เห็นหลิวซีเหม่อลอย เหมือนคิดอะไรอยู่ เซียวชงอวี้ไม่คิดจะถามต่อ ก้มอ่านตำราในมือ ไม่มีอักษรตัวใดเข้าหัว ภายในใจกลับคิดไปอีกเรื่อง ต่างคนต่างอยู่ในห้วงภวังค์ของตน
เมื่อนึกถึงพี่สาวผู้สูงศักดิ์ของเขาผู้นั้น ทั้งมีตำแหน่งมารดาของแผ่นดิน เดิมทีนางเป็นเพียงหญิงสาว บุตรหัวหน้าสำนักโด่งดังอันดับหนึ่งในยุทธภพ ถ้าพูดถึงความองอาจสง่าผ่าเผยกล้าหาญ นางต้องเป็นหนึ่งในนั้น
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจประกายในดวงตาหญิงสาวตรงหน้า มีความชื่นชมศรัทธาเต็มเปี่ยม
ทว่า สำหรับเขาแล้วพี่สาว เปรียบเหมือนนางจิ้งจอกจอมบงการชีวิต นางมักจะทำตัวเป็นบิดามารดา และชอบกลั่นแกล้งเขายิ่ง
เมื่อคิดถึงสมัยอ่อนเดียงสา ให้ทั้งรักทั้งแค้น นางมักหลอกใช้ความอ่อนต่อโลกอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเขาอยู่เสมอ
ตอนอายุสี่ขวบ ในช่วงนั้นกำลังช่างพูดช่างเจรจา ตัวอ้วนกลมดั่งซาลาเปาเคลื่อนที
ใบหน้างดงามดุจดอกอิงฮวา [ดอกซากุระ] เมื่อพี่สาวตัวดีพบเจอเขาในแต่ละครั้ง จะกอดรัดฟัดเหวี่ยง ดีดดึงแก้มยุ้ยไปมา เกาะติดหนึบ ไม่ยอมปล่อยตัว ทำเหมือนเขาเป็นตุ๊กตาผ้า
ก่อให้เกิดความรำคาญต้องหาที่หลบซ่อนตัว ขนาดหลบในตู้เสื้อผ้า พุ่มไม้ในสวน พี่สาวตัวแสบยังค้นหาจนเจอ
และที่เลวร้ายที่สุดจับเขาแต่งกายเยี่ยงอิสตรี ถักเปียมวยผม แต่งกายด้วยชุดกระโปรงบานสีชมพูฟูฟ่อง พาออกเดินเที่ยวชมในตลาด ยามบิดามารดาไม่อยู่
ผู้คนเดินผ่านไปมา ต่างเอ่ยปากชมไม่ขาด ว่าเป็น หนูน้อยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เขายังจำภาพเหตุการณ์ครั้งอดีตได้ดี ด้วยความเข้าใจผิดในเพศสภาพ
ใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมตาใสแฝงประกายคล้ายแสงดาว ปากเล็กจิ้มลิ้มอมชมพูระเรื่อ ยิ่งดูยิ่งคล้ายตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมีชีวิต
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ย่อกายเล็กน้อย น้ำเสียงกังวานใสอย่างเยาว์วัย มีรอยยิ้มน้อย ๆ สมเป็นธิดาของหัวหน้าสำนักใหญ่ เวลานั้นยังอยู่ในยุคสงคราม พี่สาวยังเป็นคนธรรมดา แคว้นหลิ่งยังไม่ได้สถาปนาก่อตั้ง
ยามนั้นเขากล่าวขอบคุณคนที่กล่าวชมว่า น่ารักน่าเอ็นดู ในหัวใจดวงน้อยมีแต่ความดีใจ คิดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง
“หน้าตาน่ารัก วาจาอ่อนหวาน กิริยามารยาทงดงาม รู้ความมาก โตขึ้นวาสนาดีแน่ ที่บ้านข้ามีบุตรชาย มาเป็นสะใภ้ให้บ้านข้าดีกว่าไหม แม่หนูน้อย”
ฮูหยินคหบดีบ้านหนึ่ง ยิ้มแย้ม กล่าวออกมา จับมือเล็กป้อมของเขามากุมไว้ คล้ายจริงจังกับคำพูด รีบจับจองตัวไว้ก่อน อย่างทีเล่นทีจริง
“บ้านข้าก็มีหลานชายมากมาย แม่หนูน้อยเจ้าเลือกได้เลย ข้าจะส่งแม่สื่อมาทาบทามหมั้นหมายไว้ก่อน ของหมั้นตามแต่ที่บิดามารดาเจ้าต้องการ”
สตรีสูงวัย ผมขาวโพลนเต็มศีรษะ ใบหน้าเต็มไปริ้วรอยยับย่น แต่งกายด้วยอาภรณ์ล่ำค่า มีผู้ติดตามมากมาย
คาดว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าของที่ดินศักดินา เปี่ยมด้วยอำนาจบารมี ถึงขนาดคว้าตัวเขา แย่งชิงจากฮูหยินคหบดีอย่างไม่ไว้หน้า
หญิงชราถอดกำไลเนื้อดีราคาแพงออกจากข้อมือเหี่ยวย่น สวมคล้องให้เขา กำไลใหญ่กว่าข้อมือเล็กมาก
ฮูหยิบคหบดีก็ไม่ยอมเช่นกัน มิใช่ว่าจะรักใคร่เอ็นดูมาก จนอยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้จริง ๆ กลับกลายเป็นเรื่องเสียหน้าไม่ได้ ดึงมือเล็กกลับคืน ดึงปิ่นปักผมทองคำของตนออก เสียบมวยผมให้เด็กตัวน้อยแทน ปากบอกให้เป็นของขวัญแรกพบหน้า
ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ยื้อแย่งดึงแขนเล็กไปมา คนตัวน้อยตรงกลาง ร่างโงนเงน ซ้ายทีขวาที ทำท่าทางใกล้จะร้องไห้แล้ว มีเพียงเสียงหัวเราะคิกคักของพี่สาวที่เห็นเป็นเรื่องสนุกขบขัน
เหตุใดนางถึงไม่ถูกแย่งตัวไปเป็นลูกสะใภ้บ้านอื่นบ้างเล่า เพราะนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์วางแผนมาดี ปลอมตัวเป็นบุรุษ จึงไม่มีแม่บ้านจวนไหนคิดจะดึงตัวแย่งไป
ยิ่งคิดยิ่งน่าอับอายขายหน้านัก กว่าจะรู้ว่าตนเป็นบุรุษ ต้องถูกนางจิ้งจอกปั่นหัวไปไม่รู้เท่าไร ยังมีวีรกรรมแสบสันอีกมาก
เขาเติบโตมาอย่างแข็งแกร่งเย็นชา เห็นสตรีเหมือนศัตรูนับว่าไม่ผิด ชอบใช้ความอ่อนแออ่อนหวาน วางแผนเจ้าเล่ห์ล่อลวงจิตใจคน
แววตาเปลี่ยนเป็นหม่นขรึม กำตำราในมือแน่น
ครั้งนี้ท่านคิดจะเล่นอะไรกันแน่
“ข้าเคยได้ยินฮองเฮารับสั่งถึงท่านเสมอว่า ยามวัยเยาว์ท่านเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง มักเดินตามติดพระนางไม่ห่าง…”
เสียงกังวานใสกล่าวขึ้น ท่ามกลางความเงียบ หลิวซีแค่อยากหาเรื่องพูดคุยกับเขาอย่างเป็นมิตรไมตรี ไม่คิดว่าจะทิ่มแทงใจดำไปเสียได้
ย้อนนึกถึงเซียวฮองเฮา เคยเล่าเรื่องราวเซียวชงอวี้ในวัยเด็กให้ฟัง หลิวซียิ้มแย้มพูดไป บังเอิญสายตาสบประสานกับ แววตาเย็นชาแฝงความไม่พอใจ
หญิงสาวรีบกลืนถ้อยคำที่คิดจะพูดกลับคืน รู้สึกหวาดหวั่นชั่วขณะ เหมือนลืมไปว่า เขาตัวโตสูงใหญ่ขนาดนี้ ทั้งเปี่ยมล้นด้วยอำนาจบารมี ผู้คนอยู่ใต้บังคับบัญชานับหมื่นนับแสน ย่อมไม่ยินดีรับฟังเรื่องราวในอดีตกับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น นางเสียกิริยาแล้ว
“ข้าไม่ได้เจตนาล่วงเกินขอแม่ทัพเซียวโปรดอภัย เพียงอยากให้ท่านรับรู้ว่าฮองเฮา ทั้งรักและเป็นห่วงท่านมาก ครั้งนี้ที่ส่งข้ามาเพราะต้องการให้ดูแลท่าน หากได้รับบาดเจ็บ..”
เมื่อเจอสายตาที่แฝงความหนาวเหน็บท่ามกลางแสงตะวันร้อนแรง คล้ายความหนาวจะมาเยือนเร็วผิดปกติ หลิวซีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างร้อนตัว กลัวเขาจะตำหนิว่านางเป็นสาเหตุให้ได้รับบาดแผล พูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าไม่คิดจะเป็นต้นเหตุให้ท่านได้รับบาดเจ็บเลย สาบานได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ให้นึกละอายใจยิ่ง เพราะท่านปกป้องข้าถึงมีบาดแผล ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ”
ภายในใจคิดถึงอาการบาดเจ็บของเขา ทั้งรู้แก่ใจดีว่าเกิดจากความเข้าใจผิดไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังนึกตำหนิตนเอง ความรู้สึกผิดย่อมไม่มากก็น้อย
อีกอย่างการเดินทางไปชายแดนต้องพึ่งพาอาศัยชายหนุ่มเป็นหลัก ไม่ควรจะเกิดเรื่องกินแหนงแคลงใจกัน ด้วยนางอายุน้อยกว่าควรโอนอ่อนผ่อนตาม เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าหวังว่าจะใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย
หญิงสาวยกตัวเด็กชายวางลงด้านข้าง ลุงขึ้นยืนค้อมตัวสองมือประสานทับแนบเอวย่อกาย คารวะเซียวชงอวี้อย่างสง่างามตามระเบียบมารยาทแคว้นหลิ่ง
ชายหนุ่มหลุบตาลง ขนตายาวอำพรางแววตา หลิวซีไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของเขาได้
น้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อย บาดแผลนิดหน่อยแค่นี้ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยรึ…” ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เหลือบตามองสบตานางอย่างเย็นชา
“อย่าสร้างปัญหาให้ข้าก็พอ"
ภายในรถม้าเกิดความเงียบวังเวง อึมครึม คล้ายเซียวชงอวี้จะขีดเส้นขวางกั้น แบ่งแยกระหว่างนางกับเขาอย่างชัดเจน ขนาดเด็กชายวัยหกขวบยังสังเกตได้ ให้ระมัดระวังสงบปากสงบคำ
เมื่อเดินทางมาถึงจุดพักม้าเป็นเวลายามเย็น แสงสายัณห์ใกล้ลาลับที่มุมเขาฝั่งตรงข้าม
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ใบหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้ามาทักทายเซียวชงอวี้ด้วยความนอบน้อม ดูคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี รีบกุลีกุจอพามาส่งถึงเรือนพัก
จินเช่อสั่งทหารนำม้าเข้าคอก ทั้งย้ำเตือนดูแลให้อาหารน้ำให้เรียบร้อย เตรียมหญ้าแห้งสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ จัดวางเวรยามเฝ้าไว้ทั้งคืน จากนั้นค่อยแยกย้ายกันพักผ่อน
หลิวซีได้พักอยู่ห้องหนึ่ง กล่าวขอให้เด็กรับใช้ประจำจุดพักม้า ส่งน้ำร้อนมาให้ด้วย ยามนี้รู้สึกระคายเหนียวตัว อยากได้น้ำร้อนสักถังมาก เพื่อผ่อนคลายร่างกายและสงบจิตใจ
เมื่อน้ำร้อนส่งมาถึง หญิงสาวฝากมาฮันไว้กับทหารคนหนึ่งข้างนอก แล้วปลีกตัวเดินเข้ามาหลังฉากกั้น แบ่งระหว่างห้องนอนกับห้องอาบน้ำ
ควันจากน้ำร้อนลอยสูงเหนือถังไม้ใบย่อม
ถังไม้ขนาดกลาง เหมาะสำหรับหนึ่งคนลงไปแช่ หลิวซีลองจุ่มนิ้วลงไป น้ำอุ่นร้อนพอดี
เท้าบางปรากฏร่องรอยตุ่มพองบวมแดงบนผิวขาวเด่นชัด เกิดจากการเสียดสีกับรองเท้า ระหว่างเดินทางตอนอยู่ในหุบเขา
ถึงจะเจ็บปวดแต่นางก็ไม่ปริปากบ่นออกมา กลัวว่าเซียวชงอวี้จะเยาะหยันแค่นี้ก็อดทนไม่ได้แล้ว
จำต้องอดทนต่อความปวดร้าวทั่วร่าง บาดแผลจากคมกระบี่ รอยแดงช้ำผิวถลอกไปทั้งตัว ความลำบากตรากตรำจากการเดินทาง ทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงอ่อนเพลีย
เสียงทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา เหมือนปลดระวางภาระลงได้ชั่วคราว นอนหลับตานิ่งท่ามกลางน้ำอุ่นกำลังดี ควันลอยวนอยู่ในอากาศเป็นสาย เป็นช่วงผ่อนคลายร่างกายที่ดีสุดแล้ว ยังเป็นส่วนตัวมากสุดในยามนี้
หลิวซีเคลิ้มเคลมใกล้จะหลับไป หยาดน้ำเกาะพร่างพราวเต็มใบหน้าขาวเนียนนุ่ม ผิวพรรณสดใสเปล่งประกายเคลือบน้ำแววใส ริมฝีปากแดงดุจผลอิงเถา [เชอรี่] ดูชุ่มชื้นอวบอิ่ม
เป็นภาพความงดงามของโฉมงามอรชร คล้ายสลักจากเนื้อหยกเนียนชั้นดี ที่เหล่าบุรุษมากมายในใต้หล้า หมายไขว่คว้าหามาไว้ในครอบครอง
เดิมที่ใบหน้านางสะสวยอยู่แล้ว เหตุเพราะภัยมักจะเกิดจากคนหน้าตาดี อุตส่าห์ทาผิวให้หมองคล้ำ กลบร่องรอยลดความงดงามลงไปมาก
แต่ยังคงโดดเด่นสะดุดตาอยู่ดี อาจเป็นเพราะบุคลิกลักษณะท่าทาง แสดงออกถึงความสดใสมั่นใจ กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดสายตาผู้คนไม่รู้ตัว
เมื่อจิตใจผ่อนคลายความคิดหวนประหวัดไปถึง เซียวชงอวี้ การเดินทางครั้งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ต้องพึ่งพาอาศัยเขา ยามนี้ควรหลบเลี่ยงการปะทะอารมณ์ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ความไม่เป็นมิตรของชายหนุ่มแสดงออกอย่างชัดเจน
เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก มีแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ถึงขนาดไม่ชอบหน้า ต้องมีปัญหาเกี่ยวกับตัวเขาที่นางไม่รู้ และสาเหตุไม่ได้เกิดจากหญิงสาวอย่างแน่นอน
ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต่างคนต่างอยู่ รอทุกอย่างลงตัวอย่างมั่นเหมาะเมื่อไร นางก็สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้แล้ว ไม่คิดจะให้ตนเองถูกสบประมาทต่อไป ว่าเป็นตัวสร้างปัญหาและไม่คิดจะเป็นภาระตัวถ่วงของใคร
ต้องรีบเร่งแสดงความสามารถ อดทนข่มกลั้นพิสูจน์ตนเองให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งชัดว่าทำได้ ไม่ชอบความรู้สึกถูกดูหมิ่นเลย
พลางทอดถอนใจเพื่อผ่อนคลายความหนักใจลงมาบ้าง
มือขาวผ่องยกขึ้นปาดหยดน้ำที่เกาะบนใบหน้างาม พลันมีเสียงเคาะประตูแจ้งถึงเวลาอาหารค่ำ
แต่งกายมวยผม ทาหน้าทาผิวพรรณให้คล้ำลงเรียบร้อย เปิดประตูเดินผ่านระเบียงชั้นบน ลงมาสู่ห้องโถงรับรองชั้นล่าง แสงโคมส่องสว่างแขวนตามจุดเป็นระยะ มองเห็นผู้คนเหมือนจะมีแค่กลุ่มนางเพียงกลุ่มเดียวเข้าพักในคืนนี้
หลิวซียังไม่คุ้นชินกับพวกเขา อีกทั้งเป็นสตรีเพียงคนเดียว ย่อมมีความรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง ไม่ช้าก็เร็วต้องรู้จักกัน มิหนำซ้ำตนเองยังเป็นตัวแทนของราชสำนัก ไม่สามารถหลบเลี่ยงหนีหน้าได้
เมื่อคิดอย่างปลงตกได้ ก้าวเดินอย่างมั่นคง ไปยังโต๊ะเตี้ย ที่ว่างด้านข้างฝั่งขวามือของเซียวชงอวี้ที่เหลือไว้ให้ ตรงข้ามเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่จุดพักม้า ถัดมาเป็นจินเช่อ ในห้องมีทหารอีกหลายคน นับรวมประมาณยี่สิบกว่าคนได้
หญิงสาวกล่าวทักทายหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ก่อนนั่งลง มองอาหารสามอย่างตรงหน้า จัดเป็นชุดให้แต่ละคน มีสามชั้นตุ๋นน้ำแดง ผัดผักรวมมิตร น้ำแกงไก่ตุ๋น
นางก้มหน้าทานอาหารเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกับใคร ได้ยินเสียงสนทนาของเซียวชงอวี้กับหัวหน้าจุดพักม้า
อาหารเขาแตกต่างจากผู้อื่น เป็นโจ๊กธรรมดาชามหนึ่ง อาหารรสชาติอ่อน งดดื่มสุราเพราะอาการบาดเจ็บ สีหน้าถึงจะซีดขาวอยู่บ้างแต่ดูแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย ขณะพูดคุยสอบถามถึงเรื่องราวภายในท้องถิ่นกับหัวหน้าจุดพักม้า
ในขณะที่นางก้มหน้าก้มตากินคล้ายตั้งใจมาก เสียงเรียกถามดังขึ้น
“แม่นางหลิว คงมาทางเหนือเป็นครั้งแรกกระมัง ไม่รู้จะสะดวกสบายหรือไม่ ในห้องพักมีสิ่งใดขาดเหลือหรือเปล่า หากต้องการสิ่งใดบอกเด็กรับใช้ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
หัวหน้าจุดพักม้าถามขึ้นด้วยความใส่ใจ เขาเป็นชายวัยกลางคน ผอมสูงใบหน้ายาว แววตาแสดงออกถึงความเป็นมิตร
ชายวัยกลางคนนึกเป็นห่วงเห็นนางเป็นสตรีเพียงคนเดียว หากมีสิ่งใดลำบากใจ กลัวจะเขินอายยากจะเอ่ยปากบอกออกมา ตนจึงพูดให้หญิงสาววางใจ ไม่ต้องเกรงใจหากมีสิ่งที่ต้องการ ให้บอกกล่าวได้เลย ยังไม่ทันให้นางได้ตอบ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า
“อาหารที่นี่มีรสชาติธรรมดา ไม่อาจเทียบกับลั่วหยาง ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือไม่”
“ปกติข้าเป็นคนเรียบง่าย ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องมากกับรสชาติอาหาร ท่านอุตส่าห์จัดเตรียมอาหารต้อนรับ ทั้งห้องพักเรียบร้อยดีไม่มีสิ่งใดขาดเหลือ ต้องขอบคุณท่านมากแล้ว”
หลิวซีรู้ว่าเงินซึ่งทางการจัดเตรียมให้ สำหรับจุดพักม้านั้นไม่ได้มีมากมายอะไร ถูกแบ่งสันปันส่วนมาตระเตรียมในแต่ละครั้ง ใช้จ่ายไปกับ ค่าอาหาร ค่าจ้างคนงาน อาหารของสัตว์พาหนะ ให้แก่เหล่าขุนนางที่เดินทางไปมา
หัวหน้าจุดพักม้าพยักหน้าแย้มยิ้มให้ กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหันไปคุยกับเซียวชงอวี้ถึงสถานการณ์ชายแดน เรื่องชาวทูเจวี้ยที่ลอบโจมตีบ่อยครั้ง อาศัยปลอมตัวเป็นโจรปล้นสะดม เที่ยวระรานไปทั่วละแวกชายแดน
พวกทูเจวี้ยสนับสนุนให้การช่วยเหลือกลุ่มโจรร้ายซึ่งผุดขึ้นมามากมาย ให้เหิมเกริมปล้นเข่นฆ่าแย่งชิงทรัพย์สิน เผาบ้านเรือนชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
ยังมีโจรร้ายกลุ่มหนึ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนอย่างมากในแถบบริเวณนี้ ฝากความหวังขอให้แม่ทัพเซียวช่วยปราบปรามให้ที
เซียวชงอวี้รับปากบอกว่าพวกตนกำลังติดตามกลุ่มโจรที่เหลืออยู่ ได้สั่งการยกกำลังพลบางส่วนกำจัดไปแล้วหลายกลุ่ม
ถ้ามีข่าวสารมาใหม่ก็แจ้งให้เขาทราบได้เลย ยินดีจะรีบเร่งช่วยยกกำลังเข้าปราบปราม หัวหน้าผู้นั้นรีบค้อมกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาซาบซึ้งใจ
ในท้องที่ทางเหนือไม่มีใครไม่รู้จักแม่ทัพเซียวชงอวี้ ฉายา อสูรหน้าหยก เมื่อใดยามลงมือต้องได้รับผลสำเร็จทุกครั้ง เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
...................................
สวัสดีค่ะรี้ดแวะทักทายเข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ