำมาจากนิยายหรือซีรีส์เรื่องไหน #พาแฟนขึ้นดอย แต่ปีนี้ตะวันฉายของเธอกำลังจะพาแฟนขึ้นดอยแล้ว หนุ่มแคมท์[1]อย่างเมฆ มีแฟนว่าน่าอิจฉาไม่พอ แต่จะชวนตาร้อนกว่าคือแฟนของเธอเป็นถึงเดือนแคมท์ นั่นทำให้หมี่ขาวรู้สึกห่อเหี่ยว ไม่รู้ว่าฉายใช้มารยาอะไรถึงตกผู้ชายหล่อรวยจากที่นั่นได้ แน่ล่ะ...นอกจากคณะพวกวิจิตรศิลป์หรือสถาปัตย์ที่ต้องมีทุนหนาในการเรียนเพื่อทำงานสักชิ้น CAMT(แคมท์)เป็นคณะที่ผลาญเงินค่าเทอมไปมากพอๆ กับค่าเทอมหลักสูตรวิศวะเครื่องกลนานาชาติ “จะตีห้าแล้วรีบไปเถอะ เดี๋ยวต้องพาน้องไปหน้ามอแล้ว” “จ้า ถึงบนดอยแล้วโทรมานะ เจอกันตอนโค้งสปิริต” หมี่ขาวหลิ่วตาให้เพื่อนสาว รีบผลักเธอให้ออกไปได้แล้ว ทุกครั้งที่เข้าเชียร์เด็กคณะอื่นจะไม่สามารถเข้ามาด้านในได้ แถมตอนนี้ก็มีแต่เสื้อช็อปเต็มไปหมด ถึงจะใจกล้าขนาดไหนก็ยังต้องมีความรู้สึกยำเกรงอยู่บ้างแหละ “จะพยายามนะ นี่จะไม่ไปกับฉันจริงเหรอ” “ไม่อะ บอกแล้วว่าจะพาเด็กชมรมขึ้นดอย” “แน้...ใช่เด็กน้อยคนนั้นหรือเปล่านะ ตามแกเข้าชมรมด้วยนี่” ฉายยิ้มหน้าระรื่น หรี่ตาเหมือนจะจับหาสิ่งผิดปกติจากเพื่อน “หยุดเลยแก รีบไปได้แล้ว” “เป็นแบบนี้ตลอดอะ มีคนหลงผิดเข้ามารีบคว้าไว้ก็ดีนะจ๊ะ” หมี่ขาวรู้ว่าเพื่อนเธอพูดถึงใคร เด็กปีหนึ่งที่อยู่ๆ หลังวันแจกสมุดเชียร์วันแรกก็เดินมาหาเธอในตอนเช้าของวันถัดมาแล้วถามว่า ‘พี่อยู่ชมรมอะไรครับ’ ตอนนั้นเธอยังงงอยู่ แต่ว่าต้องตีหน้าเข้มแล้วบอกตามสคริปต์กลับไปว่าฉันไม่ใช่พี่คุณ ‘วอลเลย์บอล’ เด็กคนนั้นหลิ่วตาให้ แถมยังยิ้มกว้างสว่างไสวเหมือนพระเอกโฆษณายาสีฟัน ‘แล้วเจอกันครับ...’ “อย่าพูดมากน่า รีบไปก่อนที่ฉันจะโทรบอกแฟนแกว่าแกไม่ไปแล้ว” หมี่ขาวรีบปัดเรื่องเหลวไหลนั่นออกไปจากหัวก่อนที่เธอจะเป็นบ้า เพราะหลังจากเข้าชมรม เด็กคนนั้นดันตามติดเธอเป็นเงาตามตัว ไม่กลัวว้าก ไม่กลัวยึดสมุดเชียร์ ไม่เคยทำผิดระเบียบ ไม่เคยโดนลงโทษ ยอดเยี่ยม! ฉายขี้เกียจเซ้าซี้ต่อเพราะแฟนหนุ่มกำลังรอเลยทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนไปยังอดกำชับไม่ได้อีกว่า “อย่าหายหัวล่ะ ไปถ่ายรูปกัน” “ได้สิ เก็บแบตมือถือไว้ด้วยนะ อย่าถ่ายจนแบตหมดล่ะ” ฉายหัวเราะคิก ตบกระเป๋ากางเกงยีนดังปุ “มีพาวเวอร์แบงก์ย่ะ” หมี่ขาวหัวเราะเหอะๆ “ระวังระเบิดแล้วกัน” เธอมองส่งจนเพื่อนสาวเดินออกไปจากหน้าเหมือง[2] ไม่อยากคิดเรื่องหลอกผู้ชายขึ้นไปถ่ายรูปบนดอยอีก อดีตตอนปีหนึ่งนั้นสดใสก็จริง แต่ก็เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวเช่นกัน เพราะสีสันอีกหนึ่งสีที่ขาดหายไปนั่นก็คือสีของความรัก ว่ากันว่าชีวิตในรั้วมหา’ลัย เฟรชชี่ก็เหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง รอให้แต่งแต้มสีสันของชีวิตลงไป สีของมิตรภาพ… สีของการเติบโต… สีของความรัก... หมี่ขาวหมุนตัวกลับมายังใต้ตึกสามชั้น กวาดตามองเด็กปีหนึ่งที่สวมชุดขึ้นดอยกำลังนั่งระเบียบเชียร์หลังตรง รอให้ประธานเชียร์ปีสี่สั่งให้วิ่งออกไปจัดแถวหน้าเหมือง จากนั้นทุกชั้นปีก็จะวิ่งไปเตรียมแถวหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเริ่มพิธีการวิ่งขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพ เพียงแค่คิดถึงครั้งแรกที่อยู่บนยอดดอย...เนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ยังคงก้องในหูไม่รู้ลืมก็คล้ายกับถูกขับขานอีกครั้ง ดอยที่สูงเสียดฟ้า ด้วยสองขาเราก้าวขึ้นไป ใครไม่ไหวกอดคอเพื่อนไว้ ลากกันไปให้ถึง[3] เธอมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีที่กำลังแบกเสลี่ยงนำไปยังหน้ามอ จู่ๆ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ปีสามแล้วจริงๆ เวลาราวตีห้าครึ่ง บรรดานักศึกษาคณะวิศวะก็รวมตัวกันที่หน้าเหมือง หลังจากประธานเชียร์สั่งจัดแถวเสร็จ พี่ยอร์ชหัวหน้าผู้นำเชียร์ปีสี่ก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการบูมคณะ ทุกชั้นปีตั้งท่าเตรียมบูม เมื่อสัญญาณมือของพี่ยอร์ชเริ่มต้น เสียงบูมที่ดังกระหึ่มก็ดังขึ้นพร้อมกัน นักศึกษาทุกชั้นปีต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันส่งเสียงดังสนั่น ราวกับว่าต้องการให้มันดังไปถึงหน้ามอ หลังจากบูมเสร็จ พี่ทิมประธานเชียร์ปีสี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสั่งเสียงดังกังวาน “ลุก!” เด็กปีหนึ่งลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พี่ว้ากแต่ละคนต่างก็ต้องกลั้นยิ้ม ผลพวงจากการรับน้องเกือบสองเดือนทำให้คณะที่ขึ้นชื่อว่ามีนักศึกษาเยอะเป็นอันดับสองของมหาวิทยาลัยมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่นานนักผู้ถือธงตัวแทนของแต่ละชั้นปี รวมถือประธานของชมรมกีฬาและชมรมใต้ตึกต่างก็ตั้งแถวอยู่ด้านหน้า ในมือถือธงเกียร์พื้นน้ำเงิน และธงสีเลือดหมูของคณะ ธงเกียร์... ก่อนหน้าที่จะได้รับรุ่นที่เรียกว่าเกียร์ เด็กปีหนึ่งจะถูกเรียกรุ่นตามรหัสสองตัวแรกของรหัสประจำตัว แต่หลังจากที่ได้รับรุ่นจริงๆ แล้ว ทุกชั้นปีจะถูกเรียกว่าเกียร์ แต่ละเกียร์เรียงลำดับตามตัวเลขของรุ่น และได้รับเกียร์ทอง หมี่ขาวรุ่นที่ 42 บนเกียร์ทองจึงสลักไว้ว่า GEAR 42 และด้านล่างจะเป็นรหัสประจำตัวของเธอเอง ว่ากันว่าหนุ่มวิศวะมักจะให้เกียร์กับผู้หญิงที่ชอบเพื่อเป็นของแทนใจ แต่ว่าเกียร์ทองนั้นมีได้แค่ชิ้นเดียว จึงมีการสั่งทำเกียร์เงินตามจำนวนที่แต่ละคนต้องการ ซึ่งก็มักจะเล่ากันว่าหากจริงจังกับคนไหนต้องให้เกียร์ทอง แต่เพื่อนของเธอบอกว่าเกียร์สีอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะมันสำคัญที่ใจมากกว่า ซึ่งอันที่จริงหมี่ขาวคิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะพวกนั้นกลัวสาวๆ เอาเกียร์ของมันไปโยนทิ้งที่อ่างแก้วมากกว่าน่ะ มีเรื่องเล่ามานมนาน ว่ากันว่าสาวคนไหนอกหักมักจะขว้างเกียร์ของหนุ่มวิศวะลงอ่างแก้ว เวลามีเพื่อนต่างคณะมาเลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องเกียร์กับหมี่ขาว เธอจึงบอกให้อีกฝ่ายไปงมเอาเองที่อ่างแก้ว หรือไม่ก็ไปขโมยเกียร์ทองที่ตัดอยู่บนป้ายคณะตรงหัวมุมหอนาฬิกาแทน แต่ต้องใช้แรงเยอะหน่อย เพราะเกียร์ทองที่อยู่บนป้ายคณะอันใหญ่กว่าหัวคนอีก คิดว่ากว่าจะแงะออกมาได้น่าจะต้องใช้เวลานานพอสมควร แถมยังเสี่ยงต่อการถูกยามลากไปส่งสถานีตำรวจข้อหาทำลายทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย เมื่อได้รับเกียร์ทอง รุ่นพี่จะให้เริ่มออกแบบสัญลักษณ์ประจำรุ่น แต่ละรุ่นล้วนมีสัญลักษณ์ซึ่งเกิดจากการออกแบบเฟืองเป็นรูปต่างๆ ซึ่งออกแบบโดยคนในชั้นปีแล้วให้ลงคะแนนโหวตกันก่อนวันที่รุ่นพี่จะทำการสั่งทำเสื้อช็อปเพื่อมอบให้ตอนปีหนึ่งจะขึ้นปีสอง คนที่ออกแบบสัญลักษณ์และรับการเลือกให้เป็นสัญลักษณ์ประจำรุ่นจะได้รับเสื้อช็อปห้าตัว ส่วนเพื่อนคนอื่นในรุ่นจะได้รับแค่คนละสามตัว แน่นอนว่าเสื้อช็อปรุ่นที่ได้นั้นรุ่นพี่เป็นคนสั่งทำให้ เชิ้ตสีน้ำเงินเข้มปักกระเป๋าเสื้อเป็นสัญลักษณ์เกียร์ด้วยด้ายสีขาว เมื่อได้รับแล้วก็เหมือนกับว่ารุ่นพี่ให้การยอมรับรุ่นน้องเต็มตัว พิธีการรับเสื้อช็อปนั้น แม้จะบอกว่าเป็นพิธี แต่ที่จริงคือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าปีหนึ่งสามารถปลดซ็อค[4]ได้แล้ว อันที่จริงเหมือนเป็นพิธีทำลายชุดเชียร์ที่ใส่มากกว่า หมี่ขาวเข้าใจแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นวันรับเสื้อช็อปก็เป็นวันที่สนุกมาก เพราะมีแต่เรื่องให้เอากลับมาเล่าได้เรื่อยๆ เมื่อใส่ช็อปแล้ว จะมีกฎระเบียบตายตัวคือต้องสวมกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบเท่านั้น ถึงจะดูเหมือนเป็นกฎเคร่งครัด แต่ก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไร เพราะเมื่อมองโดยภาพรวมแล้วก็ดูเรียบร้อยและทะมัดทะแมงมาก ในคณะวิศวะ ส่วนใหญ่จะแยกความอาวุโสจากเกียร์บนอกเสื้อ เพียงแค่เห็นอกเสื้อแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าอยู่ปีไหน ยิ่งปีแก่ช็อปก็จะยิ่งซีด ในหมู่ผู้ชายวิศวะมักจะคิดว่าช็อปยิ่งซีดยิ่งเท่ แต่ที่จริงเป็นเพราะสวมและซักบ่อยเกินไป ช็อปเลยสีซีด สาวคณะอื่นมักจะมองว่าหนุ่มวิศวะทั้งหล่อทั้งเท่ แต่ที่จริงแล้วคนพวกนี้หล่อแค่ตอนปีหนึ่ง เพราะต้องใส่เชิ้ตสีขาวโอโม่ ผูกเนกไท กางเกงสแล็กสีดำ และสวมรองเท้าหนังถูกระเบียบ ยิ่งเมื่อถือแฟ้มประจำรุ่นแล้วยิ่งเสริมออร่าความหล่อเข้าไปอีก 50% แต่เมื่อหนุ่มวิศวะที่ว่าหล่อๆ นั้นอยู่ชั้นปีสูงขึ้น ก็เริ่มกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด ยิ่งเมื่ออยู่ชั้นปีที่สามขึ้นไป พวกผู้ชายพวกนี้จะกลายเป็นพี่ว้าก ผมเผ้าจะเริ่มยาว หนวดเครารกรุงรัง แยกไม่ออกว่าคนไหนนักศึกษา คนไหนภารโรง จนกระทั่งต้องถ่ายรูปคาดว่าจะจบการศึกษาโน่นแหละถึงจะกลับมาหล่อใสออร่า หรือไม่บางทีก็วิวัฒนาการเป็นอีกคนไปเลย [1] แคมท์ (CAMT) วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย C (College of Arts, Media and Technology) มีฐานะเป็นองค์กรในกำกับมหาวิทยาลัย C ในระดับเทียบเท่ากับคณะ [2] หน้าเหมือง เป็นคำเรียกทางเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยปากทางเข้าจะติดกับภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล(ด้านซ้าย)และภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า(ด้านขวา) ถัดมาจึงเป็นตึกของภาควิชาเหมืองแร่(ขวามือ) [3] เนื้อเพลง วันลา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย C [4] ตามความเข้าใจคือสามารถแต่งกายในชุดนักศึกษาแบบอื่นที่นอกเหนือจากชุดนักศึกษาที่เด็กปีหนึ่งจะต้องใส่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD