ตอนที่ 4 สหายสนิท

1704 Words
หลังล่องเรือผ่านคลองขุดต่อจากนั้นเดินทางด้วยรถม้า หลิวซีคำนวณนับจากวันเวลาและระยะทางแล้ว น่าจะใกล้จะถึงเมืองเป่าติ้ง เกือบสิบห้าวันแล้วที่ออกจากลั่วหยาง การเดินทางล่าช้าเพราะเป็นขบวนขนของสัมภาระ นำไปฝากทหารซึ่งอยู่ชายแดน รถม้าวิ่งตามกันมายาวเหยียดเหมือนงูเลื้อย ธงทิวโบกสะบัดเหนือหลังคารถเป็นสีสัญลักษณ์แคว้นหลิ่ง จุดหมายปลายทางแวะพักแรมค้างคืนที่เมืองเป่าติ้ง แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ตลอดการเดินทางหลิวซีมีหลันฮวาร่วมนั่งรถม้ามาด้วยกัน ทำให้ไม่รู้สึกเหงาและคิดถึงเซียวฮองเฮามากนัก หลันฮวามีใบหน้ากลม หน้าตาน่ารัก ใครเห็นชวนนึกเอ็นดู นางเป็นนางกำนัลในตำหนักคุนหนิง ภายหลังเซียวฮองเฮาเห็นถึงความสามารถ จึงส่งนางไปเป็นผู้ช่วยต้นเครื่องในห้องเครื่องหรือห้องครัวหลวง หลันฮวาอายุเท่ากับหลิวซี เป็นคนช่างพูดช่างเจรจาด้วยวัยเดียวกัน ทั้งคุ้นเคยสนิทสนมตั้งแต่อยู่ในวังหลวง เสียงหัวเราะเฮฮาดังออกนอกรถม้าเป็นระยะ ๆ “เจ้าไม่ได้เห็นกับตาตอนฉวี่กงกง เดินมาพบเซียวฮองเฮาตอนฝึกวิชาใช้แส้อยู่ พระนางเห็นปลายหางตามีอะไรไหว ๆ ข้างต้นไม้ สะบัดแส้ยาวอย่างรวดเร็วเสียงเพี๊ยะดังลั่นกลางอากาศ ตวัดหมวกฉวี่กงกงตกลงพื้น เส้นผมยาวกระจัดกระจายยุ่งเหยิงเต็มหัว เสียงฉวี่กงกงกรีดร้องดังลั่นวัง ตกใจผงะหงายหลังตึงก้นจ้ำเบ้า ปัสสาวะรดราดเต็มพื้น ร้องโอดโอยให้อับอายขายหน้าอีกด้วย ฮาฮา” พลางขยับสองแขนประกอบทำท่าทางสมมุติ การใช้แส้เพื่อเพิ่มอรรถรส พลันเกิดเสียงหัวเราะประสานกันคิกคักของทั้งสอง นางยังเล่าต่ออย่างขบขันจนน้ำตาเล็ด “เจ้าก็รู้นี่ ฉวี่กงกงชอบทำหน้าเชิดเห็นแต่รู้จมูก” หญิงสาวยังเงยหน้าขึ้นสูง หรี่ตามองลงมาแล้วทำจมูกฟุดฟิดเลียนแบบฉวี่กงกง “ทั้งชอบจับผิดเรื่องกฎระเบียบ คนไม่ชอบหน้าทั่ววัง ใครจะคิดว่ามีวันขายหน้าเช่นนี้ได้ รู้ไหมหลังจากนั้นหลายวัน เขาเดินไปไหน มักจะก้มหน้าจนคางติดอก ทั้งยังรีบก้าวเดินเร็ว ๆ กลัวใครจะร้องทักถามไถ่เรื่องราวในครั้งก่อน ฮาฮา” หลิวซีหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง มือกุมท้อง ส่ายศีรษะไปมา “เจ้านี้ช่างกล้านัก เหมือนมาก ช่างเหมือนมากจริง ๆ ฮาฮา เดี๋ยวฉวี่กงกงรู้เข้าเจ้าตายแน่” แล้วทำท่าเอียงนิ้วโป้งปาดเชือดคอตนเอง “เราอยู่ไกลถึงเพียงนี้ เขาไม่รู้หรอก ข้านี่แทบจะกระอักเลือดตายเวลาเจอเขา ทุกครั้งที่เอาขนมแอบไว้ในแขนเสื้อ เดินผ่านฉวี่กงกงเมื่อไร ล้วนถูกเขาจับได้ทุกครั้งเลยเชียว” นางยกนิ้วโป้ง ทำหน้าทึ่งอย่างยอมรับนับถือในความสามารถฉวี่กงกง “เยี่ยมยอด ฝีมือเฉียบขั้นสุดในวังหลวงแล้ว” หลิวซีผลักไหล่สหายสนิท “เจ้านี่นะ ก็สุด ๆ เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าฉวี่กงกงจมูกไวยิ่งกว่าสุนัขเชียว” เรียกเสียงฮาขบขันอีกรอบ เรื่องราวของขันทีคนสำคัญในวังหลวง เป็นเรื่องเล่ากล่าวถึงลับหลังมิได้หยุด พูดได้สนุกปากของเหล่านางกำนัลขันทีน้อย ฉวี่กงกงเปรียบได้ดั่งผู้คุมกฎแห่งวังหลวง เจ้าระเบียบ เคร่งครัด เป็นที่ชวนขวัญผวาสำหรับพวกผู้คนในวัง ทั้งสองคุยเรื่อยเปื่อยจนกล่าวถึงผู้อื่นซึ่งร่วมเดินทางมาด้วย “หลิวซี เจ้าว่าคุณหนูไป๋ซิงเยียนงดงามหรือไม่” “งดงามสิ” หลิวซีเอ่ยออกมาด้วยใจจริง “แต่ข้าว่าเจ้างดงามกว่า” หลันฮวาทำหน้าทำตาทะเล้นขณะตอบ หลิวซีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เสียง “หืม” ดังขึ้นในลำคอ “หน้าตานางงดงามกว่าข้ามาก เจ้าตลกไปแล้ว” หลันฮวาเอื้อมมือจับใบหน้าสหายสนิทพลิกไปมา พลางทำท่าหรี่ตาเอียงคอมอง “ใบหน้านางเล็กแล้ว แต่หน้าเจ้าเล็กกว่านางอีก” หลิวซีปัดมือหลันฮวาออก พลิกหลังมือตน แตะหน้าผากสหายสาว พลางร้อง “เอ” ลากเสียงยาว “เจ้าไม่สบาย ตัวร้อนหรือเปล่านี่” “ข้าไม่ได้ตัวร้อน มันเป็นความคิดของข้า ข้าว่าเจ้างาม เจ้าก็ต้องงามสิ!” หลันฮวาทำท่าค้อนปะหลับปะเหลือกใส่สหายสนิท หลิวซีเบ้ปากมองบน “ทำตัวเป็นสหายสนิทที่แสนดี เจ้าคิดจะประจบเอายาบำรุงผิวหน้าจากข้าใช่หรือไม่” “ข้าพูดเรื่องจริง ตั้งแต่ร่วมเดินทางมาด้วยกันนางพูดกับเจ้ากี่ประโยคกันเชียว” “ต่างคนต่างรีบเดินทาง ทั้งนั่งรถม้าคนละคัน เดี๋ยวอยู่ร่วมกันทุกวันนานวันเข้าก็สนิทกันเอง” “เจ้าน่ะ มองคนในแง่ดี ผู้อื่นเห็นเจ้าเป็นคู่แข่งยังไม่รู้ตัวอีก” หลันฮวาหลุดปากพูด “คู่แข่ง? คู่แข่งอะไรรึ ข้าไปแข่งอันใดกับนาง” หลิวซีย่นคิ้ว ทำหน้าสงสัย หลันฮวารีบปิดปากแสร้งหันหน้ามองออกนอกหน้าต่าง กลอกตา พูดปลายเสียงสูง “แข่งไรไม่มี มีแต่แข่งความสวยเล่าสิ” “เจ้านับวันยิ่งเหลวไหล ไม่ต้องมาประจบเอาใจข้า ยาบำรุงผิวหน้าข้าจะแบ่งให้เจ้าเพิ่มอีกก็ได้ ๆ ” หลิวซีเปิดช่องที่ติดกับผนังออก ล้วงมือหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสองสามขวดยัดใส่มือสหาย หลัวฮวายิ้มแฉ่ง “ข้าน่ะพูดความจริง แต่ในเมื่อเจ้ามอบให้ข้า ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ” “เอาไปเถอะ สูตรนี้ฮองเฮาสอนข้าเอง ยังมีอีกหลายขวด” หลิวซียิ้มน้อย ๆ พูดอย่างใจกว้าง “ไว้ข้าจะทำของอร่อย ๆ ให้เจ้ากิน แลกเปลี่ยนกัน ข้าไม่เอาของผู้อื่นเปล่า ๆ หรอก” สิ่งเดียวที่หลันฮวาพอจะเชิดหน้าชูตาได้คือเรื่องทำอาหาร นางรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีนัก ได้เซียวฮองเฮาสนับสนุนในสิ่งที่รักและชอบ หลันฮวารู้สึกว่าเซียวฮองเฮาไม่เหมือนฮองเฮาผู้อื่นในใต้หล้า เพราะการวางตัวของพระนางแตกต่างจากฮองเฮาต้นแบบโดยสิ้นเชิง พระนางนั้นทั้งเก่งบุ๋นบู๊ ทั้งไม่ถือตัว นิสัยสนุกสนานร่าเริง ถึงอายุจะสามสิบกว่า แต่ยังดูอ่อนกว่าวัยเหมือนยี่สิบอยู่เสมอ ที่สำคัญเซียวฮองเฮาให้ความใส่ใจคนรอบข้าง เมื่อเห็นผู้ใดมีแววเอาดีด้านใดได้ พระนางพร้อมผลักดันสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งหลิวซีและหลันฮวาล้วนชื่นชมพระนางมาก “อาหารที่เจ้าทำข้าชอบมาก อย่าลืมคำพูดนะ” แววตาหลิวซีเป็นประกาย นึกถึงรสชาติอาหารฝีมือของสหาย รู้สึกเหมือนน้ำลายสออยากกินขึ้นมา หลันฮวายิ้มกว้าง ยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกันและกันส่ายไปมา “ข้าเกี่ยวก้อยสัญญาแล้วไม่ลืมแน่” ก่อนจะเข้าสู่เมืองเป่าติ้ง ด้านหน้าประตูเมืองมีคณะเจ้าเมืองเป่าติ้งพาเหล่าข้าราชการท้องถิ่นออกมาต้อนรับ จากนั้นพากันเดินทางเข้าจุดพักม้าเพื่อค้างแรมหนึ่งคืน เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือเพราะเป็นยามบ่าย คิดจะเดินเที่ยวชมบ้านเมืองตลาดร้านค้าของเมืองเป่าติ้ง รองแม่ทัพเจียงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบคุมขบวนการเดินทางในครั้งนี้ เดินเข้ามาหาพวกนาง มีท่าทางสำรวมเล็กน้อยถึงจะมีอายุมากกว่าแต่ก็ให้เกียรติหลิวซี เพราะหญิงสาวมาในนามตัวแทนของเซียวฮองเฮา ทั้งมีตำแหน่งหมอหลวงประจำพระวรกายฮองเฮา และยังเป็นผู้นำบรรดาหมอในขบวนเดินทาง เพื่อช่วยเหลือเหล่าทหารที่บาดเจ็บแนวหน้า ยิ่งทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจ น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยกว่าจะมีหมออาสาสมัครใจสักคนมาทำงานอยู่ชายแดน เพราะต้องตรากตรำทำงานหนักไม่ได้หลับไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน ยิ่งช่วงยามศึกยามสงคราม ต้องทำงานรวดเร็ว แม่นยำแข่งกับเวลา ผู้เจ็บป่วยมีจำนวนมากหมอมีจำนวนน้อย ทุกชั่วยามคือลมหายใจของผู้ป่วยจะปล่อยให้ล่าช้าไม่ได้ ต้องอุทิศทั้งกายและใจเพื่องานในหน้าที่ ค่าตอบแทนก็น้อยนิด รองแม่ทัพมองดูหลิวซี นางอายุยังน้อยเท่ากับบุตรสาวคนโตของเขา ที่สำคัญหาสตรีซึ่งเป็นหมอนั้นยากยิ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นหมอประจำพระวรกายของฮองเฮาอีกด้วย ทั้งที่นางจะเลือกอยู่อย่างสบายก็ได้ แต่ยอมอดทนมาลำบากถึงชายแดนไกลแห้งแล้งกันดารเช่นนี้ ช่างน่านับถือจริง ๆ “ตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่แม่นางหลิว ออกไปเที่ยวชมเมืองเพื่อผ่อนคลายได้ เดียวข้าจะส่งทหารไปช่วยคุ้มครองให้” “ไม่เป็นไรข้าไปเองได้ คนออกเยอะแยะคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ขอบใจท่านมาก” หลิวซีตอบปฏิเสธความหวังดี อยากเดินเที่ยวเพียงลำพังกับหลันฮวามากกว่า มีทหารร่างสูงใหญ่เดินตามหลังสองสามคน รู้สึกอึดอัดนัก เพราะพวกนางชอบแวะดูของใช้สอยสตรี มีของบางอย่างหมดไปแล้วต้องซื้อหาเพิ่มเติม คงไม่สะดวกถ้ามีบุรุษยืนเฝ้า ความจริงแล้วนางรู้สึกเกรงใจมากกว่า อีกทั้งไม่มีใครในเมืองนี้รู้ว่าพวกนางเป็นใครมาจากไหน “ท่านอย่าลืมต้องรีบกลับมาให้ทันอาหารมื้อเย็นนะ วันนี้ท่านเจ้าเมืองเป่าติ้งจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ” หญิงสาวรับปากจูงมือหลันฮวาออกเดินเที่ยว ระหว่างทางพบกับกลุ่มคนของไป๋ซิงเยียน มีทั้งบ่าวสตรีสองคน และทหารติดตามอีกสี่คน เดินไปทางไหนผู้คนล้วนเปิดทางผ่านให้ เมื่อพบกันจึงแวะทักทายกันสองสามประโยค คุณหนูไป๋ชวนพวกหลิวซีออกเดินเที่ยวด้วยกัน หลันฮวารีบชิงสหายตอบ เพราะกลัวนางจะตอบตกลง หลันฮวาเพียงบอกว่า มีของใช้ส่วนตัวที่ต้องใช้เวลาเลือกซื้อค้นหานาน มิอยากให้พวกนางต้องลำบาก ทั้งไม่ต้องเกรงใจโอกาสในวันหน้ายังมีอีกมาก แล้วทั้งสองจึงรีบปลีกตัวออกมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD