ในขณะที่ราชสำนักกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และการจัดการในด้านต่างๆ เริ่มมั่นคงขึ้น ฉินจิ่นหลงรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง มีผู้ที่ต้องการแย่งชิงอำนาจและยังคงพยายามล้มล้างความมั่นคงของราชสำนัก แม้ว่าทุกสิ่งจะดูเหมือนสงบเงียบ แต่เบื้องหลังนั้นยังคงมีแผนการที่ซ่อนเร้นและความวุ่นวายที่รออยู่ข้างหน้า
ฉินจิ่นหลงไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ของเขาได้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าเส้นทางที่เขากำลังเดินไปนั้นจะต้องมีการเสียสละบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไป๋อวิ๋นเหอยังคงเติบโตขึ้นในเงามืดของการเมืองและอำนาจ ซึ่งทำให้ทั้งสองต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก
ในคืนหนึ่ง ขณะที่ฉินจิ่นหลงนั่งอยู่ในห้องทำงานของพระราชวัง เขาถูกเรียกให้เข้าไปประชุมกับขุนนางสำคัญที่มีบทบาทในราชสำนัก การประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงของรัฐ และวิธีการจัดการกับภัยคุกคามจากกลุ่มขุนนางที่พยายามล้มล้างอำนาจของเขา
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ฉินจิ่นหลงเดินออกมาจากห้องประชุมด้วยความเหนื่อยล้าและจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวล เขารู้ดีว่าไม่มีทางเลือกมากนักในการรักษาอำนาจและความมั่นคงของราชสำนัก
ในขณะที่เดินไปในสวนหลังวัง ไป๋อวิ๋นเหอที่มักจะเฝ้ารออยู่เสมอก็เดินเข้ามาหาเขาทันที เมื่อเห็นท่าทางของฉินจิ่นหลงที่เต็มไปด้วยความเครียดและวิตกกังวล ไป๋อวิ๋นเหอก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านฉิน ข้ามีข่าวไม่ดีหรือ?” ไป๋อวิ๋นเหอถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
ฉินจิ่นหลงหยุดเดินและหันไปมองไป๋อวิ๋นเหอ ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าและการตัดสินใจที่หนักหน่วง “ข้าไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี… มีการวางแผนล้มล้างราชสำนักจากภายใน มีขุนนางบางคนที่พยายามก่อการประท้วงเพื่อแย่งชิงอำนาจ”
ไป๋อวิ๋นเหอยืนเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้ดีว่าเมื่อถึงจุดนี้ ฉินจิ่นหลงคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ใกล้ตัวได้ แต่ความเครียดที่สะสมในใจของฉินจิ่นหลงก็นับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน
“ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” ไป๋อวิ๋นเหอถาม
ฉินจิ่นหลงทอดถอนหายใจ “ข้าไม่มีทางเลือกมากนัก การจัดการกับพวกเขาอาจจะต้องใช้การเสียสละบางอย่าง…”
ไป๋อวิ๋นเหอขมวดคิ้ว “เสียสละบางอย่างหมายความว่าอย่างไร?”
ฉินจิ่นหลงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่มีความสุข “บางครั้ง…การรักษาความมั่นคงของราชสำนักอาจต้องแลกมาด้วยการเสียสละความสัมพันธ์ที่สำคัญ เช่นเดียวกับความรักที่ข้าและเจ้ามีต่อกัน”
คำพูดของฉินจิ่นหลงทำให้ไป๋อวิ๋นเหอรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ แม้จะรู้ดีว่าในทางการเมืองและราชสำนักนั้น ต้องมีการเสียสละเพื่อรักษาอำนาจ แต่ในใจของเขา เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียฉินจิ่นหลงไป
“ท่านหมายความว่าอะไร?” ไป๋อวิ๋นเหอถามเสียงเบา
ฉินจิ่นหลงหันไปมองไป๋อวิ๋นเหอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า “ข้าไม่สามารถให้ความรักของเรามาเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในครั้งนี้ หากข้าเลือกเจ้ามากเกินไป ข้าอาจทำให้ราชสำนักตกอยู่ในความเสี่ยง ข้าต้องการให้เจ้าเข้าใจ ข้าอาจต้องทำในสิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึง”
ไป๋อวิ๋นเหอรู้สึกถึงความหนักหน่วงในคำพูดของฉินจิ่นหลง เขาเข้าใจดีว่าในบางสถานการณ์ การรักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐอาจต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ในใจลึกๆ เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะยอมแพ้
“ท่านไม่ต้องเสียสละอะไรหรอก” ไป๋อวิ๋นเหอพูดด้วยเสียงที่มั่นคง “ข้าเข้าใจว่าในฐานะผู้นำ ท่านต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อราชสำนัก ข้าไม่เคยคิดที่จะเป็นอุปสรรคให้ท่านเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าจะรอจนกว่าท่านจะพร้อม”
ฉินจิ่นหลงมองไป๋อวิ๋นเหอและรู้สึกถึงความซื่อสัตย์และความรักที่เขามอบให้ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานั้นไม่เคยร้องขออะไร แต่กลับคอยสนับสนุนเขาเสมอ แม้ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนจะยากลำบาก
“ไป๋อวิ๋นเหอ ขอบคุณเจ้าจริงๆ” ฉินจิ่นหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “หากข้าไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้าคงไม่สามารถทำทุกสิ่งได้”
ไป๋อวิ๋นเหอยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าคิดว่าถูกต้อง ข้าจะอยู่ข้างท่านเสมอ ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยากลำบากเพียงใด”
ในช่วงเวลานี้ ทั้งสองรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทายและการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่พวกเขาก็รู้ว่าความรักและความไว้วางใจที่มีต่อกันจะเป็นกำลังใจในการเดินต่อไป แม้ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของราชสำนักและอนาคตที่พวกเขาต่างหวัง