เมื่อฟื้นตื่นขึ้นมาหลิวซีรู้สึกมึนงง สับสนไปชั่วขณะ เมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพได้แล้ว รู้สึกเจ็บจึงก้มมอง เห็นข้อมือและข้อเท้าถูกมัดแน่น นั่งเอนหลังพิงผนังอยู่ในห้องซึ่งมืดสลัว
พอมองเห็นได้อย่างเลือนราง มีลำแสงจากคบไฟภายนอกส่องลอดตามช่องประตูหน้าต่าง
หลิวซีพยายามนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายวิ่งไล่ตามเด็กคนหนึ่งเข้ามาในตรอก และเจอพวกเด็ก ๆ รุมล้อมจับ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก น่าจะถูกจับขังมาไว้ที่ …
ห้องเล็กคับแคบมีกลิ่นอับชื้นพื้นเย็นเฉียบ ผนังก่อจากดิน หญิงสาวกวาดตามองภายในห้อง เห็นตะคุ่ม ๆ คล้ายเงาร่างกลุ่มคน จึงหรี่ตามองให้ชัดเจนท่ามกลางแสงเลือนราง เห็นเป็นกลุ่มเด็กและสตรี
ทั้งน่าจะเป็นพวกเด็กที่รุมจับนางอีกด้วย
นับจำนวนเด็กได้แปดคนซึ่งนอนเรียงกันบนกองฟางแห้ง ๆ มีผ้าเก่าบาง ๆ คลุมตัวอยู่ ถึงจะมองไม่ชัดแต่ได้กลิ่นเชื้อราจากผ้า น่าจะสกปรกมากความเป็นอยู่ย่ำแย่
หลิวซีส่งเสียงถามพวกเด็ก ๆ เหล่านั้นว่าจับตัวนางมาทำไม เสียงตอบกลับมามีแต่ความเงียบ เด็กพวกนั้นไม่พูดทั้งไม่สนใจอีกด้วย คล้ายแสร้งว่านอนหลับ
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น พลันแว่วเสียงร้องไห้เบา ๆ มาจากมุมห้องเป็นสตรีสองนาง คนหนึ่งดูตัวสูงและอีกคนตัวเล็กกว่า น่าจะถูกจับมาเหมือนกันเพราะมือเท้าล้วนถูกมัด จึงถามพวกนางว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมซักไซ้ถามความเป็นมา
สตรีผู้น่าสงสารทั้งสองบอกเล่าด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น เมื่อวานนี้พวกนางสองพี่น้องออกมาเดินซื้อของในตลาด จู่ ๆ ก็ถูกพวกโจรจับตัวมา
ทั้งสองเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาในเมืองเป่าติ้ง คาดว่าน่าจะถูกจับตัวมาขาย
หลิวซีปลอบใจ พลางครุ่นคิดหาวิธีหลบหนีออกจากที่นี่ เมื่อซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับพวกโจรที่จับตัวมา พวกนางจำได้เพียงพบพวกเด็กเหล่านี้รุมล้อมขอทาน พอไม่ทันระวังตัวก็ถูกวางยาสลบโดนจับมาขังไว้ นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีก
หญิงสาวพยายามฟังเสียงนอกห้อง แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ คาดว่าไม่มีคนเฝ้า เด็กพวกนี้น่าจะจับตาเฝ้าพวกนางอยู่ รู้สึกข้อมือข้อเท้าที่ถูกมัดเกิดอาการเหน็บชา จำต้องขยับตัว พลันรู้สึกว่าชนถูกอะไรบางอย่าง เอียงหน้ามองเห็นเด็กชายตัวเล็กอายุน่าจะประมาณหกเจ็ดขวบ
มือเล็กยื่นแผ่นแป้งแข็งมาให้ตรงหน้า หลิวซีย่อมจำได้ เป็นเด็กน้อยที่ขโมยถุงเงินของหลันฮวาไป นางขมวดคิ้วมองนิ่ง เหตุใดพวกเด็กอายุน้อยเหล่านี้ถึงริอ่านเป็นขโมยไปได้
“พวกเขาน่าจะเป็นใบ้ ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
หญิงสาวตัวสูงสงบใจลงได้บ้างแล้ว พูดบอก “เด็กคนนี้เอาแป้งย่างมาให้พวกข้ากินเหมือนกัน แต่ไม่พูดไม่จา ทุกคนล้วนไม่พูด”
หลิวซีพลันเข้าใจ ถึงข้อมือจะถูกมัดอยู่ ยังสามารถคว้าจับข้อมือเด็กน้อยไว้ได้ เด็กชายตื่นตระหนก ปล่อยแผ่นแป้งตกพื้น ทั้งพยายามดึงมือกลับ แต่นางจับไว้แน่น
“ไม่เป็นอะไรนะ ใจเย็น ๆ ข้าไม่ได้ทำอะไร ไหนขอข้าจับชีพจรดูหน่อยว่าพอจะช่วยพวกเจ้าได้หรือไม่” หญิงสาวใช้น้ำเสียงอ่อนโยน กล่อมให้เด็กน้อยน่าสงสารยอมรับฟัง
เด็กน้อยหยุดการเคลื่อนไหวสองตาจับจ้องดูการกระทำของหลิวซี
“เจ้าถูกพิษใบ้ จะต้องฝังเข็ม และต้องกินยาถอนพิษ ข้าพอรักษาได้”
เมื่อพวกเด็ก ๆ ที่แสร้งนอนหลับอยู่นั้นได้ยิน พากันหูผึ่ง อดตื่นเต้นไม่ได้นอนดิ้นขลุกขลักไปมาใต้ผ้าห่ม ลังเลว่าจะลุกดีหรือไม่
แท้จริงแล้วพวกเขาแอบฟังจับสังเกตการณ์กระทำเงียบ ๆ ด้วยความที่อายุยังน้อย จึงเก็บอารมณ์ความตื่นเต้นประหลาดใจไว้ไม่อยู่
เมื่อเห็นคนหนึ่งลุกก็ลุกตาม ถึงจะถูกเสี้ยมสอนให้เป็นขโมย แต่จิตใจก็ยังเป็นเด็กไม่มีความคิดซับซ้อนมากเท่าผู้ใหญ่
ท่าทางตื่นจากนอนคล้ายยังไม่ได้นอน แทบจะวิ่งกระโดดโลดเต้นมาหา พยายามส่งเสียง “ฮือฮือ” เค้นลมออกจากลำคอ
เข้ามารุมล้อมจับมือดึงแขนหลิวซีเขย่า พอคิดว่าตนมีทางหายจากอาการใบ้ หัวใจดวงน้อยเดิมทีมืดมนกลับมาสั่นไหวอีกครั้ง คล้ายมีแสงสว่างถูกจุดประกายขึ้นมาใหม่
ในกลุ่มเด็กเหล่านี้มีอายุระหว่างหกถึงสิบสองขวบ มีทั้งชายหรือหญิง เด็กชายที่ตัวโตสุดเคลือบแคลงสงสัยกลัวว่าจะถูกหลอก มีท่าทางระวังตัว ดึงตัวเด็กชายที่หลิวซีจับชีพจรให้อยู่เมื่อครู่กลับคืนมา
เด็กทั้งกลุ่มล้อมวงเจรจาใช้การสื่อสารทางมือแทนคำพูด ขยับมือขยับแขนไปมาแสดงออกถึงการถกความเห็นกันว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่ ทั้งหันหน้ากลับมามองหลิวซีบ่อยครั้ง
หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ พูดออกมา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากังวลใจด้วยเรื่องใด คิดว่าข้าหลอกหรือ ข้าเป็นหมอจริง ๆ ทั้งสามารถช่วยพวกเจ้าได้ หากมิเชื่อข้าจะรักษาให้พวกเจ้าดู”
หลิวซีถามหาล่วมยาที่นางพกติดตัวมา เด็กชายตัวโตมีท่าทีลังเล แต่เด็ก ๆ ซึ่งยืนล้อมรอบตัวเขา พลางกระตุกชายเสื้อคล้ายอ้อนวอนทั้งแฝงความคาดหวัง
“หากยังไม่รีบรักษาไม่ใช่แค่พูดไม่ได้ตลอดไปเท่านั้น เมื่อสะสมพิษมาก ๆ เข้า ร่างกายจะอ่อนแรงลง แขนขาลีบ ท้ายสุดจะเป็นอัมพาตนอนติดเตียง”
เสียงพูดช้า ๆ อย่างชัดเจนกลับกระแทกลงไปในจิตใจพวกเด็กเหล่านั้น ให้เกิดความรู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัว มือเล็ก ๆ จำนวนมาก แทบจะรุมทึ้งฉีกกระชากเสื้อผ้าเด็กชายตัวโต จนร่างส่ายไหวโงนเงน ได้ยินเสียงผ้าขาดเป็นระยะ
“เจ้าสามารถยึดล่วมยาข้าก่อนก็ได้ เพียงขอของไม่กี่อย่างเพื่อใช้รักษาเท่านั้น”
หญิงสาวมองดูเหตุการณ์อย่างใจเย็น รอไม่นาน เด็กชายตัวโตเหมือนตัดสินใจได้ พยักหน้าแล้วเดินออกไปกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมล่วมยา หลิวซีพูดขอแค่ห่อผ้าที่ใส่เข็ม
ยามที่เด็กชายกลับมา ยังถือเทียนติดมือมาด้วย ภายใต้แสงสว่างสีเหลืองนวล
หลิวซีขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นสภาพของพวกเด็กทั้งชายและหญิง ใบหน้าเล็ก ๆ มอมแมม แววตาหม่นหมอง เสื้อผ้าเก่าขาดเต็มไปด้วยคราบเปื้อนดำสกปรก ชีวิตที่ผ่านมาคงลำบากมากนัก
“ข้าต้องฝังเข็ม เพื่อกระตุ้นกรุยเส้นลมปราณที่ติดขัดให้หมุนเวียนได้ดีขึ้น แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะต้องใช้ยารักษา ตัวข้าไม่มียาถอนพิษจะต้องทำขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ถึงแม้จะพูดได้ สักพักพิษกำเริบอาการใบ้ก็กลับมาอีก พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
แววตาพวกเขากระเพื่อมไหวเต็มไปด้วยความหวัง พากันพยักหน้า “หงึก ๆ ” สื่อความหมายว่าตกลง
ในช่วงเวลาเดียวกันด้านหน้าประตูค่าย
ค่ำคืนที่มืดมิด ลมบนพัดแรง พยับเมฆดำเคลื่อนไหวรวดเร็วทับแสงจันทร์ฉาย เพียงไม่นานเกิดเสียงกัมปนาทอสุนีบาต พายุฝนเตรียมตั้งเค้าใกล้จะตกลงเต็มที
ปรากฏกลุ่มบุรุษสองกลุ่มยืนประจันหน้ากัน ใบหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งเครียด เหมือนอารมณ์ใกล้จะปะทุแตกหักได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์ผิดแผกแผ่กลิ่นอายบรรยากาศนองเลือดปกคลุมรอบด้าน รับรู้ถึงความกดดันหวาดระแวงเพิ่มขึ้น
เมื่อมองเข้าไปในวงล้อมจะเห็นบุรุษผู้หนึ่งแต่งกายในอาภรณ์สีนิล ยืนเด่นโดดงามสง่าท่ามกลางแสงคบไฟ ใบหน้าเดียวสว่างเดียวมืด มองเห็นแววตาไม่ชัดเจน
รับรู้ถึงรังสีแห่งการฆ่าฟันทำลายล้างเข้มข้นรุนแรง แผ่ออกมาจากร่างเขา ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกใจสั่นสะท้านเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับหายใจหายคอไม่ออก ทั้งไม่กล้ามองสบตา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้ากลับตัวกลับใจยอมมอบตัว หากใครขัดขืนฆ่าทิ้งให้หมด ทั้งลูกเมียพวกเจ้าก็จะไม่เดือดร้อนไปด้วยลองคิดดูให้ดี”
เสียงเขาเต็มไปด้วยอำนาจถือดีดังก้องไปทั่วทิศ ยามราตรีที่ท้องฟ้าปั่นป่วน ยิ่งสั่นคลอนจิตใจ
ฝ่ายกลุ่มโจรมีประมาณครึ่งร้อยเมื่อได้ยินบุรุษผู้นั้นบอกเตือน แววตาหลายคนกระเพื่อมไหวเกิดความกลัวเกรงขึ้นมา มีเสียงพูดกระซิบกระซาบดังขึ้นไปทั่ว
ก่อนหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์บุกรุกขึ้นภูเขามาอย่างเงียบเชียบ พวกโจรไม่ได้รับเสียงสัญญาณแจ้งเตือนจากพวกเวรยาม สร้างความตื่นตระหนกให้แก่พวกมัน
ยังไม่ทันได้ปะทะกัน เหมือนพวกโจรจะถอดใจกันเสียแล้ว
บุรุษยืนนิ่งตระหง่านดุจภูผา ห้อมล้อมด้วยชายฉกรรจ์ประมาณสิบกว่าคน ทั้งกลุ่มดูนิ่งสงบเยือกเย็นทั้งแฝงกลิ่นอายสังหาร เหมือนเพลิงเผาผลาญให้ทุกอย่างมอดไหม้ดับสูญ ที่หาได้ยากยิ่งจากคนปกติทั่วไป
ความรู้สึกเช่นนี้หาได้จากประสบการณ์ในสนามรบเท่านั้น
เมื่อชายหนุ่มเงยหน้า แววตาคล้ายมีประกายไฟยามสะท้อนแสงคบเพลิง ย้อนไปกว่าหนึ่งเดือนก่อนเขาได้รับคำขอร้อง ขอความช่วยเหลือ มีหลานชายของผู้นำเผ่าเซียงถูกลักพาตัวมา ให้ช่วยออกตามหา หากพบเจอและนำตัวกลับมาได้ เผ่าเซียงยินยอมจะให้การสนับสนุนฝ่ายเขา
ข้อตกลงนี้ย่อมเป็นการดีอย่างยิ่ง มีผลต่อการสู้รบกับทูเจวี้ย
หลานชายของหัวหน้าเผ่ามีอายุหกปี ถูกลักพาตัวทั้งสืบได้ว่ามีคนพบเห็นที่เมืองเป่าติ้ง คาดว่าน่าจะถูกพวกค้ามนุษย์จับมาขายเป็นทาสตามตัวเมืองใหญ่ หรือไม่ก็จับมาเป็นขอทานหรือนกต่ออีกที
ภารกิจครั้งนี้เขาและพรรคพวกดำเนินการกันอย่างลับ ๆ แกะรอยจากสายรายงานจากเมืองชายแดน จนมาถึงเมืองเป่าติ้ง
กลุ่มโจรพวกนี้ก่อตั้งมาไม่กี่ปี มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ลักขโมย ฆ่าคนวางเพลิง ปล้นทรัพย์ จับคนไปขายเป็นทาส ขายสตรีหอโคมแดง รวมถึงตั้งกลุ่มขอทานใช้เด็กเป็นนกต่อเพื่อลักพาตัว
ที่ยังไม่ถูกทางการจับได้เสียที คนพวกนี้มักย้ายถิ่นฐานไปมา อาศัยรอยต่อระหว่างชายแดน ทำให้หลบหลีกการกวาดล้างมาได้ สภาพบ้านเมืองใกล้ชายแดนมักจะมีโจรขโมยมากยิ่งกว่ายุงชุม
เมื่อสามปีก่อนพวกเขาขับไล่พวกทูเจวี้ยออกไปปิดจบสงคราม ในใจเขารู้ดีว่าแค่ชั่วคราว เพราะพวกมันเกิดเหตุวุ่นวายภายในเสียก่อน ถึงไม่ได้สู้รบให้รู้ผลแพ้ชนะอย่างเด็ดขาด สงครามครั้งนั้นนำมาซึ่งความสูญเสียให้กันทั้งสองฝ่าย
เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะลงมือเปิดศึกสงครามอีกเมื่อไหร่ สายรายงานมาว่าทูเจวี้ยเริ่มเกณฑ์คนมาเป็นทหารจำนวนมาก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจ
เผ่าเซียงเป็นหนึ่งในเผ่าเร่ร่อนซึ่งอยู่นอกด่าน ก่อนหน้าเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับทูเจวี้ย กลับมาแตกคอกันเมื่อไม่นานมานี้ ข่าวที่ได้รับมา
คล้ายกับกระเบื้องที่แตกไม่อาจกลับมาสมานต่อกันได้อีก
ถ้าเขาหาจุดอ่อนโจมตีกลับไปได้ หากใช้ปัญญาโดยไม่ต้องเสียสละเลือดเนื้อชีวิตมากมาย ย่อมเป็นการดีกว่า
เขา หรือ เซียวชงอวี้ แม่ทัพขวาประจำชายแดนเหนือ ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ ให้มาปฏิบัติภารกิจลับครั้งนี้โดยเฉพาะ
ภารกิจกวาดล้างกลุ่มโจรนำเด็กส่งคืนเผ่าเซียง เรื่องที่ยากคือการติดตามหาร่องรอย ต่อให้สำนักข่าวเขาจะดีมากเพียงใด แต่กลุ่มโจรพวกนี้ เปลี่ยนแปลงหลักแหล่งไม่แน่นอน กว่าจะตามมาได้ใช้เวลาเป็นเดือน กระทั่งจนได้ตำแหน่งชัดเจนบนภูเขานอกเมืองเป่าติ้ง
แม่ทัพใหญ่ไม่ไว้ใจใครนอกจากเซียงชงอวี้ พวกเขาต้องการใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ในการสานสัมพันธ์กับเผ่าเซียงเพื่อเกิดผลดีในการทำสงคราม
ปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ต้องสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายต้องนำคนหรือคำตอบกลับคืนให้เผ่าเซียง
หัวหน้าโจรร่างใหญ่เบื้องหน้าเซียวชงอวี้ หันไปพูดกับลูกน้องคนสนิท ไม่รู้ว่าพวกนั้นส่งสัญญาณลับอะไรกัน
จู่ ๆ มีเสียงหวีดแหลมคล้ายเสียงนกก็ดังขึ้น ยาวสามครั้งติดต่อกัน
เมื่อหัวหน้าโจรร่างใหญ่ หน้าตาโหดเหี้ยม เห็นว่าส่งสัญญาณเรียบร้อยแล้ว อ้าปากตวาดด่าทอเสียงพูดเหมือนคำราม
“เจ้าพวกลูกเต่า ขี้ข้าชั้นต่ำของราชสำนัก ยังมาทำเป็นอวดดี คิดจะพูดก็พูดง่าย ๆ เหมือนผายลมรึ พวกบิดาไม่กลัวคำขู่ ใครจะตายก่อนใครยังไม่รู้เลย เข้ามาเลยดีกว่า!”
หัวหน้าโจรตัวใหญ่หนวดเครารุงรัง สีหน้าแววตาไร้ความปรานี เมื่อส่งสัญญาณแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วงและให้นึกกังวล
เขาสั่งให้ลูกน้องแจ้งส่งสัญญาณ ให้บรรดาคนในครอบครัวอพยพหลบหนีออกไปก่อน บนภูเขามีทางหนีหลายทาง ทั้งยังมีที่ซ่อนเมื่อภัยมาถึง
“อุตส่าห์ให้โอกาสกลับคิดไม่ได้ พวกข้ามาในนามของทางการ มีอำนาจกวาดล้างกลุ่มโจร ในเมื่อเตือนไม่ฟัง จะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้อีก” น้ำเสียงเข้มแข็งดุดัน
“ขวับ!” เสียงตวัดกระบี่ขวาง ประกายโลหะคมกล้าสะท้อนแสงไฟวิบวับ
แววตาเซียวชงอวี้ลุ่มลึกมืดมิด คนพวกนี้ชั่วช้าสามานย์ ฆ่าคนวางเพลิง ฉุดคร่าสตรี ทั้งทำแต่เรื่องเลวทรามต่ำช้ามานาน ครั้งนี้อย่าหาว่าเขาใจร้ายโหดเหี้ยมที่จะต้องฆ่าล้างบางเสียให้สิ้นซาก ล้างแค้นให้กับผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกทำร้าย