บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่

1641 Words
“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที “ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่” แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาด เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน “ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันที ทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส “ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ” “คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ “ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็พูดกับข้าปกติก็แล้วกัน ที่นี่ไม่ใช่วังหลวงและเวลานี้ข้าก็เป็นเพียงผู้มาเรียนคนหนึ่งเท่านั้น อย่าได้มากพิธีเลย” องค์หญิงหลินซูมี่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็มีการไว้ตัวอยู่ไม่น้อย ซึ่งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังเป็นเด็ก เนื่องจากคำกล่าวนั้นกลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นเกินวัยห้าขวบของนาง ในทุกการกระทำขององค์หญิงตัวน้อย ตกอยู่ในสายตาของแม่ทัพเสวี่ยเยวียนสือทั้งหมด และการกระทำเล็กน้อยนี้ก็ทำให้เขาจดบันทึกความดีของนางไว้ในใจ ‘ถือว่าวางตัวได้ดี’ “เอาล่ะ เลิกเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยได้แล้ว เจ้าก็มาเริ่มบทเรียนแรกเลย วันนี้ข้าจะสอนวิชาความรู้ด้านบทกวีโบราณ และหลักการของขงจื้อให้ เจ้าคิดว่าอย่างไร” เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยถามเด็กหญิงที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้นหลินด้วยท่าทางที่จริงจังและมองไปที่นางอย่างเข้มงวด ที่แม้แต่ทหารในสนามรบ หากได้ยินก็ต้องหวาดกลัวทุกคน ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย นางยืนตรงด้วยท่าทางสงบนิ่งและมองสบสายตาของแม่ทัพใหญ่อย่างไม่หวั่นเกรงใด ๆ ผิดกับผู้ติดตามที่มากับนาง ที่เวลานี้ต่างยืนเกาะกันแน่นด้วยความหวาดหวั่น เพราะหวาดกลัวต่ออำนาจและบารมีของแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือ “แล้วแต่ท่านอาจะสอนสั่งเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ย่อตัวลงแล้วตอบกลับไปอย่างนอบน้อม “ดี ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” เสวี่ยเยวียนสือตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองคนติดตามของนาง แล้วพูดออกมาเสียงดังว่า “ส่วนพวกเจ้าออกไปให้หมด อย่าเข้ามารบกวนการเรียนของนาง หากข้ายังไม่ปล่อยนางไป นางก็ยังกลับไม่ได้ เข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ / ขอรับ” ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวจบ ทุกคนทั้งชายหญิงต่างก็รีบตอบรับ และพากันออกไปเหลือทันที ดังนั้นในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ จึงมีเพียงแค่แม่ทัพใหญ่ที่เป็นอาจารย์ กับองค์หญิงหลินซูมี่ที่เป็นศิษย์เท่านั้น “เอาล่ะ เจ้าไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวนั้น บนชั้นหนังสือมีตำราอยู่หลายเล่ม จนกว่าจะเรียนจบเจ้าต้องอ่านให้ครบทุกเล่ม แล้วข้าจะทดสอบเจ้าอีกครั้ง แต่เวลานี้เจ้าเลือกสักเล่มมาอ่านก่อน จากนั้นค่อยมาทบทวนให้ข้าฟัง” เสวี่ยเยวียนสือบอกเด็กหญิงตรงหน้าไปด้วยท่าทางของอาจารย์ที่เข้มงวด เนื่องจากเขามองว่านางคือศิษย์ที่จะต้องสั่งสอนให้ดี เพื่อให้สมกับที่ฮ่องเต้ไว้วางใจ เมื่อหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้น ก็เดินไปหยิบตำรามาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มอ่านตำราเล่มนั้นทันที ซึ่งการอ่านและการเขียนหนังสือนั้น นางได้รับการสอนจากในวังมาตั้งแต่เปล่งเสียงได้แล้ว จึงทำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี นับได้ว่าองค์หญิงใหญ่คืออัจฉริยะตัวน้อยได้เลย โดยตำราเล่มที่นางเลือกมาอ่านในวันนี้ก็คือ บทกวีชิงชิว ภายในบทกวีได้กล่าวถึงเรื่องราวความรักของหญิงชาวบ้านกับองค์ชายที่ประสูติจากฮองเต้และฮองเฮา ความรักของทั้งสองคนนั้นก่อนที่จะได้มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในเทือกเขาลำเนาไพรอันห่างไกล ทั้งสองก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ที่มีทั้งเรื่องที่น่าตราตรึงในความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนและทั้งเรื่องสะเทือนอารมณ์อย่างมาก องค์หญิงหลินซูมี่ได้ใช้เวลาในการอ่านบทกวีนี้ เป็นเวลายาวนานกว่าสามชั่วยาม และทั้งที่เป็นการอ่านครั้งแรก แต่นางก็สามารถจดจำเรื่องราวในนั้นได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะมีใครทำได้มาก่อน เนื่องจากตัวเนื้อหาของบทกวีมีความลึกซึ้งและซับซ้อน เกินกว่าที่เด็กน้อยในวัยเพียงเท่านี้ จะสามารถเข้าใจได้ “ท่านอาเจ้าคะ ข้าอ่านและจดจำเล่มแรกได้แล้วเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้นจากตำรา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ‘ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะเรียนรู้ได้เร็วถึงเพียงนี้’ “เจ้าอ่านบทกวีเล่มไหนหรือ” ชายหนุ่มละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้า แล้วหันมาถามศิษย์ตัวน้อย “บทกวีชิงชิวเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ “บทกวีชิงชิวอย่างนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเด็กน้อยตรงหน้าบอกว่าอ่านบทกวีเล่มใด แม่ทัพหนุ่มก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยและเริ่มทดสอบทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าตอบให้รู้หน่อยว่า หน้าที่แปด บรรทัดที่เก้าบทกวีเขียนไว้ว่าอย่างไรและมีความหมายว่าอย่างไร” “ได้เจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบรับทันที จากนั้นก็เริ่มกล่าวบทกวีออกมา “อันความรัก หวานชื่นระรื่นใจ แต่แล้วไซร้ ใจท่านจึงไขว้เขว ยามมีรัก ปักใจไม่โลเล ยามมีภัย กล้ำกรายท่านหลบหนี” นางท่องบทกวีในบทนั้นออกมาอย่างคล่องแคล่วและรื่นหู ก่อนจะหยุดครู่หนึ่ง แล้วอธิบายความหมายต่อด้วยรอยยิ้ม “บทกวีบทนี้ ได้ประพันธ์ถึงองค์ชายกำลังจะไปช่วยพาตัวของหญิงคนรักหลบหนี แต่กลับถูกกลอุบายของผู้เป็นบิดามารดาล่อลวง จนทำให้ไม่สามารถไปช่วยได้” นางอธิบายมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุด “แล้วอย่างไรอีก” แม่ทัพหนุ่มถามออกมาอย่างสนใจ ที่อีกฝ่ายมีความจำล้ำเลิศยิ่ง แค่เพียงใช้เวลาจดจ่อกับตำราสามชั่วยาม นางกลับมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยม ซ้ำยังแตกฉานในการอธิบายความอีกด้วย “หญิงคนรักจึงได้เอ่ยตัดพ้อความรักขึ้นมา ที่ข้ากล่าวมานั้นถูกหรือไม่เจ้าคะ ท่านอา” นางตอบออกมาจากความรู้สึก ก่อนจะถามความเห็นของอีกฝ่าย เสวี่ยเยวียนสือมองคนตรงหน้าด้วยความประทับใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของนาง ใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดกับรอยยิ้มนั้น ซึ่งความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลย “เจ้าทำได้ดีมาก แต่มันยังไม่จบเท่านี้หรอก หน้าที่สิบเก้า บรรทัดที่เจ็ด เขียนไว้ว่าอย่างไร” ชายหนุ่มพยายามข่มความรู้สึกไว้ แล้วถามออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบนาง “อันตัวเรา นี้ไซร้เป็นหญิงป่า จะมีค่า อันใดไปเทียบท่าน แม้เกิดใหม่ สิบชาติไม่เทียบกัน ขอท่านจง ตัดรักอย่าตามมา” นางนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยบทกวีขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะหยุดเล็กน้อย แล้วเริ่มอธิบายความหมาย “ในส่วนของบทนี้ เป็นตอนที่หญิงสาวเอ่ยกับองค์ชายให้ตัดใจจากตนเสีย เพราะรู้สึกสงสารชายคนรัก ที่จะต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะนาง ท่อนนี้แสดงถึงความรักของหญิงสาว ที่มีให้กับองค์ชายอย่างเปี่ยมล้นเจ้าค่ะ” “ดี เอาล่ะถือว่าเจ้าผ่านแล้ว” เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ “ข้ามีรางวัลให้เจ้า” หลังจากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ได้เลือกหนังสือบทกวีและตำราพิชัยสงครามเบื้องต้นอีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มอบให้แก่องค์หญิงหลินซูมี่ เพื่อนำไปศึกษาต่อในยามที่อยู่ลำพัง “วันนี้ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายแจ้งให้บิดาของเจ้าทราบเอง ส่วนตำราเหล่านี้ก็เอาไว้ศึกษาให้แตกฉาน เอาไว้เจอกันคราวหน้าข้าค่อยทดสอบเจ้า” ชายหนุ่มบอกออกไปอีกครั้ง ในตอนที่ส่งตำราเหล่านั้นให้นาง “เจ้าค่ะ” องค์หญิงน้อยตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินออกไปรอรถม้าที่ด้านนอก เนื่องจากยังต้องรอให้ผู้ติดตามไปเตรียมรถม้าจากในวังมารับ เพราะขบวนเมื่อเช้านั้นถูกยกเลิกไปหมดแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD