“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูของบ่าว”
เสียงสะอื้นของใครบางคนลอยเข้าหู หลิงก่ายย่นหัวคิ้ว
“คุณหนูตื่นเถอะเจ้าค่ะ...คุณหนู...”
เสียงร้องเรียกผสมเสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหูซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด หลิงก่ายย่นหัวคิ้วเล็กน้อยก่อนค่อยขยับเปลือกตาตื่น แสงสว่างขมุกขมัวสะท้อนเข้าสู่ดวงตา ตอนนี้น่าจะเป็นเวลากลางคืน
หลิงก่ายกะพริบตาอยู่นานคล้ายกับมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง แม้พยายามเพ่งสายตาหลายครั้งดวงตาของเธอยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัด รู้แต่เพียงภาพเลือนรางขมุกขมัวเห็นรูปลักษณ์ตัวอาคารโบราณมีหน้าต่างไม้กับผนังก่อด้วยอิฐหยาบ จมูกได้กลิ่นเหม็นอับแบบที่ไม่ชอบ
หลิงก่ายย่นจมูกไม่พอใจ
“คุณหนูหากท่านเป็นอะไรไป บ่าวจะอยู่กับใครเจ้าคะ พวกเรามาด้วยกันคุณหนูอย่าทิ้งบ่าวเลยนะเจ้าคะ”
ข้างเตียงนอนหลิงก่ายตอนนี้มีเด็กหญิงมัดมวยผมสองข้าง ทั้งยังสวมชุดผ้าฝ้ายสีซีดนั่งก้มหน้าร้องไห้โวยวาย เมื่อกลางวันจำได้ว่าเธอกับคณะพรรคออกไปหาสถานที่สร้างหลุมหลบภัยที่เชิงเขา ไม่คาดคิดว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าจะยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ ร่างหลิงก่ายลอยละลิ่วลงไปในหลุม คงมีคนช่วยเธอขึ้นมาแล้ว ไม่รู้มีคณะพรรคคนไหนร่วงลงมาพร้อมเธอหรือไม่
จำได้เลือนรางถึงตอนที่ตกลงไปในหลุมเธอหมดสติไปก่อน ไม่รู้ร่างกายส่วนไหนกระแทกพื้นบ้างหรือไม่ นึกมาถึงตรงนี้กระดูกทั่วร่างหลิงก่ายหนักอึ้งขึ้นมาทันที ท่าทางจะเจ็บหนักไม่เบาถึงได้ลุกไม่ขึ้นแบบนี้
“คุณหนูอย่าตายนะเจ้าคะ อย่าทิ้งบ่าวไว้คนเดียวนะเจ้าคะ”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังคงดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ หลิงก่ายข่มความเจ็บทั่วตัวปรือตามอง เด็กน้อยไม่เงยหน้ามองเธอด้วยซ้ำเอาแต่เรียกหลิงก่ายว่าคุณหนู ไหนจะเสียงร้องไห้น่าเวียนหัว
คณะพรรคไม่ขี้ขลาด
คณะพรรคไม่หวาดกลัว
คณะพรรคไม่ลืมบุญคุณ
คำนำหน้าสิทธิ์เสรีของชาวคณะพรรคลอยเข้ามาในหัว หลิงก่ายกลั้นใจตะโกนออกไป
“หยุดร้องได้แล้ว!”
น้ำเสียงที่ตะโกนออกมาดังเท่าเสียงยุงบิน ลำคอแห้งผากปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาซึม
“คุณหนู! คุณหนูฟื้นแล้ว บ่าวจะรีบไปตามท่านหมอใหนะเจ้าคะ”
ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เด็กน้อยคนนั้นวิ่งหายออกไปข้างนอกเสียแล้ว รออยู่พักใหญ่กลับยังไม่เห็นมีใครโผล่มา วันนี้เจอเรื่องไม่ค่อยดีร่างกายอ่อนล้าเต็มที จึงได้แต่ปิดเปลือกตาหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย
ในความฝันกึ่งหลับกึ่งตื่นหลิงก่ายเห็นใครบางคนป้อนน้ำป้อนยาให้ดูแลเช็ดตัวห่มผ้าให้ จะเป็นใครก็ตามถ้าหายดีกว่านี้จะต้องไปขอบคุณด้วยตัวเองให้ได้
คณะพรรคไม่ลืมบุญคุณ หนึ่งในคำสอนหลักสามประการของกลุ่มเยาว์ชนซุนอู่ หลิงก่ายเป็นหนึ่งในแกนนำเยาว์ชนกลุ่มซุนอู่ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลจีนในยุคที่ถูกเรียกว่า สมัยปฏิวัติ
เด็กสาวอายุสิบเก้าจากหมู่บ้านห่างไกลเช่นเจิ้งซู สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นแนวหน้าหนึ่งในสามกลุ่มเยาว์ชนเรียกร้องระบอบรัฐ ตอนนี้รัฐบาลใหญ่หักหลังและเรียกเด็กเหล่านี้ว่า พวกหัวรุนแรง
สมาชิกหลายพันคนถูกส่งไปใช้แรงงานในพื้นที่ห่างไกล ส่วนระดับหัวหน้าทั้งหลายอย่างหลิงก่ายพากลุ่มของตนที่เหลือหลบหนีเข้าป่าลึก หรือไม่ก็หลบซ่อนตามสถานที่รกร้างห่างไกล
เมืองจีนมีอาณาเขตกว้างขวางนัก แค่เพียงอาศัยหัวคิดอันรอบคอบรัดกุม กลุ่มเยาว์ชนซุนอู่ของเธอหลบหนีการจับกุมยาวนานกว่าสามปีแล้ว และยังคงประสบความสำเร็จต่อไป
ผู้นำกลุ่มทั้งหกคนแบ่งกระจายจำนวนคณะพรรคไปทั่วแผ่นดิน สามในหกโดนจับเข้าคุกไปแล้ว มีบ้างที่ใช้วิธีดั้งเดิมคือขึ้นภูเขาสูงหรือเข้าไปในถ้ำลึก ส่วนหลิงก่ายจับเอาหลักการอันทันสมัยของทางตะวันตกมาปรับใช้ ถึงกระนั้นจะต้องไม่ปักหลักอยู่ที่ใดนานกว่าหกเดือน
เมื่อวานเธอออกไปสำรวจพื้นที่ใหม่กับคณะพรรคคนอื่น เป้าหมายคือที่ราบเชิงเขามีแหล่งน้ำสำรองมีภูเขาล้อมรอบ สถานที่ที่ว่านี้ทั่วเมืองจีนไม่ได้หายากแต่ก็ไม่ถึงกับง่าย หลิงก่ายต้องการภูมิประเทศแบบนี้ไว้ใช้ทำการเกษตร แบ่งบางส่วนสร้างหลุมหลบภัย
โชคดีของเธอที่หนนี้สามารถหาสถานที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ในขณะขุดหน้าดินเตรียมสถานที่ทำหลุมหลบภัยนั้นเอง ผืนดินใต้ฝ่าเท้าหลิงก่ายรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนจะยุบลงไปเป็นโพรงใหญ่ ร่างเธอยืนกลางหลุมพอดีจึงตกลงมาอย่างช่วยไม่ได้
ไม่รู้ผ่านไปนานกี่วัน เสียงฟ้าผ่าครืนใหญ่เรียกสติหลิงก่ายรู้สึกตัวอีกครั้ง จมูกได้กลิ่นไอฝนชื้นเย็น ด้านนอกฝนคงตกลงมาแล้ว ลืมตาขึ้นมาคราวนี้ร่างกายรู้สึกแข็งแรงมากว่าเมื่อตอนฟื้นขึ้นมาครั้งแรก
“อ๊ะ! คุณหนูตื่นแล้วบ่าวตกใจหมดเจ้าค่ะ”
ใบหน้าเด็กน้อยหันมายิ้มหลังจากลูบอกตนเองป้อย
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เป็นเสียงเด็กคนเดิมพูดอู้อี้ข้างหู หลิงก่ายยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง แสงวูบวาบจากท้องฟ้าด้านนอกผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ดวงตาหลิงก่ายยังคงมองเห็นไม่ชัดเหมือนเดิม
ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ คุณหนูตกใจเสียงฟ้าร้องใช่หรือไม่”
เด็กน้อยรีบขยับเข้ามาใกล้
“นอนลงเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวปิดหน้าต่างให้นะเจ้าคะ”
...บ่าว...งั้นหรือ?
คำก็บ่าวสองคำก็บ่าว ได้ยินคำพูดขัดหูแบบนี้หลายครั้งเข้าหลิงก่ายอดไม่ได้อยากออกปากอบรมกันเสียหน่อย แผ่นดินจีนตอนนี้แทบไม่เห็นชนชั้นระดับบ่าวไพร่กันแล้ว ยิ่งเข้ามาอยู่ในกลุ่มเยาว์ชนซุนอู่ยิ่งฟังแล้วขัดเคือง
“เธอเป็นสหายรุ่นเยาว์มาใหม่ใช่หรือเปล่า ไม่รู้กฎระเบียบคณะพรรคหรือยังไง”
น้ำเสียงนุ่มนิ่มหวานหูเปล่งจากลำคอ ต่างจากน้ำเสียงดุดันแต่เดิมของเธอ ใบหน้าหลิงก่ายฉายแววงุนงงไม่หยุด นี่ไม่ใช่เสียงเธอ! คราวที่ได้ยินเสียงตัวเองตอนฟื้นขึ้นวันก่อนหลิงก่ายนึกว่าตัวเองหูแว่ว แต่คราวนี้ชัดเจน
แสงฟ้าแลบส่องเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง หนนี้หลิงก่ายมองเห็นเค้าโครงอาคารที่ตัวเองนอนอยู่ได้แต่เบิกตากว้าง ที่นี่คือที่ไหนกัน? ไม่ใช่ค่ายเยาว์ชนซุนอู่
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
“คุณหนูจำไม่ได้เหรอ? ที่นี่อารามซีเหลียนไต๋ไงเจ้าคะ พวกเราอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้วเจ้าค่ะ”
อารามซีเหลียนไต๋คือที่ไหนกัน แล้วใครอยู่ที่นี่มาสี่ปี! ยิ่งฟัง หลิงก่ายยิ่งงุนงงเข้าไปอีก
“พูดจาเลอะเทอะอะไร? แล้วเธอเป็นใคร”
“คุณหนู”
หลิงก่ายเอ่ยถามเสียงเข้ม เพียงแต่เสียงที่ลอดไรฟันออกมายังฟังดูนุ่มนิ่มเหมือนเสียงลูกแมวร้องเหมือนเดิม เด็กน้อยเอียงคอมองเธอคล้ายไม่เข้าใจ
“บ่าวคือเสี่ยวชุนเจ้าค่ะ”
...เสี่ยวชุน...มีคนชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...
ต้องอบรมเลขาก่านเรื่องระเบียบสักหน่อยแล้ว หลิงก่ายถอนหายใจพลางหันหน้ามาหาเด็กน้อยที่ชื่อเสี่ยวชุน
“เธอบอกว่าที่นี่คืออารามซีเหลียนไต๋ไม่ใช่ค่ายซุนอู่ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เอ่ยถามประโยคนี้ออกมาหางเสียงกลับสั่นเครือ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว หรือว่าคณะพรรคของเธอจะถูกจับได้
“คุณหนูพูดเรื่องอะไร? ค่ายซุนอู่อะไรกันเจ้าคะ? ที่นี่เป็นอารามชี ใต้เท้าหลี่ท่านพ่อคุณหนูส่งพวกเรามาอยู่อารามชี ไม่ใช่ค่ายทหาร”
ยิ่งฟังยิ่งงุนงง ค่ายทหารอะไร? อารามชีอะไร? ยิ่งไปกว่านั้นหลิงก่ายมีพ่อเป็นถึงใต้เท้าอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ลางสังหรณ์พิลึกพิลั่นเริ่มผุดขึ้นมาในความคิด มือข้างหนึ่งลูบแก้มตัวเองไปมา ยิ่งลูบดวงตายิ่งเบิกกว้างไม่หยุด ผิวเนื้อละเอียดนุ่มเนียน ใบหน้าเรียวตอบ ไหนจะฝ่ามือเล็กบางราวกับแท่งเทียนนี้อีก หลิงก่ายรู้สึกตัวเองหน้าซีดลงกว่าเดิม ริมฝีปากแห้งผากกระทบกันสั่นระริก สองขาก้าวลงจากเตียงนอนกลับอ่อนแรงล้มลงไปบนพื้น
“...ว้าย!...คุณหนู...เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“เอากระจกมาหน่อย”
แค่ลูบหน้าหลิงก่ายยังไม่หมดความตั้งใจ เธอต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ต้องเห็นด้วยตาตัวเอง
“กระจก? คุณหนูหมายถึงคันฉ่องหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“บ่าวจะไปเอามาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวชุนวิ่งไปหยิบคันฉ่องเก่าคร่ำคร่าอันหนึ่งส่งให้ เธอรับมาอย่างว่าง่าย เมื่อมองดูภาพตัวเองในนั้นหลิงก่ายสะดุ้งสุดตัว! ภาพสะท้อนในกระจกเป็นเด็กผู้หญิงใบหน้าผอมซีดผมยาวสยาย สวมชุดผ้าฝ้ายเก่าขาด ดวงตาสองข้างแข็งทื่อ ดูไร้ชีวิตจิตใจ ดวงตาลึกโหลคู่นั้นยิ่งดูน่าหวาดกลัว สองตาในกระจกจ้องกลับมาไม่วางตา เมื่อหลิงก่ายหันหน้าไปข้างหนึ่ง เงาในกระจกก็หันตาม ไม่ว่าหลิงก่ายจะทำท่าอะไรรูปสะท้อนเด็กคนนั้นก็ทำตามเธอด้วย
คล้ายกับมีบางอย่างไหลเวียนเข้าหัวสมองกะทันหัน ร่างน้อยบนพื้นหันหน้าไปหาเสี่ยวชุน
“...ปีนี้..ปีอะไร?...”
“ปีนี้หรือเจ้าคะเป็นปีเซี่ยเฉียนที่สิบเจ้าค่ะ”
เสี่ยวชุนยิ้มอย่างยินดี นางเฝ้านับวันรอให้คุณหนูอายุครบสิบห้าปีในปีหน้า ใต้เท้าหลี่จะส่งคนมารับพวกนางกลับเมืองหลวง ขณะที่เสี่ยวชุนยิ้มหน้าบาน หลิงก่ายกลับหน้าซีด
ปีเซี่ยเฉียนที่สิบ พระโพธิสัตว์!!
ในใจหลิงก่ายตะโกนสุดเสียง นั่นคือแผ่นดินจีนเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีที่แล้ว! ร่างบางอ่อนยวบหมดแรงจนคันฉ่องในมือเลื่อนหลุดลงพื้นก่อนเจ้าตัวจะหมดสติล้มลงไป