หงุดหงิดชะมัด

1032 Words
น้องชายคนเล็กของผมน่ะมันบ่นเก่งจะตาย ปกติเห็นมันเงียบๆ ไม่ค่อยหือค่อยอือกับใคร แต่เวลามันเอ่ยปากอะไรขึ้นมาทีนี่ บอกเลยว่าหูชา ไม่ใช่ว่าผมกลัวมันหรอกนะ แต่รำคาญมากกว่า เป็นน้องเล็กสุดแต่ดันขี้บ่นกว่าใครเพื่อนเพราะดันมีหน้าที่จัดการงานบ้านงานช่องให้พวกพี่ชายที่เป็นหนุ่มโสดทั้งคู่ พอเห็นมันเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่ค่อยอยากคุยกับมันเท่าไหร่ด้วยไม่ต้องการมีแม่คนที่สอง และเพราะได้ยินพวกมันโวยวายโหวกเหวกมาอย่างนั้น ผมเลยรีบว่าเร็วๆ “กูก็จะไปเที่ยวน่ะสิ อกหัก ขอไปพักใจหน่อย” ไอ้แสบที่โวยวายค้างอยู่ก็หันไปบอกไอ้แก่นให้เงียบก่อน จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ดูท่าจะปลีกตัวมาคุยกับผมอีกที่ พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงมันดังขึ้นมา [เอาจริงดิ มึงช้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ] “อืม” [มึงนี่น้า แล้วจะไปกี่วัน] “น่าจะสักเดือนนึง” ผมว่า ไอ้แสบบ่นนิดหน่อยที่เห็นว่าผมไปนานกว่าที่มันคาดคิด แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ด้วยมันรู้ดีว่าผมต้องการเวลาส่วนตัวในเวลาที่เจอความผิดหวัง ก็ทุกครั้งที่ผมอกหักหรือเลิกกับแฟน ผมก็ทำแบบนี้ทุกที หนีไปที่อื่นโดยไม่บอกใครอะไรแบบนี้ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มาไกลกว่าเดิมหน่อยก็เท่านั้น [เออ พักใจก็พักใจ ไว้สบายใจก่อนแล้วค่อยกลับ ว่าแต่ร้านนมมึงนี่เอาไง ให้ปิดไปก่อนไหม] “ปิดแล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ ฝากดูหน่อย” [ภาระกูอีกละ กลับมาแล้วแบ่งกำไรให้กูด้วย] ทำเป็นว่าผมไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็รับปากว่าจะดูแลให้เพราะครั้งก่อนๆ มันก็เป็นแบบนี้ ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะบอก “เออ ไม่ต้องห่วง ไว้กูกลับไปจะแบ่งกำไรให้” [ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน อย่าไปโดนหนุ่มลาวหลอกแล้วช้ำใจกลับมาไทยล่ะ] ไอ้แสบทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ที่เหลือก็เป็นคราวผมที่กำชับพี่ชายให้บอกพ่อกับแม่ว่าผมปลอดภัยดีและกำลังจะไปที่ไหน เหตุผลที่ผมไม่โทรบอกเองเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนบ่นยาวโทษฐานทำให้เป็นห่วงน่ะ พูดคุยตกลงกันเสร็จ ผมก็ตัดสายทิ้ง เตรียมตัวไปขึ้นรถข้ามฝั่งไปลาวเพราะใกล้เวลาที่รถจะออกแล้ว ทว่าในจังหวะที่ผมยกกระเป๋าเป้ใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาด้านหลังผมพอดี ทำให้กระเป๋าเป้ที่ผมเหวี่ยงขึ้นสะพายไปฟาดโดนคนคนนั้นอย่างจังจนเซถลา ผมไม่เห็นแต่รู้สึกได้เลยรีบวางเป้ลง หันไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกระเด็นไปชนกับเก้าอี้ที่ตั้งไว้สำหรับนั่งรอรถบัสเข้าอย่างจัง “ขอโทษครับ” ผมรีบร้องบอกไปโดยเร็ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสูงในระดับสายตาผม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากไม่เห็นว่าไอ้หมอนี่ใส่แจ็คเก็ตหนังตัวหนาทับเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ มีสายโซ่ห้อยระโยงระยาง อารมณ์เหมือนชาวร็อกอะไรเทือกนั้น ใบหน้าก็สวมแว่นตาดำ ซ้ำยังมีหมวกแก๊ปสวมที่หัว แต่พอดูผมเผ้าที่ยาวปรกบ่าและหนวดเคราเฟิ้มบนใบหน้าแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่ร็อก คล้ายพวกเพื่อชีวิตมากกว่า ทว่ามีสิ่งที่ไม่เข้าพวกปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนึง นั่นก็คือกระเป๋าที่หมอนี่ถือ... กระเป๋าพลาสติกสายรุ้ง... หรือที่เรียกว่าถุงกระสอบนั่นแหละ หิ้วมาด้วยซะใบเบ้อเริ่ม ดูท่าจะเอาใส่เสื้อผ้ามา ผมเผลอย่นคิ้วใส่อย่างเสียมารยาทด้วยไม่เข้าใจกับการแต่งตัวของอีกฝ่าย ไม่ร้อนหรือไงวะ แล้วกระเป๋าที่หาความแมตช์กับเสื้อผ้าที่ใส่ไม่เจอมันคืออะไร อีกฝ่ายเองก็ย่นคิ้วใส่ผม บอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่พอใจที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเข้า ผมได้สติก็เลยขอโทษไปอีกทีด้วยไม่อยากมีปัญหา “ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ทันเห็นเลยไม่ทันระวัง” อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ยังทำหน้าไม่พอใจอยู่ ยืนจังก้าจ้องผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยคิดเอาเองว่าอาจจะไม่ใช่คนไทย แล้วคงไม่ใช่คนลาวด้วย ก็แถวนี้นอกจากคนไทยกับคนลาวแล้ว ยังมีคนต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อยู่อีกเพียบ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยออกไปแทน “แอมโซซอรี่ (ขอโทษครับ)” คราวนี้เหมือนฝั่งนั้นจะเข้าใจ พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพึมพำ “Asshole (ไอ้งี่เง่า)” แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมมองอย่างงุนงงด้วยฟังไม่ทันว่าคนเมื่อครู่พูดว่าอะไร ก็ผมเก่งภาษาอังกฤษเสียที่ไหน แล้วดูมันพูดอย่างไว ฟังได้คร่าวๆ ว่าอะไรโฮลๆ สักอย่าง ยืนคิดทบทวนไปครู่ ก่อนจะค่อยๆ แปลคำศัพท์เมื่อกี้ทีละคำ แอส... แปลว่าก้น โฮล... แปลว่ารู รวมกันเป็นรู... เดี๋ยว! แม่งด่ากูนี่หว่า! จากที่ไม่อยากมีปัญหา ตอนนี้มองหาไอ้เวรนั่นโดยไว จะเข้าไปถามมันสักหน่อยว่ามาด่าเรื่องอะไร ทั้งที่ผมก็ขอโทษไปแล้ว ทว่าก็ไม่เห็นมันแม้แต่เงา เดินหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเลยได้แต่สบถหัวเสียอยู่คนเดียว ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้ง แล้วตรงไปขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ หงุดหงิดชะมัด ทำไมต้องมาเจอคนบ้าด่าเอาฤกษ์เอายามตั้งแต่ยังไม่ข้ามฝั่งไปลาวด้วยวะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD