[10] ฉันมองนักล่าแวมไพร์ทั้งสองที่ดูประหลาดใจกับการที่ฉันอยู่ที่นี่ จอห์นอาการหนักหลังจากดมแก๊สกระเทียมเข้าไป เขาไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาแดงก่ำและเริ่มมีหยดเลือดไหลออกมา ฉันรีบวิ่งไปหาแวมไพร์ผมบลอนด์ที่ดูร่อแร่เต็มที จอห์นมองฉันและแยกเขี้ยวออกมา ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนนักล่าทั้งสองจะไม่ได้คิดเช่นนั้น หญิงสาวผมแดงเล็งหน้าไม้ไปที่จอห์นและพร้อมจะจัดการเขาโดยไม่ลังเล
"ถอยออกมาเดี๋ยวนี้!"
"เขาช่วยชีวิตฉันไว้!" ฉันมองหนุ่มนักล่าที่ดูจะเริ่มเข้าใจว่าจอห์นเป็นมิตรกับฉัน "ถ้าจะจัดการเขาก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน"
เธอลดหน้าไม้ในมือลงและหัวเสียเมื่อได้ยินฉันยื่นคำขาดเช่นนั้น ฉันกลับมาสนใจจอห์น เขากำลังจะต้านตัวเองไม่ให้กัดคอฉันไว้ แต่ฉันรู้ว่าเขาคงจะทนไม่ได้นานนักหรอก
"บ้าเอ้ย นายไม่ได้ดื่มเลือดมานานขนาดไหนเนี่ย?"
"ล่าสุดก็เลือดเธอไง...ความจำสั้นจังนะ"
"นายต้องดื่มเลือด โอเคนะ" ฉันดึงแขนเสื้อขึ้น "กัดซะ"
จอห์นกลืนน้ำลายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากดื่มเลือดฉัน แต่ถ้าเขาไม่ดื่ม...ฉันกลัวว่าเขาจะหลอมละลายไปต่อหน้าต่อตาฉัน เวลาที่กระชั้นชิดและความไม่ไว้ใจของนักล่าผมแดงทำให้ฉันต้องหยิบมีดที่ติดตัวมาด้วยออกมากรีดที่ข้อมือตัวเอง เลือดหยดลงบนริมฝีปากของแวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์ แต่เขายังปฏิเสธที่จะดื่มมัน
"ได้โปรดจอห์น...ดื่มเถอะนะ ทำไมต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย?"
"เขาจะฆ่าเรา..." จอห์นมองหญิงสาวผมแดงที่กำลังมองเขา "ฉันรับรู้ได้ มีบางอย่างที่อันตรายกำลังอยู่ที่นี่"
"อย่าไปห่วงเรื่องนั้นเลยนะ"
ฉันเริ่มบังคับให้จอห์นดื่มเลือดฉัน เหมือนกับที่เขาเคยบังคับให้ฉันดื่มเลือดเขานั่นล่ะ ดวงตาที่แดงก่ำไปด้วยเลือดในตอนแรกจางหายไป ดูแล้วก็น่ารักดีเวลาที่เขาอยู่เหนือการควบคุมแบบนี้ เมื่อเขาได้รับเลือดจากฉันอย่างเต็มอิ่มแล้วฉันก็ตัดสินใจดึงมือออกมา แต่ทว่าสาวน้อยผมแดงคนนั้นกลับเปลี่ยนเป้าหมายที่ฉันแทน
"ลดอาวุธในมือเธอซะแล้วคุยกันเถอะนะ พวกเขาไม่ได้อันตรายอย่างที่เธอคิด"
"พวกมีเขี้ยวก็คือสัตว์ร้าย การที่เธอเข้าร่วมกับพวกมันไม่ใช่อะไรที่ดีหรอกนะ"
"อย่าแปลกใจเลยนังหนู ตระกูลดรูอิคแทบทุกคนมองโลกในแง่ร้ายหมดล่ะ ยกเว้นปู่ของเจ้า"
สาวสวยผมแดงดูตกใจไม่น้อยเมื่ออเล็กซ์พูดถึงบรรพบุรุษของเธอ และนักล่าแวมไพร์สาวก็ใช้หน้าไม้ที่ถืออยู่จ่อคางแวมไพร์อัลฟาตรงหน้าโดยไม่เกรงกลัว "นายรู้จักฉันได้ไง?"
"ข้าไม่ได้รู้จักเจ้า แต่ข้ารู้จักตระกูลของเจ้า ความดื้อรั้นที่จะกำจัดแวมไพร์มันตกทอดมารุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นคำสาปไปเสียแล้ว แต่ข้าไม่โทษเรื่องนั้นหรอกนะ"
"ผมจำรอยแผลเป็นนั้นได้" ชายหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นคนน้องลดมีดลงและมองรอยแผลเป็นบนต้นแขนอเล็กซ์ "พ่อเคยเล่าให้ฟังว่ามีแวมตัวหนึ่งที่เคยช่วยปู่ไว้จากจ่าฝูงวีเดล่า บอกว่าถ้าวันไหนเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นมา แวมไพร์คนนั้นจะฟื้นจากการจำศีลอีกครั้งเพื่อหยุดมัน เขาต้องหมายถึงแวมไพร์ตัวนี้แน่!"
"นายก็รู้ว่าพ่อเราเป็นบ้าตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น" ดวงตาสีฟ้าเดนิมหันมองแวมไพร์ผมทองตรงหน้าด้วยความเกลียดชัง "ตั้งแต่ที่พวกแวมมาโจมตีบ้านเรา"
"ข้าไม่ชอบสายตาแบบนั้นเท่าไหร่นะนังหนู ไม่ชอบเวลาที่มีใครมองด้วยความเกลียดชังเช่นนั้นโดยที่ข้าไม่ใช่คนผิด" ร่างสูงโปร่งที่ไร้อาภรณ์เข้าใกล้อีกคนที่ตัวเล็กกว่ามากขึ้น "เชื่อเถอะว่าข้ารู้จักตระกูลเจ้าดีมากกว่าตัวเจ้าเสียอีก"
"นายมันไอ้แวมไพร์อวดดี"
ฉันสะดุ้งเพราะความตกใจเมื่อได้ยินเสียงหน้าไม้ถูกยิงออกมา อเล็กซ์ที่วาร์ปด้วยความเร็วสูงคว้าหน้าไม้ของเธอไว้และหยิบเสื้อของจอห์นบนพื้นมาสวมเรียบร้อย ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ หญิงสาวที่ถูกแย่งอาวุธไปงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง และเธอก็ต้องพบกับความแปลกใจที่หน้าไม้สีเงินของเธออยู่ในมือแวมไพร์ผมทองได้
"และเจ้าก็เป็นมนุษย์ที่อวดเก่งเหมือนกัน"
"เป็นไปไม่ได้..."
ฉันมองใบหน้าเย็นชาของแวมไพร์หนุ่มอเล็กซ์และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาโยนหน้าไม้ที่แย่งมาได้กลับให้หญิงสาวนักล่า "หากเจ้ายังคิดจะทำร้ายข้าอยู่ อย่าหาว่าข้าใจร้ายละกันนังหนู"
"...ได้ยินเสียงกันรึเปล่า?"
หนุ่มผมแดงเงยหน้ามองด้านบน เสียงขบวนเท้านับสิบกำลังเคลื่อนตัวผ่านโดยมีเป้าหมายคือชั้นใต้ดินนี้ นักล่าทั้งสองเล็งอาวุธระยะไกลของตัวเอง "อยู่ที่นี่ก่อน รอจนกว่าฉันจะบอกให้--" ไม่ทันขาดคำอเล็กซ์ก็วาร์ปหายขึ้นไปด้านบนซะแล้ว นึกแล้วหัวเสียแทนนักล่าสาวนี่เหมือนกัน
"ไอ้บ้าเอ้ย!"
และสองคนนั้นก็วิ่งขึ้นไปโดยไม่ได้สนว่าฉันจะเป็นยังไง จอห์นยังคงนอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น แต่ทันใดนั้นนักล่าหนุ่มก็เดินกลับมาช่วยพยุงร่างจอห์นออกไปพร้อมกับฉัน ระหว่างที่เราทั้งสามคนกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบนนั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและบางอย่างที่ถูกกระชากดังอยู่นานทีเดียว จนกระทั่งเมื่อขึ้นไปยังด้านบน
"พระเจ้า..."
เศษซากของสิ่งใดก็ตามที่เคยเป็นสิ่งมีชีวิตมาก่อนกำลังกระจายอยู่ทั่วหน้ากระท่อมที่เป็นทางเข้า อย่างน้อยรถที่เด็กคนนั้นจอดอยู่ก็ยังปกติดี เขาคงรู้วิธีซ่อนตัวที่ดีหรือไม่คงโดนสูบเลือดจนตายไปแล้ว นักล่าทั้งสองก้มดูเศษซากนั้นและหยิบมันขึ้นมาดม เห็นแล้วรู้สึกขยะแขยงยังไงชอบกล
"นี่มันพวกวีเดล่า...พวกมันหาที่นี่เจอได้ยังไง?"
ระหว่างที่สองคนนั้นกำลังสนใจกองศพตรงหน้า ฉันพาร่างของแวมไพร์ผมบลอนด์ที่ยังไม่ได้สติดีกลับมาที่รถ ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังถูกกะซวกออกและพบกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ขับรถมาส่งกำลังเคี้ยวเครื่องในของวีเดล่าอีกตัวด้วยเขี้ยวแหลมๆ สองคู่นั้น ทำให้ฉันนึกถึงฉากเปิดตัวของซอมบี้ในเกมผีชีวะภาคแรกขึ้นมา แต่ว่าเขาไม่ได้เดินมาพร้อมกับแขนที่ยื่นมาด้านหน้าหรอกนะ รอสส์เช็ดเลือดที่เขรอะเต็มหน้าออกและเดินมารับร่างจอห์นที่กำลังล้มไปพร้อมกับฉัน
"นายเป็น...แวมไพร์ด้วยหรอ?"
"พระเจ้ารักผมน่ะเลยให้ความสามารถที่เดินในแสงแดดให้ หนึ่งในแสนเลยนะ" เขาเก็บเขี้ยวและยื่นหน้ามองนักล่าทั้งสองที่กำลังสำรวจสุสานรอบๆ "รู้จักคนพวกนั้นด้วยหรอ?"
"ไม่เคยจนเมื่อสิบนาทีที่แล้ว เห็นแวมไพร์ผมทอง ตัวสูงโปร่ง ใส่เสื้อคลุมของจอห์นบ้างรึเปล่า"
"อืม...ผมกำลังฟังเพลงอยู่ในรถแล้วก็ได้ยินเสียงจากข้างนอก แล้วก็มีไอ้บ้าตัวนึงพุ่งใส่ผม แต่พอจะเห็นว่าหนุ่มหัวทองบ้าเลือดฟัดกับพวกนั้นอยู่ ใช่คนที่เธอตามหารึเปล่า?"
"จอห์น..."
ฉันและรอสส์หันไปหาต้นเสียงของคริสตัลที่โผล่แบบไม่มีที่มา เธอคุกเข่า และอย่างแรกที่เธออยากจะโทษกับการที่จอห์นเป็นแบบนี้คือฉัน แวมไพร์สาวผิวเผือกมองฉันด้วยความโกรธแค้น
"ถ้าเป็นฝีมือเธอ ฉันจะดูดเลือดเธอให้ตายคามือเลย"
คริสตัลแบมือออกและทาบมันลงบนหน้าผากแวมไพร์หนุ่ม สักพักจอห์นก็สะดุ้งขึ้นมาพร้อมกับเขี้ยวทั้งสองที่แทรกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนแรกที่เขาหันมาสบตาคือฉันทั้งๆ ที่ควรจะเป็นคริสตัล นั่นอาจจะสร้างความไม่พอใจให้เธอไม่มากก็น้อย
"อเล็กซ์ล่ะ?"
"หายไปแล้ว ดีใจที่นายโอเคนะ"
"ขอบคุณสำหรับเลือดนะ..."
"ต้องให้เครดิตสาวน้อยของนายมากกว่าฉันนะจอห์น" คริสตัลมองฉันด้วยความแปลกใจ "ขอตัวไปดูสองคนนั้นก่อนนะ"
ฉันลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังนักล่าทั้งสอง การอยู่กับคนน่ากลัวคงดีกว่าแวมไพร์ทั้งสามที่ดูไม่น่าไว้ใจ หญิงสาวผมแดงดูหัวเสียที่การมาครั้งนี้นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ฉันมองหนุ่มอีกคนที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าทางเขาคงจะเข้ากับคนได้ง่ายกว่า สิ่งที่ฉันได้รับเมื่อเดินไปหาเขาคือรอยยิ้มละมุนจากริมฝีปากเรียวคู่นั้น ถ้าจอห์นรู้คงหึงตายเลย
"ไงถุงเลือด ขอโทษนะที่ไม่ได้แนะนำตัว ฉันเซต" เขายื่นมือมาทักทาย "ส่วนนั่นพี่สาวฉันเดนน่า เธอไม่ค่อยจะ...เป็นมิตรเท่าไหร่ ขอโทษแทนเธอด้วยนะ"
"ฉันเจอคนแบบนี้มาเยอะ เดี๋ยวก่อนนะ...เชตที่มันหมายถึง"
"ศูนย์" เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมา "ไม่ใช่ชื่อที่ดีที่จะตั้งให้ลูกหรอกใช่มั้ยล่ะ?"
"หรือไม่นายอาจเป็นคนพิเศษ ใครจะไปรู้ล่ะเซต"
'ตายซะเถอะไอ้พวกนักล่า'
ฉันได้ยินเสียงความคิดของใครบางคน มันไม่สำคัญว่าฉันได้ยินได้ยังไง แต่มันสำคัญที่ว่าใครพูดแบบนั้นออกมามากกว่า ฉันมองเดนน่าซึ่งอยู่ใกล้มอเตอร์ไซค์ของเธอและเห็นรังสีแดงฉานแผ่ออกมา บางอย่างในตัวฉันกำลังตะโกนออกมาว่าเธอตกอยู่ในอันตราย
"ถอยออกมา!"
สาวผมแดงขมวดคิ้วด้วยความฉงนใจ จนเมื่อระเบิดขว้างลูกเล็กกลิ้งมาบนพื้นหญ้า เซตกำลังจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่แล้วก็มีเงาดำของใครบางคนมาโอบเธอไว้ ร่างทั้งสองกระเด็นออกมาตามแรงระเบิด
"พี่เดนน่า!"
ร่างของหนุ่มผมทองยาวสลวยค่อยๆ ละออกจากร่างหญิงสาว อเล็กซ์...เขาเงยหน้าขึ้นมาจนเผยให้เห็นผิวหนังที่ไหม้เกรียมจากสะเก็ดระเบิด แต่บาดแผลก็สมานตัวช้าๆ จนเกือบจะหายทั้งหมด ส่วนเดนน่านั้นปลอดภัยดี มีเพียงรอยฟกช้ำตามตัวอยู่เล็กน้อยเท่านั้น แวมไพร์อัลฟาหนุ่มมองฉันด้วยสายตาที่อ่อนแรง คงเป็นผลจากการไม่ได้ดื่มเลือดมาสามร้อยปีล่ะมั้ง และฉันรู้ว่าในตอนนี้เขากำลังต้องการอะไร
"กัดซะ" ฉันยื่นแขนขวาที่ให้เลือดจอห์นไปที่เขา "อย่างน้อยนายก็ต้องดื่ม"
"ข้าไม่ชอบกินของเหลือจากแวมไพร์ตัวอื่น"
"ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกนะ กัดฉันเดี๋ยวนี้"
อเล็กซ์ที่ดูไร้ทางเลือกแยกเขี้ยวออกมาและคว้าหมับที่แขนฉันโดยไร้ความอ่อนโยน ขอพูดเลยว่าการโดนกัดที่ข้อมือนั้นเจ็บน้อยกว่าการโดนกัดที่คอเยอะเลย แวมไพร์หนุ่มเพียงแค่ฝังเขี้ยวลงไปและถอนออก ปล่อยให้เลือดไหลออกมาตามบาดแผลอย่างที่มันควรเป็น เมื่อแผลบนใบหน้าเขาสมานตัวทั้งหมดแล้วอเล็กซ์ก็ใช้เลือดของตัวเองสมานแผลให้ฉัน คราวนี้ฉันมีเลือดผู้สร้างแวมไพร์รุ่นแรกอยู่ในตัว และเขาก็มีเลือดฉันอยู่เหมือนกัน หวังว่ามันจะไม่จบลงด้วยภาพฝันบนเตียงหรือการที่ฉันต้องวิ่งหนีเขาตลอดทั้งคืนนะ
"กลิ่นเลือดเจ้า...มันไม่ใช่เลือดแบบมนุษย์ทั่วไป มีบางสิ่งในตัวเจ้าที่ทำให้เลือดมันพิเศษ" สีหน้าจริงจังเมื่อเขาพูดบทสนทนานี้เปลี่ยนไป "คงจะหยาบคายเกินไปถ้าข้ายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า"
"อเลสซ่า มาร์สัน มันก็คงจะหยาบคายเหมือนกันถ้าคุณไม่แนะนำตัวแบบเป็นทางการกับฉันน่ะ"
"อเล็กซานเดอร์ นั่นล่ะชื่อเต็มของข้า ขอบคุณสำหรับเลือด" อเล็กซ์ก้มกระซิบข้างหูฉัน "ไว้เจอกันล่ะ มนุษย์ตัวน้อย"
และแวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์ก็วาร์ปหายไปอีกครั้ง ฉันกับเซตมองหน้ากัน สายตาแห่งความไม่เข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเราทั้งคู่ เมื่อตั้งสติกันได้แล้วเราก็พาร่างของเดนน่ากลับไปที่รถ จอห์นดูฟื้นฟูตัวเองได้เร็วทีเดียว
"เจ้ามนุษย์สองคนนี้หรอที่ล้มคุณได้น่ะ หน่วยก้านดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่"
"อย่าประมาทพวกเขาเลย ว่าแต่แกมาทำอะไรนังหนู อะไรที่ทำให้นักล่าถ่อมาถึงเมืองนี้กัน?"
"ตั้งแต่สามสัปดาห์ก่อนมีรายงานคนหายทั่วอเมริกาเลย และที่ที่เกิดคนหายมากที่สุดคือเมืองนี้ ผมกับพี่ก็เลยมาตรวจสอบดูแล้วตามกลิ่นจนเจอพวกคุณนี่แหละ"
"เอาล่ะ เราจะยืนคุยกันแบบนี้ต่อหรือไปกันได้แล้ว ยิ่งเป็นล่อเป้าให้พวกวีเดล่าอยู่ด้วย" คริสตัลพูดออกมาอย่างเบื่อหน่ายและมองไปรอบๆ
"รถนี่นั่งได้มากสุดแค่หกคนนะ ถ้าให้พี่สาวนายนอนท้ายรถจะเป็นอะไรรึเปล่า"
รอสส์ยังไม่ได้คำตอบเด็กหนุ่มก็เดินไปเปิดท้ายรถและปล่อยร่างพี่สาวที่หมดสติลงไปในนั้น เซตปิดท้ายรถอย่างแรงและเดินกลับมา "ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ"
บรรยากาศภายในรถนั้นค่อนข้างอึดอัดพอตัว เพราะนอกจากพื้นที่อันแสนแออัดที่เบาะหลังแล้ว การนั่งติดกับแวมไพร์สองฝั่งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลา รู้แบบนี้ขอสลับที่นั่งกับเซตตั้งแต่แรกก็ดี ฉันเหลือบเห็นคริสตัลที่นั่งอยู่ฝั่งขวากำลังดมซอกคอฉันอย่างหิวกระหาย แต่เมื่อเจอสายตาดุดันของจอห์นเข้าไปเธอก็เงียบกริบ
"พี่สาวนายจะโอเคใช่มั้ยถ้านอนอยู่ในนั้น"
"คงโอเค อย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะตื่น ขอโทษด้วยนะที่ทำเจ้าของเธอเกือบตายน่ะ"
"ถ้าเปลี่ยนคำขอโทษเป็นหมัดหนักๆ ที่หน้านายคงจะดีกว่านี้"
จอห์นพูดโดยไม่มองคนที่ทำเขาเจ็บหนัก เขาไม่ได้โกรธหรือทำให้ฉันขำด้วยสีหน้าตลกในคราวนี้ มีเพียงความเย็นชาบนนั้น พร้อมกับดวงตาสีฟ้าที่ทอดมองออกไปอย่างว่างเปล่า ฉันหวังว่าในดวงตาคู่นั้นคงจะเคยผ่านภาพที่ให้เขายังเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ความตายไม่ใช่สิ่งเดียวที่จอห์นถูกพรากไป
ฉันขอให้รอสส์พาฉันกลับมาที่บ้านหลังจากที่ฉันโทรบอกจาเวียร์ให้รู้แล้วว่าฉันได้เบาะแสอะไรมาบ้าง กลับไปดูว่าทุกคนในบ้านนั้นโอเคกันรึเปล่า ไม่นานนักรถเบนซ์สีบลอนด์เงินก็จอดหน้าบ้านฉันพอดิบพอดี ฉันเปิดประตูเข้าไปและพบแมทกับแม่กำลังอยู่ในห้องอาหาร
"อเลสซ่า กลับมาแล้วหรอลูก?" เธอง่วนอยู่กับอาหารในกระทะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาพูดกับฉันต่อ "แม่นึกว่าอยู่กับจาเวียร์ที่ร้านซะอีก แต่เขาบอกว่าหนูต้องไปทดลองยาของหมอจอห์น ได้อะไรคืบหน้าบ้างมั้ย? "
"ก็ดีค่ะ พ่อยังไม่มาหรอคะ?"
"เพิ่งจะโทรมาเมื่อกี้เองจ๊ะว่ากำลังขับรถกลับมา กินคุกกี้รองท้องไปก่อนนะ"
ประตูหน้าบ้านถูกเปิดเข้ามา ฉันไม่เคยเห็นหน้าพ่อแล้วดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยทั้งชีวิต ความคิดที่จะวิ่งไปกอดเขาหยุดลงเมื่อเหล่าผองเพื่อนจากในรถนั้นเดินเข้ามาในบ้าน มีเพียงเดนน่าซึ่งนอนอยู่ท้ายกระโปรงหลังที่ไม่อยู่ในนี้เท่านั้น
"ทำไมให้เพื่อนๆ รอนอกบ้านแบบนั้นอเลสซ่า? เสียมารยาทกับแขกจังนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณนิค เธอเป็นเด็กที่ชอบเก็บความลับน่ะ" จอห์นพูดประชดออกมาและยิ้มให้ฉัน "และเธอก็ทำได้ดีซะด้วยใช่มั้ย อเลสซ่า"
"ผมขอขึ้นไปนอนรอข้างบนละกัน..."
แมทผู้เงียบขรึมซึ่งกำลังจะเดินขึ้นไปด้านบนมองหนึ่งในเหล่าผู้โดยสารในรถเบนซ์ เขามองที่คริสตัล...และแม่สาวแวมไพร์เผือกก็มองกลับมาที่น้องชายฉันเช่นกันด้วยสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกันนัก แล้วไอ้น้องฉันกับยัยแวมไพร์นี่ไปรู้จักกันตอนไหนเนี่ย
แมทวิ่งขึ้นไปยังด้านบนโดยไม่เหลียวหลังกลับ ฉันสามารถบอกได้เลยว่าหมอนี่ต้องกลัวเธอมากแน่ๆ ถึงหนีหน้าหล่อนไปแบบนี้ แต่เรื่องนี้มันไม่ได้สำคัญ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ฉันมาเพราะห่วงความปลอดภัยของครอบครัวฉันต่างหาก
"พ่อคะ ถ้าพรุ่งนี้พ่อลางานทั้งวันจะได้รึเปล่าคะ?"
"ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกมีอะไรรึเปล่า มีอะไรที่พ่อควรรู้มั้ยอเลสซ่า"
"คือว่าหนู เอ่อ...อยากที่จะ"
"อยากเซอร์ไพรส์ว่าผมเป็นแฟนลูกสาวพ่อน่ะครับ" ฉันเลิกคิ้วด้วยความงุนงงสุดขึ้นเมื่อได้ยินคำจากปากของนักล่าแวมไพร์หนุ่ม "เห็นอเลสซ่าบอกว่าคุณคงดีใจ ถ้าเป็นมื้อกระชับความสัมพันธ์คงจะดีไม่น้อยเลย"
"งั้นก็ดีเลย" พ่อตรงเข้ากอดหนุ่มผมแดงด้วยความดีใจ พอได้เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของหมอนั่นก็น่าขำดีเหมือนกัน แต่พอเห็นสายตาของจอห์นที่ไม่พอใจเซตอย่างแรงฉันก็ต้องหยุดขำ รังสีอำมหิตแปลกๆ กำลังแผ่ออกมาจากตัวเขาอีกแล้ว
เดาได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังหึงฉันอยู่
"งั้นหนูขอไปทำงานนะคะ เจอกันพรุ่งนี้เช้าค่ะ"
ฉันหอมแก้มพ่อและแม่ก่อนจะรีบเดินออกมาจากบ้าน คิดภาพแวมไพร์สามตัวที่เข้ามาอยู่ในบ้านฉันสิ นี่ขนาดแค่ชวนเข้าบ้านยังน่ากลัวเลย ถ้ามีแวมไพร์บุกเข้ามามันจะเป็นยังไงกัน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องหัวใจที่ถูกควักออกมา และต้องรู้ให้ได้ว่าอเล็กซ์เก็บความลับอะไรไว้ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องรับมือกับจอห์นซะก่อน
"แกกล้าดียังไงมายุ่งกับเธอ" จอห์นแยกเขี้ยวและหันไปเผชิญหน้ากับเซตทันทีที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน สีหน้าของนักล่าหนุ่มไร้ความเกรงกลัวแวมไพร์ตรงหน้า ฉันหวังว่าทั้งสองจะไม่ทำอะไรที่มันงี่เง่าลงไป
"ถ้าไม่เป็นแบบนี้พ่อเธอคงไม่ยอมอยู่ในบ้าน ครอบครัวเธอไม่ปลอดภัยเพราะใครดึงเธอไปเกี่ยวข้องกัน? จะเป็นใครถ้าไม่ใช่คุณ"
"แต่เธอเป็นของฉัน! แกไม่มีสิทธิ์มาอ้างเป็นแฟนเธอเข้าใจมั้ย?"
"ไม่มีใครเป็นของใครทั้งนั้น คุณแค่หึงเธอ ยอมรับซะเถอะ"
จอห์นที่เห็นสีหน้าโกรธเคืองของคริสตัลเข้าใจดีว่าตอนนี้แวมไพร์สาวกำลังรู้สึกอย่างไร เหมือนเธอเป็นเพียงทาสรับใช้ในสายตาของเขา แวมไพร์สาวผิวเผือกหันหลังให้พวกเราก่อนจะวาร์ปหายไป จอห์นมองฉันสลับกับเซตและวาร์ปหายไปอีกคน เหลือเพียงรอสส์ที่ดูไม่เชื่อมโยงกับเรื่องทั้งหมดนี้ยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ
"เอาล่ะ เรามีงานต้องทำ มีที่ให้ไป ถ้ายืนซื่อบื้ออยู่แบบนั้นฉันคงต้องทิ้งพวกเธอไว้นะ"
แวมไพร์หนุ่มผมน้ำตาลเดินหัวเสียกลับไปที่รถ ฉันและเซตยกร่างของเดนน่ากลับเข้ามานอนในเบาะหลังก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปกันต่อ บรรยากาศค่อนข้างเงียบทีเดียวพอไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่นานนักเดนน่าก็ตื่นขึ้น เธอมองน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางหันซ้ายหันขวามองรอบตัว
"มอเตอร์ไซค์ล่ะ?"
"เป็นเศษเหล็กไปแล้ว พี่คงเละไปด้วยเหมือนกันถ้าแวมไพร์ตัวนั้นไม่ได้ช่วยพี่ไว้"
นักล่าสาวมองรอยถลอกบนข้อมือขวา ฉันเห็นความไม่ไว้ใจของเธอที่สะท้อนจากกระจกมองหลังมายังรอสส์ที่กำลังขับรถอยู่ ดูเหมือนเขาคงรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ "ถ้าฉันจะกินเธอคงทำไปนานแล้วสาวน้อย"
"ฉันจะพาพวกคุณไปพักผ่อนก่อน ฉันมีเพื่อนคนนึงที่...เป็นมนุษย์หมาป่า คงขอให้เขาช่วยดูแลพวกคุณได้"
"มนุษย์หมาป่างั้นหรอ?" เดนน่าดูแปลกใจที่ได้ยินว่าจาเวียร์เป็นมนุษย์หมาป่า "เธอไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?"
"ฉันเห็นเขากลายร่างต่อหน้าเลย ดูเธอจะแปลกใจจังนะ"
"ล่าสุดที่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกแวร์วูฟคงเป็นสิบสามปีที่แล้วน่ะ มีสงครามระหว่างแวมไพร์กับพวกหมาป่า และแวมไพร์ก็เป็นฝ่ายชนะ ทำเอาพวกวูฟตายไปเยอะอยู่เหมือนกัน เธอนี่มีแต่อะไรแปลกๆ อยู่รอบตัวนะ ประทับใจที่เธอรอดมาได้ขนาด--"
รถที่เรานั่งมาเบรกกะทันหัน รอสส์ที่เป็นคนขับหายใจรัวแบบมนุษย์เวลาที่เจออะไรน่าตกใจอยู่ตรงหน้า เขาชี้นิ้วไปยังบางอย่างบนถนนซึ่งเป็นอุปสรรคที่ขวางทางเราอยู่ "ดูนั่นสิ"
ฉันได้เห็นซากของแวมไพร์มากมายที่นอนตายเกลื่อนบนถนน ทำไมถึงรู้ว่าเป็นแวมไพร์น่ะหรอ? ทุกศพที่นอนอยู่มีเขี้ยวสองเขี้ยวโผล่ออกมา แต่ที่แปลกคือร่างของพวกมันนั้นซูบผอมเหมือนถูกสูบเลือดออก การที่มีคนเอาศพมาทิ้งไว้แบบนี้คงมีเจตนาบางอย่างแน่ๆ
คล้ายกับประกาศว่าสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น...
[To Be Continued...]