เซียวชงอวี้รู้สึกตัวตื่น เพราะอาการปวดหัว เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วตัว ทั้งหนาวสั่นสะท้าน แต่ร่างกายกลับร้อนเหมือนไฟลวก พิษบาดแผลทำให้ไข้ขึ้น สีหน้าแดงก่ำ
รู้สึกกระหายน้ำ
ชายหนุ่มยันกายนั่ง มองรอบตัวด้วยแววตาสับสน ต้องใช้เวลาชั่วครู่ ถึงนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก้มมองร่างกายหน้าอกเปลือย มีผ้าพันแผลสีขาวมัดปมเรียบร้อย
กองไฟเป็นความอบอุ่นเพียงสิ่งเดียว อากาศยามค่ำคืนหนาวเย็น เสื้อเขาหายไป กลับเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสตรีคลุมร่างเขาแทน มือปัดเสื้อพ้นจากตัว
แววตาเย็นชามองรอบถ้ำที่ไม่คุ้นตา อีกฟากของกองไฟ ปรากฏเงาร่างคู่หนึ่งนอนเคียงกัน เขาลองขยับแขนขยับขาไม่มีส่วนใดแตกหัก แค่บาดแผลภายนอกนับว่าเล็กน้อยไม่หนักหนา
เหลือบเห็นกาน้ำ ปลาย่างห่อใบไม้ ขวดกระเบื้องเคลือบสองใบวางอยู่ด้านข้าง จับกาน้ำเขย่าดูมีน้ำอยู่ข้างใน ยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย
หยิบขวดขึ้นมามองอย่างสงสัย เปิดออกมาดมได้กลิ่นสมุนไพรเจือกลิ่นหอมของบุปผา ตัวอักษรเขียนติดอยู่ว่า
ขี้ผึ้งทาหน้า และอีกขวด ขี้ผึ้งทาผิว
เขาย่นคิ้วงุนงง ก่อนวางลง ในใจนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
นางคงรู้แล้วสินะ ว่าเขาไม่ใช่กลุ่มโจรพวกนั้น ทั้งยังรู้ว่าเขาเป็นทหารจากตรานี้ เซียวชงอวี้มองตราประจำตำแหน่งซึ่งวางไว้ข้างตัว
มิหนำซ้ำยังมีความรู้เรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บ สังเกตจากการใส่ยาพันแผล เนื้อผ้าที่ใช้มิใช่ผ้าที่คนทั่วไปจะใช้กัน
ได้กลิ่นยาสมุนไพรมีส่วนผสมชนิดพิเศษชั้นดี มิหนำซ้ำยังราคาแพงซึ่งเขาคุ้นเคยนัก มีเฉพาะใน วังหลวง
เซียวชงอวี้ได้รับรายงานมาก่อนหน้านั้นว่า ทางราชสำนักจะส่งหมอมาให้ รวมทั้งส่งของใช้จำเป็นมอบให้แก่เหล่าทหารขุนศึก และมีผู้แทนพระองค์ซึ่งเดินทางมาในครั้งนี้ เขาไม่ได้สนใจว่าเป็นใคร
หรี่ตามองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แฝงความเหนื่อยล้า นางน่าจะเป็นหนึ่งในหมอที่สมัครมาช่วยกระมัง เมื่อคิดได้ดังนั้น แววตาเขาผ่อนคลายลง
ขบวนผู้แทนพระองค์น่าจะมาถึงเมืองเป่าติ้ง และนางน่าจะถูกพวกโจรจับตัวมา ช่างเป็นความบังเอิญนัก ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกประหลาดใจ
แม่นางอายุน้อย ถึงขนาดพาบรรดาเด็กและสตรีซึ่งถูกขังอยู่หนีออกมาได้ ทั้งยังมีวรยุทธ์อีกด้วย
ท่านพี่ ท่านส่งใครมากันแน่
เซียวชงอวี้ขยับตัวลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกถ้ำ
ฟ้าสว่างแล้ว บรรดานกออกหากินยามเช้า ส่งเสียงร้องสดใสอย่างเริงร่า
หลิวซีตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยระบมไปทั้งตัว ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ อ้าปากหาว
จู่ ๆ ความรู้สึกเฉียบคมเตือนขึ้นมาอย่างฉับพลัน สายตานางมองพุ่งตรงไปในทันที พลางสะดุ้งตกใจ ผุดนั่งตัวแข็งทื่อ เห็นเชียวชงอวี้นั่งขัดสมาธิหลับตาโคจรลมปราณ
นางหลับสนิทไปนานเท่าไรกันแล้ว ถึงไม่ลุกขึ้นมาดูอาการของเขาเลย อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ให้รู้สึกละอายแก่ใจในความเป็นหมอของตนยิ่งนัก
แล้วหันมองเด็กชายตัวน้อยที่นอนขดอยู่ด้านข้าง จึงช่วยขยับแขนขาให้เขานอนอยู่ในท่าสบาย รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่มุมปาก
กองไฟด้านหน้ามอดดับ ไม่รู้ว่าเซียวชงอวี้รู้สึกตัวเมื่อไรและนั่งนานแค่ไหนแล้ว
หลิวซีก่อไฟอีกครั้ง เสียงสะเก็ดไฟแตกดังลั่น “เปรี๊ยะปร๊ะ!” เปลวไฟลุกพลิ้วไหว ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในถ้ำ
หญิงสาวนึกทบทวน นิสัยใจคอของเขาที่เคยได้ยินได้ฟังมา เดิมทีแม่ทัพเซียวเป็นคุณชายมากความรู้ความสามารถ แต่ไม่รู้ว่าหกปีที่ผ่านมาประสบการณ์ใช้ชีวิตภายนอกและในสงคราม จะเปลี่ยนแปลงเขาไปมากน้อยเพียงใด
ขณะที่เหม่อมองกองไฟตรงหน้า
“เจ้าเป็นใคร?”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลิวซีตกใจตื่นจากภวังค์ หันหน้าไปทางต้นเสียง เห็นสายตาคมฉายความสงสัย หญิงสาวนิ่งอึกอัก ดูเหมือนเขารอคอยคำตอบ
“อ๋อ! ข้าไม่ใช่พวกโจรอย่างแน่นอน” นางโบกมือวุ่นวาย “ข้าถูกจับตัวมา บังเอิญหนีมาได้” จึงลุกขึ้นก้าวไปนั่งข้างเขา เอื้อมมือจะจับชีพจรด้วยความเคยชิน พลางกล่าว
“ข้าเป็นหมอ วางใจได้ แผลท่านข้ารักษาให้เอง”
เซียวชงอวี้ชักมือหลบ น้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
บาดเจ็บเพียงภายนอกเขาไม่คิดว่าจะหนักหนาอะไร ที่คาดไม่ถึงกลับทำให้หมดสติได้ คำนวณจากระยะเวลา ผู้ใต้บังคับบัญชาคงกำลังเร่งออกติดตามหา เมื่อนึกถึงภารกิจในราตรีก่อน
เขาเดินไปหาเจ้าตัวเล็กซึ่งนอนหลับอยู่ พลางนั่งยองพลิกใบหน้าพิจารณามองอย่างละเอียด
ดวงหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสา เชื้อสายต่างเผ่า ใบหน้าคล้ายภาพวาดที่เขาได้รับมาก่อน
ย่อมเป็นหลานชายหัวหน้าเผ่าเซียงที่หายหน้าไปเดือนกว่า
ในช่วงเวลานั้นเองมีเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้น ปรากฏผู้คนจำนวนหนึ่งอยู่หน้าปากถ้ำ
หนึ่งในนั้นรีบสาวเท้าขึ้นหน้ามาก่อน โค้งกายทำความเคารพ เบื้องหน้าเซียวชงอวี้
“ในที่สุดก็หาท่านแม่ทัพพบ ตั้งแต่รู้ว่าท่านหายไป ได้แบ่งคนแยกย้ายออกติดตามค้นหา เจออุปสรรคฝนตกหนักการค้นหายากลำบาก ทำให้ล่าช้า ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่” น้ำเสียงเจือความเป็นห่วงในตอนท้าย
เซียวชงอวี้โบกมือ สีหน้าผ่อนคลาย “ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ภารกิจครั้งนี้สำเร็จ หาตัวหลานชายหัวหน้าเผ่าพบแล้ว”
หนึ่งในกลุ่มเดินออกไปส่งสัญญาณ เพื่อให้กลุ่มอื่นที่แยกย้ายกันออกค้นหาก่อนหน้านี้ทราบว่า พบตัวผู้บังคับบัญชาแล้ว
หัวหน้ากองรายงานให้เซียวชงอวี้ ทราบเรื่องการปราบปรามกลุ่มโจรในคืนนั้น ได้ช่วยเหลือหญิงสาวและพวกเด็ก ๆ เรียบร้อยแล้ว บอกจำนวนโจรที่ตาย ทั้งพวกที่ยอมจำนน และพวกหลบหนีที่ตามตัวกลับมาได้จนครบ
ในกลุ่มทหารซึ่งปฏิบัติภารกิจมีเพียงผู้บาดเจ็บแต่ไม่มีใครเป็นอะไร
ได้ส่งเรื่องต่อให้เจ้าเมืองเป่าติ้งรับช่วงงานในหน้าที่ ส่งตัวหญิงสาวกลับบ้าน ส่วนเรื่องสอบสวนลงโทษพวกโจรรอให้เซียวชงอวี้ไปพิจารณาสั่งการ
ยังเหลือกลุ่มเด็ก ๆ ซึ่งยังไม่ยอมแยกย้าย หนึ่งในนั้นบอกว่าจะรอหญิงสาว ที่รับปากจะช่วยรักษาพวกเขาให้หายอาการใบ้
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานต่อไปอีกว่า รองแม่ทัพเจียงผู้รับหน้าที่คุมขบวนจากทางราชสำนัก
แจ้งว่า ผู้แทนพระองค์ได้ถูกลักพาตัวมาด้วย เมื่อค้นหาในกลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือกลับไม่พบคน
เช่นนั้นสตรีผู้นี้น่าจะเป็นผู้แทนที่วังหลวงส่งมา
เซียวชงอวี้หันหน้าไปมองพิจารณาหญิงสาวแรกรุ่นอย่างครุ่นคิด ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้าไม่เรียบร้อย เสื้อผ้ามีแต่รอยคราบสกปรก ทั้งขาดรุ่งริ่ง
แววตาแฝงความสงสัยในการตัดสินใจเลือกคน ของสองสามีภรรยาคู่นั้นในวังหลวง
นี่หรือผู้แทนพระองค์
หลิวซีเมื่อได้ยินคนในกลุ่มพูดถึงตน แล้วยังมองจ้องมา จึงจัดแต่งทรงผมและพยายามจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยที่สุด ค้อมตัวย่อกายอย่างสง่างามพร้อมกล่าว
“ขอขอบคุณพวกท่านมากที่ให้การช่วยเหลือ ข้ามีนามว่าหลิวซี เคยรับหน้าที่เป็นหมอหลวงประจำพระวรกายฮองเฮา ได้รับคำสั่งจากทางราชสำนักให้นำบรรดาหมอที่สมัครใจ มารับตำแหน่งหน้าที่หมอทหารประจำชายแดน และข้าก็เป็นหนึ่งในหมอที่จะเข้ารับตำแหน่งหมอทหาร แล้วพวกท่านคือ…”
ยกเว้นเซียวชงอวี้ ใบหน้าทุกคนที่เหลือมีแต่ความตกใจแกมประหลาดใจ ไม่คิดว่าพวกตนจะหาแม่ทัพเซียว หลานผู้นำเผ่าเซียง และผู้แทนพระองค์ ได้พบพร้อมกันทั้งหมด แววตาเต็มไปด้วยความดีใจ แต่ทว่า
เงียบ
พลันสายตาทุกคนย้ายไปมองเซียวชงอวี้
เขาเพียงกระแอมไอ กล่าวตอบ “พวกข้าเป็นทหารได้รับภารกิจมาปราบปรามกลุ่มโจรพวกนี้”
ตอบเพียงแค่นั้น ไม่มีอะไรมากหรือลดน้อยไปกว่านี้อีกแล้ว
หลังจากนั้นคนทั้งหมดพากันเดินทางออกจากถ้ำ ลัดเลาะมาตามแนวชายป่า เส้นทางไม่ราบเรียบ มีหลุมดินโคลนแอ่งน้ำขังตลอดทางสายเล็ก
ทั้งฝั่งซ้ายขวาเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ บรรยากาศมืดครึ้ม เพราะใบไม้กิ่งไม้บดบังทับซ้อนปิดกั้นแสงตะวันบนท้องนภา ไม่สามารถส่องลอดผ่านลงถึงพื้นดินได้
หนึ่งในทหารบอกว่าเดินจากจุดนี้ไม่ไกลนัก จะพบเส้นทางออกจากหุบเขา ได้จัดเตรียมม้าเอาไว้และยังเป็นจุดนัดพบ
หลิวซีเดินตามหลังจูงมือเด็กชาย ด้วยช่วงขาของเด็กและสตรี ทำให้การเดินทางช้าลง ทุกครั้งที่ก้าวเท้าเหยียบบนดินเลน จะมีโคลนดำเกาะติดรองเท้าเป็นปื้นหนาทั้งหนักอึ้ง ยกขาก้าวเท้าอย่างยากลำบาก
อีกทั้งสภาพอากาศไม่แจ่มใส เต็มไปด้วยความชื้นหลังฝนตก
เด็กชายข้างกายก้าวเดินไม่ทันระวังเหยียบดินโคลนลื่นหกล้ม ขณะที่มือยังจับกับหลิวซี ฉุดรั้งนางให้เสียการทรงตัว มือไม้รีบคว้าหาหลักยึด
พลันมีมือยื่นมาคว้าแขนฉุดรั้งไว้ ในจังหวะที่มือนางคว้าจับแขนเขาเช่นกัน เมื่อช้อนตามอง ประสานสายตากับดวงตาเรียวคม ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง
หลิวซีรีบก้มหน้ากล่าวขอบคุณ ปล่อยมือจากเขา หันไปพยุงร่างบางของเด็กชายขึ้นมา ถามว่าเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่ เด็กชายเพียงส่ายหน้าปฏิเสธ พลางสำรวจมองทั่วร่างเล็กดูว่าบาดเจ็บหรือเปล่า
เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นอะไร พลางย่อกายลงทำท่าจะให้คนตัวเล็กขี่หลัง
เซียวชงอวี้มองดูเหตุการณ์ตรงหน้า เพียงส่งภาษามือ ปรากฏชายหนุ่มร่างกายกำยำ ก้าวเท้ามาอุ้มเด็กชาย แล้วเดินนำออกไป
หลิวซีเหม่อมองไปชั่วขณะ เมื่อร่างสูงเดินออกห่างหลายก้าว พลันได้สติรีบยกชายกระโปรง สาวเท้าเร็วขึ้นไปอยู่ข้างกายเขา
“ขอบคุณท่านมาก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ
สายตาแม่ทัพหนุ่มอยู่ที่หนทางเบื้องหน้า
เงียบ
หลิวซีนึกถึงเรื่องที่ทั้งสองประมือกันท่ามกลางสายฝน มิหนำซ้ำเขายังใช้ร่างกายช่วยคุ้มครองยามร่วงตกลงมา ทำให้ตนเอง และเด็กชายผู้นั้นยังอยู่ในสภาพร่างกายครบสามสิบสองไม่มีส่วนใดบุบสลาย
ที่สำคัญนางยังเสียมารยาทกับเขาอีกด้วย ทั้งถีบหน้าตอนเขามีสติ ทั้งเตะเขาตอนไม่มีสติ ยิ่งรู้สึกละอายใจ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ด้วยนึกว่าเขาเป็นโจรร้ายลักพาตัว
แววตานางวุ่นวายสับสน คิดฟุ้งซ่าน กลัวเซียวชงอวี้จะมีอคติต่อตน เกรงว่าจะคิดเล็กคิดน้อยหาทางกลั่นแกล้ง ด้วยความที่เขามีอำนาจเหนือกว่า
จู่ ๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชายแดนไม่ใช่ที่สุขสบาย สตรีอย่างเจ้าไม่ควรมาเดินเล่น ไม่เหมือนเที่ยวชมดอกไม้อยู่ในสวนอย่างเพลิดเพลินใจ ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ไม่มีใครจะคอยเฝ้าระวังดูแลให้ตลอดเวลาหรอกนะ”
หลิวซีได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งอย่างคิดไม่ทัน ดวงหน้าพลันซีดขาวกลับกลายมาเป็นแดงจัด ลำคอเกร็ง ใบหน้าบึ้งตึง กล่าวตอบ
“ในเมื่อข้าสมัครใจมาเป็นหมอทหาร และได้รับความเมตตาเป็นที่ไว้วางพระทัย ให้มาช่วยเหลือทหารแนวหน้า รู้อยู่แล้วว่าต้องลำบาก ข้าเต็มใจอย่างยิ่งเพื่อช่วยเหลือชาติบ้านเมือง ตัวข้าเองยังพอมีวิชาความรู้ติดตัวอยู่บ้าง คงไม่ลำบากพวกท่านอีกหรอก”
น้ำเสียงแข็งกระด้าง นางรู้สึกไม่พอใจเขามากจริง ๆ ที่ถูกพูดจาสบประมาท
มุมปากชายหนุ่มหยักขึ้น แววตาซับซ้อน “ก็ดี เพียงแต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า อยู่เมืองหลวงสบายกว่าอยู่ที่นี่มากนัก ถ้านึกอยากกลับก็บอก ข้ายินดีให้คนไปส่ง”
“ข้ารู้ อย่างน้อยข้าก็มีประโยชน์ช่วยรักษาบาดแผลให้ท่านได้”
หญิงสาวตอบกลับ รู้สึกหงุดหงิดใจ เขาคงเห็นสภาพทุลักทุเลของนาง ทั้งยังคิดว่าตนเป็นตัวถ่วงอีกด้วย บุรุษอกสามศอกอะไรใจแคบนัก
เมื่อย้อนคิดดูให้ดี บางที่เขาอาจจะไม่อยากให้นางต้องลำบากจริง ๆ ก็ได้ เพราะแค่เดินทางมายังถูกพวกโจรลักพาตัวแล้ว
เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสตรี ไม่พูดถึงความเป็นความตาย แค่ชื่อเสียงก็ย่อยยับ หากรอดชีวิตกลับไปได้ ไม่อาจสู้หน้าต่อสังคม หลายคนที่คิดไม่ตกอาจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายก็มาก
เขาย่อมพูดถูกชายแดนไม่เหมาะกับสตรีบอบบางนั้นละ
“เห็นแก่บุญคุณเจ้า ไม่ได้ปล่อยให้ข้านอนแห้งตากแดดตายไปก่อน ยังมีน้ำใจรักษาตัวให้ข้า ถึงได้หวังดีเตือนอย่างไรเล่า” กล่าวจบเขาสาวเท้าขึ้นหน้าไปเป็นผู้นำกลุ่ม
หลิวซีได้แต่สูดหายใจเข้าลึกแล้วระบายออกมา รับรู้เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ นางคิดทบทวนต่อการมาชายแดนบ่อยครั้ง ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายต้องเจออุปสรรคความยากลำบาก ไม่ว่าการอยู่อาศัยหลับนอน การกินการขับถ่ายล้วนไม่สะดวก
แต่ทำอย่างไรได้ นางเตรียมใจไว้แล้วและเต็มใจอีกด้วย เพื่อทดแทนบุญคุณฮองเฮาที่ชุบเลี้ยงตนมาเป็นอย่างดี อีกทั้งได้ช่วยเหลือบ้านเมือง ชีวิตย่อมมีความหมายไม่สูญเปล่า
หญิงสาวไม่มีความคิดปณิธานอะไรอันยิ่งใหญ่ มีเพียงความรู้ความสามารถ หากมีแรงช่วยได้ย่อมจะช่วยเหลือ
เมื่อทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงจุดหมาย มองดูดวงตะวันน่าจะยามเซิน [15.00 - 16.59 น.] พอดี เส้นทางเล็กไม่ราบเรียบ สูงต่ำลดเลี้ยวทั้งขรุขระเปียกแฉะ ทำให้ใช้เวลาล่าช้าไปพอสมควร
..................................