“ทำจองหองอวดดีไป มีดีอะไรกันนักเชียว พวกนางถือว่าฮองเฮาให้ท้ายใช่หรือไม่ ถึงกับไม่ไว้หน้าคุณหนูของข้า”
เสียงแม่นมถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง บ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน
ไป๋ซิงเยียนได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว น้ำเสียงตำหนิจริงจัง “บังอาจ! เจ้าไม่ควรกล่าวถึงฮองเฮาเช่นนั้น อีกอย่างเจ้าจะไปใส่ใจทำไมกัน
พวกนางมีดีจริงแล้วเจ้ามีดีอะไร ไม่ไว้หน้าข้าแล้วอย่างไร มันใช่เรื่องสำคัญที่ต้องสนใจรึ หน้าก็อยู่บนหน้าข้า มิได้เสียหายที่ตรงไหน”
กล่าวจบสาวเท้าเดินขึ้นหน้า ได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกคุณหนู ๆ รอด้วยตามหลังมา
ไป๋ซิงเยียนมิได้ใส่ใจคำพูดแม่นมคนสนิทของมารดาเลี้ยงตน ผู้อื่นแค่เอ่ยปฏิเสธกลับคิดเป็นเรื่องสำคัญจริงจังไปได้ ถ้าจับผิดกิริยาท่าทางผู้คนซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กัน นางไม่คิดมากฟุ้งซ่านอกแตกตายเลยเชียวรึ!
แม่นมถิงหอบไปพลางพูดไปพลาง ด้วยร่างกายที่อวบอ้วนวัยกลางคน วิ่งตามไม่กี่ก้าว ก็เหนื่อยหอบหายใจหายคอแทบไม่ทัน
“คุณหนูบ่าวขออภัย มิได้หมายความถึงฮองเฮาเช่นนั้น แต่ชั้นสกุลเทือกเถาเหล่ากอพวกนางมาจากที่ไหนก็ไม่รู้” แม่นมถิงยังไม่หยุดพูด ซ้ำยังดูหมิ่นชาติกำเนิดหลิวซีและหลันฮวาอีกด้วย
“ขืนเจ้ายังพูดต่อ ข้าจะให้กลับไปรอที่จุดพักม้าเดี๋ยวนี้เลย”
ไป๋ซิงเยียนขมวดคิ้วแน่น แม่นมถิงเป็นคนสนิทซึ่งมารดาเลี้ยงส่งมาให้ดูแล ทั้งยังคอยพูดกรอกหูนางเรื่องเซียวชงอวี้ว่า
ช่างสง่างามหล่อเหลา เก่งกล้าสามารถชาติตระกูลดี เป็นคนรุ่นใหม่ที่อนาคตไกล หากใครได้ออกเรือนด้วยผู้อื่นต้องอิจฉาเป็นแน่
นางยังคงครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจว่า แม่นมถิงยังไม่เคยพบเจอเซียวชงอวี้เลยสักครั้ง ทำไมถึงรู้เรื่องรูปร่างหน้าตาเขาดีปานนั้น
ข่าวลือที่แพร่มามีดีและไม่ดี บ้างบอกเขาโหดเหี้ยม ฆ่าคนเหมือนผักปลา บ้างชมว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ไป๋ซิงเยียนไม่ใช่คนฟังใครพูดแล้วเชื่อ ทุกอย่างต้องมองด้วยตาได้ยินกับหู
คราวนี้นางได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของผู้แทนพระองค์ ตัวแทนของเซียวฮองเฮาและแม่บ้านของเหล่าข้าราชบริพารในราชสำนัก ให้มาแจกจ่ายผ้าห่มเครื่องใช้ไม้สอยให้แก่เหล่าทหาร
ทว่า ความจริงแล้วมาเพื่อดูตัวตั้งหากเล่า คราวแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้ก็ตอบปฏิเสธทันที เพราะเหตุใดต้องมาทำลายชื่อเสียงดีงาม ยอมเดินทางไกลเพื่อบุรุษที่ไม่เคยพบหน้าด้วยล่ะ
ไป๋ซิงเยียนถูกผู้คนในเมืองลั่วหยางกล่าวถึงว่า มีรูปโฉมงดงาม มากความสามารถ มีบุรุษมากหน้าหลายตามาสู่ขอถึงประตูจวนแทบทุกวัน ยังจะให้นางลดตัวมาหาผู้อื่นถึงด่านชายแดนทำไมกัน!
ภายในใจหญิงสาวขมฝาดทั้งอัปยศอดสูยิ่งนัก!
ทว่า มารดาเลี้ยงบอกเล่าถึงความลำบากใจของบิดา ท่านพ่อนางเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ แต่มีความใฝ่ฝันทะเยอทะยาน อยากนั่งตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ยังว่างอยู่
เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้ไท่จงรักใคร่เซียวฮองเฮายิ่งนัก ทั้งเซียวชงอวี้ยังเป็นน้องชายพระนาง หากได้เกี่ยวดองกัน ย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากสองพระองค์ โดยเฉพาะฮองเฮาผู้ครอบครองตำหนักในแต่เพียงผู้เดียว
ทั้งบิดากับมารดาเลี้ยงต่างมาเกลี้ยกล่อมพูดจาหว่านล้อม และใช้อำนาจบีบบังคับท้ายสุดสรุปความได้ว่า
การออกเรือนของบุตรธิดาขึ้นอยู่กับความต้องการของบิดามารดาเพียงเท่านั้น! จะขัดขืนไม่ได้เป็นอันขาด!
ไป๋ซิงเยียนคิดไตร่ตรอง รู้สึกปลงตกในโชคชะตาชีวิต ในเมื่อบิดาไม่ห่วงชื่อเสียงดีงามของบุตรสาว แล้วนางไยต้องใส่ใจชื่อเสียงจอมปลอมนั้นด้วย ความจริงเป็นเรื่องดีเสียอีก การมาชายแดนไกลชีวิตนางจะได้มีอิสระเห็นโลกกว้าง
ดีกว่าถูกขังอยู่ในเรือนดั่งนกน้อยในกรงทอง เพื่อรอคอยวันเวลาเปลี่ยนกรงขังเท่านั้นเอง!
บ้านเรือนร้านค้าตลาดสองฟากฝั่งข้าง เทียบกับความเจริญของลั่วหยางมิได้เลย แต่หากเป็นของสำคัญใช้อยู่เป็นประจำ อย่างพวกเครื่องใช้ไม้สอยกลับมีครบถ้วน ยังพอมีคุณภาพดีกว่าเมืองอื่นที่ผ่านมา เพราะเมืองเป่าติ้งถือเป็นเมืองเอกของมณฑลเหอเป่ย
ผู้คนทางเหนือชายหญิงล้วนรูปร่างจะสูงใหญ่กว่าคนต่างถิ่น เมื่อพวกหลิวซีเดินสวนผ่าน มักเป็นจุดสนใจให้ผู้คนเมียงมอง จากการแต่งกายที่แตกต่าง เสื้อผ้าที่พวกนางใส่ล้วนดูมีราคาทั้งงดงาม อีกทั้งหน้าตายังโดดเด่น
ทำให้มีชายหนุ่มบางคนถึงกับเหม่อลอยเดินชนเสาค้ำหน้าร้านข้างทาง ล้มคะมำหน้าคว่ำ เรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้พบเห็น
หลันฮวาอมยิ้มหรี่ตามอง กระตุกชายเสื้อให้สหายชวนดูเรื่องขบขัน
หลิวซีขมวดคิ้วครุ่นคิด “ข้าว่าจะแวะร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปสักหน่อย ชุดพวกนี้ไม่เหมาะที่จะใส่บ่อยนัก”
นางไม่ชมชอบอาภรณ์ของตนเอง ดูจะโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป ย้อนนึกถึงยามเก็บเสื้อผ้าเพื่อจะออกเดินทาง ขณะที่นางกำลังขมีขมันพับเสื้อผ้าเก็บลงหีบไม้นั้น
จู่ ๆ มีนางกำนัลในของฮองเฮาเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงรื้อชุดที่นางพับเก็บเรียบร้อยเป็นอย่างดีออกจากหีบ แล้วใส่ชุดสวยงามราคาแพงลงแทน
ฮองเฮามีรับสั่ง ต้องนำเฉพาะชุดซึ่งพระนางเลือกให้ไปเท่านั้น
หลิวซีถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้มิออก หญิงสาวมาเพื่อทำงานจะแต่งตัวสวยงามไปให้ใครชม ยิ่งชุดของนางดูจะงดงามมากกว่าของหลันฮวาเสียอีก
อีกทั้งยังเลี่ยงไม่ได้ที่เสื้อผ้าจะเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ป่วย ถ้าเลอะสกปรกมากต้องเผาทิ้งแน่ นางนึกเสียดายนักยิ่งรู้สึกปวดใจ
หญิงสาวจำต้องเลือกซื้อหาชุดซึ่งตัดจากเนื้อผ้าธรรมดาราคาถูกเพื่อใช้ทำงาน และเลือกซื้อเสื้อผ้าเนื้อดีสักหน่อยไว้ใส่ตามความเหมาะสม ส่วนชุดพวกนี้จำต้องเก็บลงหีบ เสียดายเป็นชุดพระราชทานคืนไม่ได้และขายไม่ได้อีกด้วย ให้รู้สึกจนปัญญา
“ข้าก็มีความคิดคล้ายกับเจ้า เสื้อผ้าที่พวกเราใส่ดูไม่เหมาะสมกับสถานที่จะไปอยู่จริง ๆ ทว่าเจ้ามาในนามหัวหน้าผู้แทนพระองค์ข้าเป็นผู้ช่วย
อย่างไรต้องคำนึงถึงการแต่งกายเหมาะสมเพื่อมิให้ใครหมิ่นเกียรติพระองค์ได้ ดังนั้น พวกเราต้องใส่เปิดงานก่อน แล้วค่อยใส่ชุดอื่น เจ้าเห็นเป็นเช่นใด” หลันฮวาเสนอความคิด
หลิวซีผงกศีรษะให้อย่างไม่คิดมาก เพราะนางคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าก่อน
ร้านขายเสื้อผ้าเป็นร้านใหญ่ที่สุดของเมืองเป่าติ้ง พวกนางได้ถามไถ่จากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ทั้งสองหยุดยืนหน้าร้านมองไปข้างใน มีผู้คนจำนวนหนึ่งเลือกดูสินค้า ไล่กวาดสายตามองชั้นใส่สินค้าทั้งสองฝั่งผนังและบนโต๊ะยาวขั้นกลาง
มีทั้งวางทั้งแขวนเสื้อผ้าสำเร็จรูป และผ้าพับวางซ้อนกันเรียงราย มีสีสันสวยงามมากลวดลาย เนื้อผ้าแตกต่างราคาย่อมต่างกัน ให้เลือกดูหลากหลายอย่างละลานตา
แต่ก็ไม่มีอาภรณ์ชุดไหน หรือผ้าพับใดจะดูดีมีราคาเทียบกับชุดซึ่งพวกตนสวมอยู่
หลงจู๊ประจำร้านเดินมาต้อนรับพวกนาง ถึงกับมองตาเป็นประกายเอ่ยปากชมชุดที่พวกนางใส่
ช่างหาได้ยากนักที่จะมีคนใส่เนื้อผ้าเนื้อดีไม่มีที่ติในเมืองเป่าติ้ง ต่อให้เป็นฮูหยินบุตรหลานของขุนนางใหญ่ หรือคหบดีใหญ่ในเมืองเป่าติ้งก็ตาม
ชุดดีมีราคาย่อมใส่เฉพาะมีเทศกาลงานสำคัญ มิใช่ใส่เที่ยวเดินเล่นดูตลาดเช่นนี้
พวกนางต้องเป็นบุตรหลานคนสูงศักดิ์ในเมืองลั่วหยางเป็นแน่ ฟังจากสำเนียงกล่าวเจรจา
หลันฮวาเดินดูทางนั้นทีทางนี้ที ด้วยความสนใจ พร้อมหยิบจับยกขึ้นมาดูลายผ้า ขณะที่เดินห่างจากหลิวซีออกไปอีกฝั่ง
จู่ ๆ ได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นหน้าร้าน
หลิวซีรีบมองหาสหายนึกกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น รีบปราดมาหน้าร้าน พลันเห็นหลันฮวาถลกกระโปรงขึ้น กำลังวิ่งไล่ตามอะไรสักอย่าง พลางยกมือชี้นิ้วไปข้างหน้าส่งเสียงร้องตะโกนลั่นด้วยความโมโห
“เจ้าเด็กหัวขโมย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ๆ !”
หญิงสาวรีบวิ่งตามคว้าแขนสหาย เอ่ยถามด้วยความกังวล “เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้น?”
“เพ้ย! เจ้าเด็กหัวขโมยนั่น ขโมยถุงเงินข้าไป” หลันฮวาตอบด้วยน้ำเสียงเดือดดาลทั้งร้อนใจ สายตายังคงจับจ้องเงาร่างเล็ก ซึ่งกำลังจะวิ่งหายลับไปตรงหัวมุมถนน
หลิวซีไม่ถามอะไรมากความ รีบวิ่งแซงขึ้นหน้าหลันฮวา ทั้งยังวิ่งเร็วกว่าสหายมากนักทิ้งห่างออกไปไกล
ได้ยินแต่เสียงเรียก “ซีซีรอข้าด้วย” ตามหลังมา ในขณะที่หลันฮวายังคงติดขัดหลบหลีกผู้คนซ้ายขวา ยิ่งทำให้ช้าลง พอเงยหน้ามองอีกที ก็ไม่เห็นเงาร่างหลิวซีแล้ว
ในเวลาเดียวกัน หลิวซีไล่ตามเด็กหัวขโมยเลี้ยวเข้ามาในตรอก เห็นท้ายตรอกไม่มีทางไป พริบตาที่ใกล้จะเอื้อมมือคว้าไหล่ได้แล้ว จู่ ๆ มีเด็กประมาณสามสี่คนไม่รู้โผล่มาจากไหน ดึงแขนกอดขาซ้ายขวาของนาง
หญิงสาวพยายามสะบัดไปมาเพื่อให้หลุด แต่เด็กพวกนี้เกาะติดหนึบยิ่งกว่ากาวแป้งเปียก ขณะคิดว่าจะลงมือใช้ความรุนแรงดีหรือไม่ พลันมีผ้าเช็ดหน้าโปะเข้าที่จมูกนางอย่างไม่ทันตั้งตัว เผลอดมยาสลบซึ่งใส่ในผ้าเข้าไป
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิวซีเลื่อนลอยค่อย ๆ ปิดลง ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบ