ตอนที่ 2 หลิวซี

2183 Words
อาจารย์ผู้คุมการคัดเลือกเดินไปหาสตรีผู้นั้นด้วยความนอบน้อม ไม่รู้ทั้งสองพูดคุยอะไรกัน อาจารย์ถึงสั่งให้พวกนางจับไม้สั้นไม้ยาวจับคู่ประลองฝีมือ การทดสอบครั้งที่หนึ่ง การต่อสู้ หลิวซีตัวเล็กผอมบาง นางจับคู่กับศิษย์พี่วัยสิบห้า นางสูงแค่อกของศิษย์พี่นับเป็นเรื่องปกติ ทุกวันเมื่อถึงเวลาเรียนวิชาการต่อสู้ ในช่วงตอนท้ายของวิชาจะต้องออกมาประลองฝีมือ วัดผลที่เรียนมาว่ามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด เข้าใจทักษะวิชาออกกระบวนท่าได้หรือไม่ เด็กหญิงตัวเล็กอาศัยความรวดเร็วว่องไว ในกลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดที่เข้ารวมประลอง วิชาตัวเบานางเก่งที่สุด และมือเท้านางคล่องแคล่วว่องไวจนคู่ต่อสู้จับตามองไม่ทัน ถึงศิษย์พี่จะแรงเยอะกว่าทั้งสูงใหญ่เกินวัย ทว่าต่อยตีไม่โดนนางเลยแม้สักหมัดเดียว หลิวซีอาศัยจังหวะที่คู่ต่อสู้เริ่มผ่อนแรงลง รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดซัดไปที่กลางลำตัว เสียง “พลั่ก!” ดังขึ้น ร่างพลันเซถอยหลัง หมัดสองสามสี่รัวตามมาติด ๆ กันเร็วมาก รู้ตัวอีกทีร่างคู่ต่อสู้ล้มหงายหลังตึงลุกไม่ขึ้นอีก นางจึงเป็นฝ่ายชนะอย่างไร้รอยขีดข่วน จากนั้นคัดมาเหลือยี่สิบคน การทดสอบครั้งที่สอง เกี่ยวกับสมุนไพรทั้งยารักษาและยาพิษ คนซึ่งผ่านการคัดเลือกจะถูกสั่งให้ปิดตา และดมสิ่งที่อยู่ในขวดกระเบื้องทั้งร้อยขวด จะต้องเขียนเรียงลำดับจากขวดแรกจนถึงขวดสุดท้าย แน่นอนว่าต้องมีคนความจำดี และจมูกต้องไวต่อกลิ่นสามารถแยกแยะได้ ทว่านางเขียนได้ถึงร้อยหนึ่งชนิด เรียกเสียงฮือฮาและความประหลาดใจให้แก่ทุกคน ต่างคิดว่าหลิวซีคงพลาดการทดสอบครั้งนี้เป็นแน่ อาจารย์ตรวจกระดาษรายชื่อกลิ่นที่หลิวซีเขียนเรียงครบได้ถูกต้องทั้งหมด มีเพียงหนึ่งอย่างซึ่งเกินมา จึงเรียกนางมาชี้แจง หลิวซีเดินไปหยิบขวดกระเบื้องสีขาวชูให้คนรอบข้างทั้งหมดดู “ขวดใบนี้ข้างในบรรจุปิงเพี่ยน [พิมเสน] ไว้ ใช่หรือไม่” ผู้คนที่ผ่านเข้ารอบนี้มีทั้งมั่นใจและลังเล พลางพยักหน้าตอบรับเพราะกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในข้อนี้ทุกคนไม่มีใครตอบผิดเพราะเป็นกลิ่นแรกที่สูดดมได้ หลิวซียกขวดเปิดออกสูดดม ดวงตาเป็นประกาย แย้มยิ้มออกมา “แต่ว่ายังเจือกลิ่นจางหน่าวบาง ๆ อีกด้วย” แววตาอาจารย์มีทั้งประหลาดใจและชื่นชม “ใช่ เดิมทีขวดใบนี้บรรจุจางหน่าว [การบูร] แต่ใช้หมดแล้ว ล้างทำความสะอาดก่อนเปลี่ยนมาใส่ปิงเพี่ยนแทน เพื่อใช้ในการทดสอบครั้งนี้” อาจารย์ส่งยิ้มละไมให้ด้วยความเอ็นดู “ไม่คิดว่าเจ้าจะแยกแยะออก กลิ่นปิงเพี่ยนแรงถึงเพียงนั้น จางหน่าวแทบจะไม่มีกลิ่นแล้ว” ในรอบการทดสอบครั้งนี้มีเพียงหลิวซีคนเดียวที่ได้คะแนนเต็ม หลังจากนั้นอาจารย์ผู้คุมการคัดเลือกประกาศคนที่ผ่านเข้ารอบ มีคะแนนลดหลั่นลงมาจากอันดับสูงจนได้สิบคน เพื่อเข้าสู่การทดสอบครั้งที่สาม ปามีดสั้น ด่านที่สามในการทดสอบจะตั้งหุ่นไม้สิบตัว เรียงทิ้งระยะห่างกัน แล้วให้ผู้ผ่านการคัดเลือกใช้มีดสั้นปาหุ่นไม้ ถ้าใครปาถูกจุดสำคัญจะได้คะแนนสูง และคะแนนลดหลั่นลงมาตามลำดับจากจุดที่ปาถูก โดยจะปามีดสามครั้ง ในขณะที่เตรียมตัวจะลงมือ หลิวซีพลันมีความคิดผุดขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนที่จะถูกเรียกมาทดสอบมีศิษย์พี่คนหนึ่งเดินมาขอร้องตนให้หลีกทางให้ เพราะนางต้องการชนะในครั้งนี้ หลิวซีครุ่นคิดถามไปว่า หากเป็นผู้อื่นที่ชนะมิใช่ข้าเล่า ได้แต่นึกสงสัยศิษย์พี่ ตัวนางอายุน้อยเพียงสิบเอ็ดขวบ จะไปคว้าชัยชนะได้อย่างไรกัน ศิษย์พี่บอกต่อไปว่าได้ขอร้องคนที่คาดว่าจะชนะไว้แล้วทุกคนล้วนรับปาก หลิวซีไม่เชื่อหรอกว่า เหล่าบรรดาคนที่ศิษย์พี่บากหน้าไปขอร้องจะยอมแพ้สละสิทธิ์ให้หรอกนะ อีกทั้งยังติดสินบนบอกว่า จะมอบสิ่งของให้ถ้าหลิวซียินยอมทำตาม แต่ความจริงแล้วหลิวซีไม่คิดจะออกจากสำนักด้วยอายุยังน้อย ยังอยากศึกษาเล่าเรียนต่อ และอยากให้โอกาสความเป็นธรรมแก่ศิษย์พี่ศิษย์น้องอีกหลายคนมากกว่า นางจึงปฏิเสธไม่รับปากศิษย์พี่ ก่อนเริ่มแข่งขัน หลิวซีคิดทบทวน ตนเองยังเด็กมากควรอยู่ศึกษาเล่าเรียนในสำนัก เมื่อคิดดีแล้วจึงไม่ขอแย่งชิงชัยชนะอีกต่อไป การทดสอบครั้งที่สาม ผู้ผ่านเข้ารอบจะถูกปิดตา และยังมีท่อนไม้สามท่อนกวัดแกว่งไปมา จะต้องเบี่ยงตัวหลีกหลบให้ได้ และต้องปาให้โดนหุ่นที่ตั้งห่างประมาณสามจั้ง [1จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร] หลิวซีตั้งใจปาพลาดตำแหน่งสำคัญไป พวกบรรดาศิษย์ในสำนักไม่มีใครนึกสงสัย เพราะคิดว่านางยังเยาว์วัยย่อมประหม่าในการทดสอบเลยทำให้ได้คะแนนไม่ดี ผลการคัดเลือกหลิวซีได้เป็นอันดับที่สี่รองสุดท้าย อาจารย์คุมการคัดเลือกเรียกทั้งห้าคน ที่ได้ผลคะแนนผ่านเกณฑ์การทดสอบทั้งสามครั้ง ออกมายืนเรียงแถวเบื้องหน้าสตรีสูงศักดิ์ บนโต๊ะของสตรีผู้นั้นมีบันทึกการเรียนที่ผ่านมาของแต่ละคนวางกองเป็นชั้น ๆ และเป็นการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายเพื่อคัดเลือกมาสองคน เป็นผู้คุมกันสตรีสูงศักดิ์ตามที่อาจารย์ได้แจ้งไว้ หลิวซีฟังน้ำเสียงนุ่มนวลของนางในการตั้งคำถาม ทั้งถามแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนนางถามถึงความชื่นชอบอาหารการกิน สนใจอะไรเป็นพิเศษ ความสามารถที่ถนัด อย่างเรื่องทั่วไปดินฟ้าอากาศก็ยังถาม บางคนก็พลิกเปิดบันทึกถามถึงผลการเรียน จนมาถึงเด็กหญิง ปลายนิ้วสตรีผู้นั้นพลิกหน้าสมุดบันทึก เสียงพึ่บพั่บดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ แข่งกับเสียงหัวใจเต้นแรงรัวเร็วดั่งตีกลองของนาง จนรู้สึกกังวลกลัวว่าจะมีคนได้ยิน ทั้งที่เห็นเพียงเงาใบหน้าเลือนรางภายใต้ผ้าคลุม ทว่าท่าทางทุกอากัปกิริยาของสตรีผู้นี้บ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาสามัญ หลิวซีไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น ด้วยความตื่นเต้นประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม่นางน้อยไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงต่อการสัมภาษณ์ครั้งใด เท่าครั้งนี้มาก่อนเลย “เจ้าชอบนอนหรือ ทำไม? ชอบแอบหลับในช่วงทบทวนบทเรียนท้ายวิชา” เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้น ทำให้เด็กหญิงซึ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงกับสะดุ้ง จนใจที่จำคำถามไม่ได้ด้วยความรู้สึกประหม่าตื่นเต้น ร่างกายแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ จำต้องขอทวนคำถามอีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากใต้ผ้าคลุมด้วยความเอ็นดู ยังมีเสียงหัวเราะขบขันอย่างพยายามอดกลั้นแต่กลั้นไม่อยู่ของผู้คนรอบข้าง เด็กสาวได้แต่ก้มหน้าปิดบังความเขินอาย สตรีผู้นั้นก่อนจะทวนคำถามได้พูดปลอบใจไม่ให้นางตื่นเต้น “ข้า…” เด็กสาวรู้สึกลังเลไม่รู้ควรจะตอบอย่างไรดี จะให้บอกตามตรงไปได้อย่างไรว่า หนังสือตำราต่าง ๆ เพียงนางอ่านผ่านตาครั้งเดียวก็จำได้ไม่มีวันลืม จึงอาศัยความอายุุยังน้อยของตน ตอบตามจริงบางส่วนอย่างจนใจ “ข้ารู้สึกง่วงเวลาได้ยินเสียงอาจารย์สอน ชวนเคลิบเคลิ้ม จน..จนเผลอหลับไป” หลิวซีใบหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้างุด มือเล็กบิดชายเสื้อไปมา อาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างถลึงตาใส่นางด้วยความโมโหปนขบขัน อยากจะเขกกบาลแม่หนูน้อยสักครั้ง “นางชอบแอบหลับในห้องประจำ แต่วิชาความรู้ของนางอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมมาตลอด” เสียงหัวเราะทำให้ผ้าคลุมหน้าสั่นไหว “นางยังเยาว์นักเป็นธรรมดาจะซุกซนไปบ้าง” ต่อจากนั้นเป็นคำถามทั่วไปสองสามประโยค หลิวซีเองก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าตนจะผ่านการคัดเลือก แต่ท้ายสุดนางก็ถูกเลือกเพียงผู้เดียว หนึ่งเดียว สร้างความแปลกใจกังขาแก่ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ทั้งเป็นผู้ร่วมแข่งขันรวมถึงเป็นผู้ชมดูเหตุการณ์ และยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เมื่อครั้งแรกที่แจ้งประกาศว่าคัดเลือกเพียงสองคน ไฉนเหลือเพียงคนเดียวได้เล่า ทั้งยัง.. ยังเป็นศิษย์น้องที่คะแนนทดสอบครั้งที่สาม ทำได้ไม่ดีและยังแอบหลับเป็นประจำในห้องเรียนอีกด้วย! ทุกคนได้แต่สงสัยเพียงเท่านั้น ท้ายสุดการตัดสินใจยังเป็นของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ “ยังจำคราวแรกที่ข้าพบเจ้าได้กระมัง” น้ำเสียงยังนุ่มนวลคงเดิม ย้อนคิดถึงคราวแรกที่หลิวซีไม่รู้ว่าตนเองถูกฮองเฮาเลือก จนมารู้ในภายหลังทั้งตกใจประหลาดใจและไม่เข้าใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยปากถามพระนางได้ว่าเพราะเหตุใดถึงเลือกตน “จำได้เพคะ” สองตาฮองเฮาเป็นประกายพินิจพิจารณาหญิงสาวแรกรุ่นตรงหน้า จากเด็กสาวเยาว์วัยที่เติบโตอยู่ข้างกายนางมาอย่างดี กล้าหาญเฉลียวฉลาด แววตาที่มองเต็มไปด้วยความชื่นชมและภาคภูมิใจ “ข้าเลือกเจ้า เพราะข้าเห็นถึงความซื่อบริสุทธิ์จริงใจในแววตา ทั้งเป็นคนเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และตั้งแต่รู้จักกันมา ทำให้ข้ารู้สึกว่าเลือกคนไม่ผิด” หลิวซีรับฟังคำชื่นชมจากฮองเฮาด้วยความตกตะลึง ทิ้งตัวคุกเข่าลงเบื้องหน้า “เป็นเพราะความเมตตาน้ำพระทัยดีงามของพระองค์ที่เผื่อแผ่ชุบเลี้ยงหม่อมฉันตั้งหาก หม่อมฉันไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น มิบังอาจรับคำชมที่เกินจริงเช่นนี้ได้ หม่อมฉันขอขอบคุณความเมตตาการุณย์ที่พระองค์มีต่อหม่อมฉันมาโดยตลอดอย่างสุดซึ้งหาใดเปรียบ” น้ำเสียงกังวานใสเอ่ยอย่างจริงจัง หัวใจดวงน้อยรู้สึกอุ่นร้อน ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อ “ข้าเห็นเจ้าเหมือนญาติสนิท พูดจามิต้องเกรงใจไป มานี่สิ” น้ำเสียงเจือความเอ็นดู กวักมือเรียกหลิวซีลุกขึ้น ให้เดินเข้ามาใกล้ ฮองเฮาดึงมือนางมากุมไว้ ถึงจะมีรอยยิ้มแต่แววตาหม่นหมอง “เราสองคนไม่เคยต้องพลัดพรากกันนานขนาดนี้มาก่อน คราวนี้เจ้าไปไม่รู้อีกกี่ปีจะได้กลับมา ข้ารู้สึกใจหาย ไปไกลถึงชายแดนเหนือ อดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ มิหนำซ้ำยังไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ต้องลำบากกายใจ ข้าช่างเป็นคนไม่ดีเลยจริง ๆ ” “พระองค์อย่าได้กล่าวตำหนิตนเองไปเลย…” หลิวซีเอ่ยปาก แต่พระนางยกมือห้ามไว้ ฮองเฮาตบที่นั่งด้านข้างให้หลิวซีนั่งลง นางทรุดนั่งเคียงข้างอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้ตัวเองดี ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่รักและเป็นห่วงเจ้าดุจน้องสาว ได้แต่หักใจส่งเจ้าไปในนามตัวแทนของคนที่อยู่แนวหลังในราชสำนัก ไปช่วยดูแลทหารซึ่งอยู่แนวหน้าเหล่านั้น” หลิวซีพยักหน้าพร้อมรับคำ จะทำตามความตั้งพระทัยของฮองเฮาไม่ทำให้พระนางผิดหวัง ฮองเฮายกมือลูบใบหน้าอ่อนเยาว์งดงาม มองนางอย่างอ่อนโยน ตอนนี้ยังไม่เจริญเติบโตเต็มวัยสาว เฉกเช่นดอกบัวตูมรอคอยวันเวลาแรกแย้มผลิบานอย่างสวยงามเท่านั้นเอง “แต่ข้ายิ่งเห็นแก่ตัวมาก ๆ ข้าตั้งใจให้เจ้าช่วยดูแลแม่ทัพเซียว ส่งข่าวคราวเรื่องของเขาเล่าให้ข้าฟังบ่อย ๆ อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาเป็นคนดื้อรั้นไม่สนใจตัวเอง บาดเจ็บจากการสู้รบบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยส่งข่าวให้ข้ารู้เลย เฮ้อ! คงต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้าช่วยดูแลแทนข้าที” ฮองเฮาทอดถอนใจ แววตาเหม่อลอย ใบหน้ามีแต่ความกลัดกลุ้มกังวล แม่ทัพเซียว หรือเซียวชงอวี้ เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของฮองเฮา มีตำแหน่งสืบทอด เฉิงเหวยกั๋วกงซื่อจื่อ ทั้งรับตำแหน่งทางราชสำนักเป็นแม่ทัพเอกขั้นสาม เมื่อหกปีก่อนได้หลบหนีออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมกองทัพ ทว่าทั้งเฉิงเหวยกั๋วกงและภรรยา บิดามารดาของเซียวชงอวี้ไม่มีใครว่ากล่าว อีกไม่กี่เดือนต่อมาบิดายังขอลาออกจากราชสำนักในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ผู้บังคับบัญชาการเหล่าทัพ และส่งมอบอำนาจต่อฮ่องเต้แล้วออกเดินทางท่องเที่ยวในใต้หล้า เรื่องราวทั้งหมดสร้างความกลัดกลุ้มและเป็นห่วงให้แก่เซียวฮองเฮาหรือ เซียวเหยา ผู้เป็นบุตรสาวคนโตยิ่งนัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD