CHAPTER 01

1512 Words
CHAPTER 01  ตาม ภูมิรพี: TALK @ร้านไอศกรีม Banana                “ไอศกรีมมาแล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”                “ขอบคุณครับ”                สิ้นเสียงตอบรับถ้วยไอศกรีมแก้วใหญ่บนโต๊ะก็ถูกมือขาวอวบอั๋นขนาดเล็กเลื่อนไปด้านหน้าตัวเองท่าทางเตรียมพร้อมจะทานมากที่สุด สักพักในเวลาต่อมารอยยิ้มหวานถูกส่งผ่านมาทั้งที่ไอศกรีมรสช็อตโกแลตยังคาปากเล็กสีเชอร์รี่สุกอันจิ้มลิ้ม ภาพน่ารักตรงหน้าชวนให้เกิดความสุขจนอดทำให้นิ้วมือเรียวขาวใหญ่มีเส้นเลือดปูดตามประสาผู้ชายเข้าของตัวเองไปเช็ดมุมปากที่เลอะออกมาอย่างเบามือ                เกือบห้าโมงเย็นแสงสุดท้ายของฤดูหนาวกำลังจะลาลับขอบฟ้าของเอเชียโซนเอ้าท์ดอร์ชั้นสองของร้านไอศกรีมยังมีผู้คนคับคั่งเข้ามาใช้บริการกันเนืองแน่น ผมมาที่นี่หลายครั้งต่อหลายครั้งแต่ยังไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้ทั้งที่อากาศเย็นแต่ผู้คนก็ยังไม่ห่างจากของหวานที่ขึ้นชื่อว่าไอศกรีม โซนที่ผมนั่งอยู่มีหลายโต๊ะส่วนมากเป็นผู้หญิงทั้งนั้นไม่ว่าวัยทำงานวัยรุ่นมัธยมหรือแม้กระทั่งวัยนักศึกษา                ไอศกรีมคงเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจชั้นดีอีกทั้งยังช่วยดับความร้อนในช่วงบ่ายที่ถึงแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวแต่ก็อย่างที่ทุกคนสัมผัสได้เมืองไทยไม่ว่าจะฤดูไหนก็ร้อนเหงื่อแตกได้ทุกเมื่อไม่เว้นแม้แต่ฤดูหนาว ฤดูหนาวถ้าเป็นในเมืองหลวงก็แค่รู้สึกเย็นในตอนเช้าและตอนกลางคืนเท่านั้นเว้นแต่ปีนั้นๆ จะหนาวจริงหน่อย            “ไงมึงสบายดีนะ?”                เหอะ...                ไอ้คนถามไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลยสักนิดแต่กับลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงไปในไขว่ห้างกระดิกเท้าอย่างสบายอกสบายใจเหมือนไม่ทุกข์ร้อนห่าใดๆ สักนิด ประโยคเมื่อกี้มันประชดผมชัดๆ ไม่ตั้งใจถามเพื่อเอาคำตอบอะไรทั้งนั้นหรอกทว่าผมกับอยากตอบมันเหลือเกิน                “ตามึงก็เห็น”                “ตากูอยู่บ้านไม่ได้มาด้วยคงไม่เห็นมึงหรอกวะ”                ควาย...                ประโยคที่ผมพูดต่อแต่ไม่เปล่งเสียงออกมาได้ส่วนไอ้คนที่พึ่งตอบกวนตีนก็ยิ้มเยาะชอบใจส่งกลับมาแทน มันรู้ว่าผมตอบอะไรให้มัน ไอ้นี่มันชอบกวนส้นตีนเหลือเกินอยู่ดีๆ ไม่ดีจะตายมั้ง มันชื่อ ‘บอล’ ครับเพื่อนผมคนนี้                มันเท่เบ้าหน้าก็พอเอาเข้าวัดเข้าวาได้แต่ถ้าจะถามถึงรูปร่างส่วนสูงโคตรดูดีระดับเดียวกับนายแบบคิดดูแล้วกันว่าจะจัดให้มันอยู่ในระดับไหนส่วนผมให้เพื่อนเวรของตัวเองจัดอยู่ในระดับที่ดีมากถ้าไม่รวมกับปากหมาๆ ของมัน                “วันหลังมึงก็เอามาด้วยแล้วกัน ชีวิตกูมันน่าให้มึงเสือกเหลือเกิน”                แล้วผมก็พูดขึ้นอีกครั้ง ตอบมันอย่างไม่ใส่ใจไม่สนใจด้วยซ้ำว่าหน้าคนฟังจะมีสีหน้าท่าทางยังไงเพราะสายตาตัวเองจดจ้องกับอะไรบางอย่างซึ่งแน่นอนว่ามันสำคัญกว่าเพื่อนปากหมาๆ หลายเท่าตัว                “งั้นก็สมที่คนบาปอย่างมึงจะตกอยู่ในสภาพนี้”                “สภาพนี้ก็ดีกว่าตกอยู่กับพวกมึงไอ้บอล”                พวกมึง... บอกได้เลยว่าไม่ได้มีแค่ผมกับไอ้บอลเท่านั้นแต่ยังมีอีกหลายคนด้วยกันเดี๋ยวพวกมันก็เข้ามาในชีวิตของผมเองนั่นแหละเข้ามาทีละคนสองคนหรือไม่ก็เข้ามาแบบรวบยอดทีเดียวเป็นกลุ่มแต่ไม่เข้ามามันจะสงบสุขมากกว่า                “ครับไอ้คุณตาม” ไอ้บอลมันยอมสงบปากหมาๆ ของตัวเองก็เพื่อหันไปยิ้มหวานจนตาหยีให้กับอีกคนหนึ่งที่นั่งเงียบทานไอศกรีมพร่องไปเกือบถ้วยใหญ่แล้ว “สวัสดีค่ะสาวน้อยต้องตาของน้าบอลคนหล่อ”                ‘ตาม’ ชื่อของผมเองส่วน ‘ต้องตา’ เป็นชื่อลูกสาวคนเดียวของผมในปัจจุบัน ฟังไม่ผิดนะครับต้องตาเป็นลูกสาวของผมจริงๆ รู้แบบนี้แล้วคงไม่ต้องถามหาสถานะว่าโสดหรือเปล่า                มีลูกก็ต้องมีเมียไม่เห็นแปลก                “สวัสดีค่ะอาบอล”                ต้องตาวางช้อนไอศกรีมลงในถ้วยพนมมืออวบเล็กๆ ไหว้ไอ้บอลหลังจากนั้นก็กับไปสนใจสิ่งที่ชอบต่อโดยปล่อยให้คนถามกลายเป็นหมาหัวเน่าทันที                “ไม่น่าเชื่อ พ่อกับลูกโคตรเหมือนกันเลย”                “ก็ต้องตาลูกพ่อตามขานิคะอาบอล”                เสียงนี่ดังขึ้นเรียกเสียงหัวเราะพร้อมกับส่งรอยยิ้มเยาะไปสมน้ำหน้าเพื่อนปากหมาของตัวเอง เห็นไหมขนาดต้องตายังเข้าข้างพ่อตัวเองคงทนไม่ไหวกับความกวนตีนมั้ง                “ค่ะ อาบอลไม่เถียงเลยค่ะ ลูกพ่อตามขาจริงๆ”                “มาติมหมดแล้วมานั่งตักพ่อดีกว่า” ว่าแล้วผมก็ขยับตัวเลื่อนถ้วยไอศกรีมไปด้านหน้าไอ้บอลแล้วจัดการช้อนโอบอุ้มร่างเล็กของต้องตาเข้ามานั่งตรงกลางระหว่างขาของตัวเองซึ่งมีพื้นที่เล็กน้อยแต่พอดีกับลูกก่อนคว้าแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาป้อนลูกสาวเป็นการตบท้าย ไอ้คำว่าติมผมได้ยินต้องตาพูดมานานแล้วนะไม่รู้ว่าเลียนแบบใครใครสอนใช่แม่ของต้องตาหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก “อร่อยมั้ย?”                “ติมอร่อยค่าพ่อตามขา มาอีกๆ”                มือเล็กเกาะขาผมทั้งสองข้างไว้แน่นหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จไปตอนก่อนหน้า ใบหน้ากลมมนมีแก้มยุ้ยหน่อยๆ สีแก้มแดงเล็กน้อยโดยธรรมดาเงยขึ้นจนสุดลำคอก่อนฉีกยิ้มแฉ่งอวดฟันเพื่อมองหน้าผมที่ก้มหน้าถาม                “คราวหน้าเดี๋ยวพ่อมาอีกเนาะ”                “เย้! พ่อตามขาใจดีที่สุดในโลกเล้ย....”                “อ้อนพ่อตามเข้าไว้นะคะต้องตา มาคราวหน้าทานเยอะๆ”                “ไอ้บอล”                ผมเอ่ยแค่นี้ทั้งที่ประโยคต่อมาอยากด่าแหลกใส่คำหยาบแบบซัดยับมากเหลือเกินแต่ต้องเก็บเอาไว้ยังไงก็อยู่ต่อหน้าต้องตา แค่คำว่ากู มึง หนักสุดก็แค่คำว่าเสือกก็พอแล้วอย่างอื่นโตขึ้นให้เรียนรู้เองดีกว่าอย่าพึ่งชี้โพลงให้กระรอกเลย                “คิกๆ อาบอลโดนพ่อตามขาดุ คิกๆ”                “พ่อตามขาของต้องตาดุน่ากลัวมาเลยค่ะ อาบอลกลัวๆ”                “คิกๆ อาบอลกลัวพ่อตามขา...”                ต้องตาพูดขึ้นในขณะที่ยังหัวเราะตามประสาเด็ก ไม่นานนักมือเล็กอวบชี้จิ้มจึกๆ เข้ามาตรงกระเป๋ากางเกงที่มีโทรศัพท์และกุญแจรถอยู่นูนอยู่ ผมรู้ดีว่าลูกสาวต้องการอะไรจึงล้วงเข้าไปเอาโทรศัพท์ให้ตั้งแต่นาทีนั้นมาลูกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะได้แต่เลื่อนดูวีดีโอของเจ้ากระเป๋า                “ว่าแต่มึงมีอะไรไอ้บอล?”                ลงทุนตามมาจากไอจีที่ผมลงมันต้องไม่มีอะไรธรรมดาแน่นอนยิ่งคนอย่างไอ้บอลถ้าได้ชีพจรลงเท้าเมื่อไหร่เรื่องที่มันกำลังจะพูดก็ต้องสำคัญ                “เที่ยว”                “คงไม่เที่ยวแค่อย่างเดียว?”                “รู้ใจฉิบ”                ถ้าบอกว่าไม่ได้รู้ใจแต่ผมรู้จักสันดานของมันมากกว่า                “ไอ้บอล...” คราวนี้เสียงที่ผมใช้ค่อนข้างแข็งกระด่างผสมกับความจริงจังเพราะได้ยินคำหยาบออกมาเพิ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก “กูเคยบอกมึงว่าไง”                “กูขอโทษ”                “เออ”                พอเห็นมันขอโทษก็โอเคไม่ได้คิดอะไรมากมายจนทำให้ซีเรียสขนาดนั้นอีกอย่างมันก็มีบางเวลาพลั้งเผลอแต่อย่าให้มีบ่อยแล้วกัน                “วันนี้วันศุกร์”                ก็ใช่ไงวันนี้วันศุกร์พอผมไปรับต้องตาที่โรงเรียนก็ตรงมาร้านไอศกรีมแล้วมันแปลกตรงไหน                หรือว่า...                “ศุกร์หรรษาไงไอ้ตาม”                พูดจบไอ้บอลก็ยักคิ้วส่งมาให้เป็นอันว่ารู้กัน วันศุกร์สุดหรรษาสำหรับใครต่อใครไม่ว่าอาชีพไหนคืนนี้ก็คงต้องท่องราตรียาวหรือไม่ก็ไม่เมาไม่เลิก                “ศุกร์นี้คงไม่ใช่ของกู”                ว่าแล้วสายตาของผมก็มองก้มไปยังต้องตาเป็นเชิงบอกไอ้บอลว่าต้องดูแลลูกและยังไม่วายเอามืออีกข้างมาโอบกอดรอบตัวต้องตากันตกเก้าอี้เพราะเวลาดูโทรศัพท์ชอบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น                ดื้อเหมือนใครวะ                ไอ้บอลเข้าใจผมดีถ้าวันไหนต้องอยู่กับต้องตา ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของผมใช้ได้เฉพาะกับคนที่ตัวเองรักเท่านั้น                คนอื่นไม่มีทางเห็นหัวมัน                “งั้นกูก็มาเสียเที่ยวดิ” เสียงถอนหายใจของไอ้บอลดังขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้น่าเห็นใจสักนิดเดียวเพราะอาจมีประโยคต่อที่เหมือนจะเจาะจงกัดผมโดยเฉพาะ “มึงโคตรเป็นผัวดีเด่น นี่ถ้าเมียไม่ติดสอบก็คงไม่ปฏิเสธแน่”                “ขอบใจที่ชมกูไอ้เลวบอล”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD