[15] ฉันที่กำลังจะถูกจอห์นดื่มเลือดจนหมดตัวในไม่ช้ารื้อหาของที่ติดตัวมาใช้ป้องกันตัวจากแวมไพร์เฮงซวย จนนึกได้ว่าฉันห้อยจี้กางเขนติดตัวมาด้วย อันที่จริงก็ไม่เคยลองหรอกว่าของพวกนี้ให้ผลกับพวกแวมไพร์ยังไง ดวงเนตรสีแดงปูดโปนจ้องมองกางเขนที่ฉันกระชากออกมาจากคอสลับกับใบหน้าของฉัน
"ของแบบนั้นใช้ไม่ได้ผลหรอกนะถ้าเธอไม่มีศรัทธา" น่าแปลกที่จอห์นยังควบคุมความกระหายที่ตนเองมีเองไว้ได้ เขายังเป็นจอห์นที่ฉันรู้จัก แต่ความดุร้ายนั้นไม่อาจหลอกได้ "ฉันแค่...อยากดื่มนิดหน่อย ได้โปรดอเลสซ่า"
"ฉันไม่อยากทำร้ายนายนะจอห์น ถอยออกไป!"
"เธอไม่ชอบจอห์นคนเก่างั้นหรอ? รู้มั้ยว่ามันยากขนาดไหนที่ต้องไม่ทำตัวดุร้ายเหมือนพวกแวมไพร์ตัวอื่น" แวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์เปลี่ยนสีหน้าที่ดูอ่อนโยนในตอนแรกเป็นความเกรี้ยวกราด และเขี้ยวที่มีเพียงคู่เดียวตามปกตินั้นกลับกลายเป็นแผงฟันแหลมคมเหมือนสัตว์ร้าย "แต่เลือดเธอมันโคตรจะคุ้มค่าเลยอเลสซ่า"
แวมไพร์ผมบลอนด์พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วจนฉันต้องโต้ตอบด้วยการใช้จี้กางเขนเงินทิ่มใส่ใบหน้าของเขา จอห์นกรีดร้องออกมาและถอยไปอยู่ตรงมุมห้อง "เธอไม่ใช่พวกผู้หญิงไร้สมองจริงๆ ด้วย" จอห์นค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาของเขามีจี้กางเขนปักคาไว้ "แบบนี้สิถึงจะสนุก"
จอห์นวาร์ปเข้ามาทันที ฉันรู้ว่าตัวเองตอบสนองช้าไปและยอมให้เขากัดที่คอ โดยหวังว่าหลังจากที่เขาดื่มเลือดฉันจะสามารถควบคุมสติได้ "จอห์น..." ไร้ความเจ็บปวด...เขาก็ไร้ความปรานีต่อฉันเช่นกัน ท้ายที่สุดฉันก็กลายเป็นเหยื่ออีกรายของเขา เพราะความกระหายในเลือดที่ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายเช่นนี้ อย่างน้อยฉันว่ามันก็โอเคถ้าต้องตายเพราะน้ำมือของเขา
ไม่รู้สิ...ทำไมอยู่ๆ ฉันถึงอยากตายขึ้นมานะ?
"ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง"
ความรู้สึกเย็นวูบเกิดขึ้นกับร่างกายฉันอีกครั้ง ฉันเคยสงสัย...ความรู้สึกของการตายนั้นจะเป็นเช่นไร ฉันเคยได้ยินมาว่ามันจะเจ็บปวด ฉันเคยได้ยินมาว่าจะเห็นช่วงเวลาของชีวิตก่อนจะตาย ฉันเคยได้ยินมาว่ามันอาจจะเหมือนความฝัน และฉันเคยได้ยินมาว่าบางทีมันอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้วในตอนนี้...
ร่างของฉันถูกกระชากจากคมเขี้ยวของจอห์น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงจูบของอเล็กซ์ที่เจือไปด้วยเลือดข้นๆ ก็เข้ามาอยู่ในร่างกายฉันอีกครั้ง ฉันจำจูบแรกตอนสมัยมัธยมไม่ได้หรอก แต่จูบที่อเล็กซ์กำลังส่งผ่านเข้ามากำลังให้ความรู้สึกเช่นนั้น หัวใจของฉันกำลังพองโต...เหมือนเด็กสาวที่เคยตื่นเต้นกับจูบแรก เขาที่รู้ว่าฉันกำลังอึดอัดกับจูบนี้กัดแขนตัวเองอีกครั้งและปล่อยให้ฉันได้ดื่มเลือดของเขาได้มากพอ
"ดื่มเข้าไปเยอะๆ เลย...นั่นล่ะ ดื่มฉันเข้าไป"
มันน่าแปลกใจที่ว่าสำเนียงการพูดของอเล็กซ์ไม่เหมือนคนอายุร้อยปี แต่ผมบลอนด์ยาวยังไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เราเจอกัน ถ้าตอนนี้มีกรรไกรอยู่ใกล้มือฉันคงแอบตัดผมเขาไปแล้ว ไม่นานนักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนฝันนั้นก็หายไปแล้วด้วย
"นายหาฉันเจอได้ไงน่ะ..."
"อย่าลืมสิว่าเลือดฉันอยู่ในตัวเธอ และเลือดเธอก็อยู่ในตัวฉัน"
จอห์นที่ยังขาดสติส่งเสียงขู่คำรามก่อนจะพุ่งมาที่ฉันอีกครั้ง แต่คราวนี้แวมไพร์หนุ่มอัลฟาคว้าคอเขาไว้และเหวี่ยงไปจนกำแพงคอนกรีตเกิดรอยร้าวขึ้นมา "ในฐานะผู้มอบสายเลือดแก่เจ้า หยุดดื่มเลือดนางเดี๋ยวนี้!"
ความป่าเถื่อนและกระหายเลือดในตอนแรกที่จอห์นมีหายไปเมื่อแวมไพร์อัลฟาออกคำสั่งเด็ดขาด เขามองมือซึ่งเปื้อนเลือด แน่นอนว่าเขารู้สึกผิดที่ทำร้ายและเกือบจะฆ่าฉัน ที่น่าตกใจก็คือแวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด "พระเจ้า...ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"บ้าเอ้ย!" อยู่ดีๆ อเล็กซ์ก็สบถออกมา "บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าออกมา"
และพ่อหนุ่มเทพบุตรแวมไพร์ก็วาร์ปหายไปอีกครั้ง ฉันที่อ่อนแรงจากการถูกสูบเลือดมองจอห์นเดินเข้ามา เขาปาดเลือดจากดวงเนตรตัวเองและส่งยิ้มให้ ฉันยังเห็นความรู้สึกผิดอยู่ข้างในนั้น แวมไพร์หนุ่มร่างสูงอุ้มฉันออกไปจากนรกแห่งนี้ "อย่าลืมตาล่ะ" จอห์นที่เดินพ้นประตูหน้าออกมาเพียงไม่กี่ก้าวออกคำสั่ง ฉันยอมทำตามที่เขาบอก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วตั้งแต่ที่ออกมาจนแทบอยากอ้วก ว่าแต่ยัยวีเดล่าจอมปลอมนั่นถูกอเล็กซ์จัดการรึเปล่านะ? หวังเหลือเกินว่าจะได้เห็นหัวของเธอกระจายอยู่ซักแห่งในนี้
"กลิ่นนักล่า" จอห์นหยุดเดินและทำท่าฟุดฟิด "เขามาที่นี่ด้วยใช่มั้ย?"
จริงสิ...ลืมไปเลยว่าเซตต้องมาตกกระไดพลอยโจนไปกับฉันด้วย แวมไพร์หนุ่มเดินตามรอยกลิ่นของเซตไปจนถึงประตูบานหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากลิฟต์นักและวางร่างฉันลง "รอเงียบๆ ล่ะ" จากนั้นพ่อหนุ่มร่างสูงก็พังประตูเข้าไปโดยไม่รีรอ ฉันที่พอจะยืนไหวลุกขึ้นและค่อยๆ เดินตามเข้าไปด้านใน และฉันก็ได้เห็นสภาพของนักล่าหนุ่มที่นั่งจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าเราทั้งสองโดยมีเศษซากของแวมไพร์ประดับอยู่รอบ พูดได้เต็มปากเลยว่าสภาพของเซตในตอนนี้ไม่ต่างจากศพที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องชำแหละเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็ยังมีโชคที่รอดตายมาได้ จอห์นรีบวิ่งเข้าไปและกัดแขนตัวเอง นักล่าผมแดงรับเลือดเข้าไปอย่างว่าง่าย
"พระเจ้า...นายฟัดกับแวมไพร์พวกนี้หรอ?.
"เปล่า" เขากล่าวด้วยความเหนื่อยอ่อน "แค่ให้พวกมันกัดฉัน และก็...บูม! เละเป็นซาก"
ฉันทำหน้าสงสัยกับสิ่งที่เซตบอก จอห์นที่รับรู้หหันมาและให้คำตอบกับฉัน "เลือดนักล่าฆ่าเราได้น่ะ คงจะโดนโยนเข้ามาในกรงพวกหิวโหยก็เลยกลายเป็นแบบนี้ เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกนั้นควรคิดจะทำเลยล่ะ"
"เหมือนอย่างที่โดนขังไว้แล้วพร้อมจะเขมือบฉันเข้าไปน่ะหรอ?"
เซตที่ยังไม่ฟื้นตัวดีคว้าแขนฉันไว้และพยายามดึงเข้าไปหา ฉันย่อตัวลงและตั้งใจฟังในสิ่งที่นักล่าหนุ่มกำลังเปล่งออกมา "...อย่าดื่มน้ำเด็ดขาด" ฉันเบิกตาโพลง แต่ยังไม่เข้าใจสาเหตุที่เขาบอกมาแบบนั้น "คนในเมืองนี้จะไม่ปลอดภัย บอกพวกเขาว่าน้ำมันปนเปื้อน..."
"เซต?" เมื่อนักล่ารูปหล่อเงียบไปโดยที่ยังกล่าวไม่จบประโยคฉันจึงเขย่าตัวเขา "เซต!"
ฉัน จอห์นและเซตที่ไม่ได้สติรีบขับรถบึ่งกลับมาในเมือง วิกเตอเรียยังไม่ตายและเพ่นพ่านอยู่ในเมืองของฉัน น้ำดื่ม...ยัยวีเดล่านั่นต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับน้ำดื่มแน่ จะไมมีใครปลอดภัยจนกว่าเธอจะตาย ฉันพยายามโทรไปหาที่บ้านทั้งที่ยังอยู่ในเขตอับสัญญาณ จนในที่สุดแมทน้องชายของฉันก็รับสาย
'บ้านมาร์สันครับ'
"แมท! ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง ทุกคนปลอดภัยดีใช่มั้ย?"
'แม่โอเคแล้วล่ะ พี่พูดเหมือนมีคนกำลังจะตายงั้นล่ะ' ก็ใช่น่ะสิโว้ย 'สาวผมแดงยังอยู่คงไม่เป็นอะไรหรอก'
"ฟังนะ บอกทุกคนในเมืองว่าอย่าดื่มน้ำจากก๊อก น้ำในนั้นมันปนเปื้อน"
'พี่หมายความว่าไง--'
สายถูกตัดไปโดยที่โทรศัพท์ขึ้นว่าไม่มีสัญญาณ ฉันทำได้เพียงภาวนาว่าแมทจะไม่ได้เกลียดกันเกินไปจนไม่เชื่อคำเตือนจากฉัน กว่าจะไปถึงที่บ้านคนในเมืองคงเป็นอะไรไปก่อนแน่ จอห์นที่ขับรถอยู่หันมองฉันเหมือนเป็นการถาม "จะเอายังไงต่อ?"
"ไปศาลากลาง อย่างน้อยถ้าลำโพงประกาศยังใช้ได้เราคงกระจายข่าวได้ทันอยู่"
"ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ"
เราเปลี่ยนเส้นทางมายังศาลากลางซึ่งอยู่ไกลกว่า แต่การที่ฉันกลับบ้านไปนั้นไม่ได้หมายความว่าทุกคนในเมืองจะปลอดภัย เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว...ฉันรักครอบครัวตัวเอง แต่ลองนึกถึงคนอื่นที่อยู่ในเมืองสิ ถ้าต้องเสียทุกคนในเมืองไปฉันคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ถ้าจะให้พูดว่านี่เป็นภารกิจเสี่ยงตายฉันคงเถียงไม่ลง
อย่าคิดมาทำร้ายเมืองของฉันเชียวไอ้วีเดล่าโรคจิต
ในที่สุดจอห์นก็บึ่งรถมาถึงด้านหน้าศาลากลาง ที่นี่มักจะเงียบเป็นป่าช้าตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็นหลังเจ้าหน้าที่เลิกงาน แต่วันนี้กลับมีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่สองนายอยู่ด้านใน แค่สองคนก็ถือว่าเยอะแล้วในเวลาแบบนี้ แวมไพร์หนุ่มผมบลอนด์ดับเครื่องลง "กลิ่นแวมไพร์"
"พ่อหนุ่มนักล่าของเธอไม่ได้พกอะไรมาเลยสิท่า" ฉันลองค้นดูและเจอกับปืนฉีดน้ำขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในแจ๊กเก็ตของเซต "ปืนฉีดน้ำเนี่ยนะ?"
"นายอ้อมดูรอบๆ นะ ฉันจะดึงความสนใจพวกมันให้" ฉันรั้งจอห์นที่กำลังจะเปิดประตูรถ "ห้ามทำอะไรจนกว่าเรื่องมันจะแย่ โอเคมั้ย?"
แวมไพร์ผมบลอนด์พยักหน้า และจากนั้นเราทั้งสองก็แยกย้ายไปทำตามแผน ส่วนเซตที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนอนอยู่เบาะหลัง หวังว่าพวกแวมไพร์คงฉลาดพอที่จะไม่ดื่มเลือดนักล่าหรอก ถ้าพวกนั้นได้เรียนรู้มาก่อนว่ามันจะให้ผลลัพธ์ยังไง
เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่ในสำนักงานเห็นฉันจากในระยะไกลก่อนจะเดินออกมาตามแผนที่วางไว้ แผนของฉันคือพยายามเจรจากับพวกเขา ถ้าไม่สำเร็จ...แน่นอนว่าเป็นแบบนั้น เราก็จะบุกเข้าไปและใช้ไมค์ประกาศของศาลากลางบอกให้คนในเมืองห้ามดื่มน้ำ และหลังจากนั้นก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกที
"อเลสซ่า?" ลุงปาร์คเกอร์ที่เคยมารักษากับแม่ ฉันจำเขาได้ "มาทำอะไรดึกดื่นขนาดนี้"
"มีน้ำปนเปื้อนจากท่อทางใต้ ลุงต้องบอกทุกคนในเมืองว่าอย่าดื่มน้ำในนั้น อย่าดื่มเด็ดขาด หนูขอร้องนะคะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกสาวน้อย" ฉันมองเจ้าหน้าที่หนุ่มรูปร่างดูดีเดินเข้ามาในวงสนทนาของเราทั้งสอง โดยที่ท่าทีของลุงปาร์คเกอร์นั้นเปลี่ยนไป "เขาดื่มน้ำเข้าไปแล้วล่ะ และเขาจะหักคอตัวเองภายในสิบวินาทีถ้าเธอไม่ตามเราเข้ามา"
"ทำแบบนี้ไปทำไม? ฆ่าแหล่งเลือดเดียวที่พวกนายมีงั้นหรอ?"
"สิบ เก้า แปด...เจ็ด"
แวมไพร์หนุ่มตนนั้นเริ่มนับถอยหลังโดยไม่ลังเล ฉันพยายามจะมองหาจอห์นแต่กลับไม่เห็นวี่แววของเขา และเซตก็ยังไม่ได้สติอยู่ในรถ ชายใกล้เกษียณเริ่มยกมือทั้งสองมาไว้ที่คางของเขา ตัวเลขยังคงนับถอยหลังจนกระทั่งจอห์นที่หายหัวไปวาร์ปเข้ามาและกระซวกคอหอยของแวมไพร์หนุ่มที่กำลังจะนับถอยหลังถึงหนึ่ง ฉันพยุงร่างของลุงปาร์คเกอร์เอาไว้จนเขาหายจากการควบคุม
"เขาเป็นตัวอะไร?"
"แวมไพร์" จอห์นพูดออกมาหน้าซื่อๆ และโชว์เขี้ยวแหลมทั้งสองให้เขาดู "เราจำเป็นต้องใช้ไมค์ประกาศ ไม่งั้นทุกคนในเมืองคนโดนแบบที่คุณเป็นแน่"
"กะแล้วว่าทำไมถึงส่งคนมาอยู่ที่นี่กันเยอะเฉพาะวันนี้" ลุงปาร์คเกอร์หยิบพวงกุญแจส่งให้ฉัน "กุญแจดอกสีเขียวไว้เปิดเครื่องกระจายเสียง พอเดินตรงผ่านโถงกลางแล้วเลี้ยวขวา ขึ้นปล่องระบายอากาศจากห้องน้ำหญิงลงมาถึงห้องประกาศได้"
"รบกวนลุงกระจายข่าวให้คนในเมืองให้ทีนะคะ" ลุงปาร์คเกอร์พยักหน้าก่อนจะขับรถเก๋งคันเก่าหายไปที่ถนนสายหก ฉันและจอห์นมองหน้ากันอีกครั้ง "ถ้าฉันตาย ไม่ต้องตามกลับมานะ" ฉันมองจอห์นที่เคลือบแคลงใจเมื่อฉันกล่าวออกไปเช่นนั้น "ขอร้องว่าอย่าเปลี่ยนฉัน"
"อย่าพูดแบบนั้นสิ"
"โอกาสรอดของทุกคนเท่ากับศูนย์จอห์น แค่อยากจะบอกนายว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา...ฉันถูกชะตากับนายนะ" แวมไพร์หนุ่มหันควับ หน้าแดงระเรื่อ "ดีใจที่ได้รู้จักนายแวมไพร์เฮงซวย"
"เช่นกันยัยถุงเลือด"
จากนั้นเราสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในศาลากลาง จอห์นมือเปล่า แต่คงขู่ขวัญแวมไพร์พวกนั้นได้ด้วยคราบเลือดที่เขรอะตามตัว ส่วนฉันถือปืนฉีดน้ำที่บรรจุไปด้วยน้ำมนต์อยู่เต็มกระบอก ไม่นานเกินรอเราก็เจอวิกเตอเรียที่นั่งรออยู่ที่โซฟากลางโถง หล่อนจิบแชมเปญโดยไม่มีชายชุดดำยืนเฝ้าอย่างที่เป็น นั่นล่ะเป็นอะไรที่ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง
"เดาว่าพวกเธอคงตามหาฉันให้วุ่น" วีเดล่าสาวผมแดงวางแก้วแชมเปญลง "ไม่คิดว่านายจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้"
"ทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกันวิกเตอเรีย?"
"จำเรื่องที่ฉันเคยเล่าได้มั้ย ที่ว่าฉันถูกเปลี่ยนเป็นวีเดล่าเพราะถูกบังคับให้ดื่มเลือด นายเชื่อจนสนิทใจ...อันที่จริงฉันอยากเป็นเหมือนพวกนายต่างหาก และฉันนี่แหละจะเป็นคนสร้างอนาคตให้ยิ่งใหญ่กว่าสายเลือดดั้งเดิม"
ลางร้ายของอเล็กซ์ที่วิ่งพล่านอยู่ในตัวฉันเตือนว่ามีใครบางคนกำลังจะเล่นงานเราจากด้านหลัง ฉันหันกลับไปและใช้ปืนฉีดน้ำยิงใส่โดยไม่ลังเล ปรากฏว่าผู้โจมตีปริศนาคนนั้นคือเจ้าหน้าที่ฮันท์...แฟนเก่าของฉัน ความสงบนิ่งที่ดูน่ากลัวหลังจากโดนน้ำมนต์ฉีดใส่ทำให้ฉันตีความออกมาได้ว่าเขาไม่ได้กลายเป็นแวมไพร์อย่างที่เคยตั้งสมมติฐานไว้ ฉันรีบห้ามจอห์นที่กำลังจะตรงเข้าทำร้าย
"เขาไม่ใช่แวมไพร์"
"ก็เห็นได้ชัด" เจ้าหน้าที่หนุ่มผมทองยิ้มได้ใจก่อนจะโดนจอห์นอัดหมัดเข้ากลางจมูก "จะสั่งให้อย่าฆ่าพวกเขาสินะ"
"หมายความว่าไงที่ว่าพวกเขา?"
แวมไพร์หนุ่มร่างสูงผงกหัวไปยังด้านนอก ภาพที่ฉันคือประชาชนกลุ่มหึ่งที่กำลังมุ่งหน้ามายังศาลากลางด้วยความเร็วในการเดินที่ช้าจนดูน่ากลัว สายตาของทุกคนนั้นว่างเปล่า เหมือนกับตัวประหลาดหนังเรื่อง It Follow ไม่ผิด และเมื่อเราหันกลับไปเผชิญหน้ากับวิกเตอเรียเธอก็หายหัวไปแล้ว
"อีกครึ่งชั่วโมงคนในเมืองจะตื่นไปทำงาน เธอหยุดเรื่องนี้ไม่ได้หรอกอเลสซ่า"
"เออ พล่ามไปเถอะ"
ฉันมองธงอเมริกาที่ติดอยู่หน้าทางเข้าและใช้มันกันประตูไว้ อย่างน้อยก็ซื้อเวลา ใจนึงฉันก็ห่วงเซตที่ยังนอนอยู่ในรถและหวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เราวิ่งมาตามทางที่ลุงปาร์คเกอร์บอกไว้ และแน่นอนว่าเมื่อเราวิ่งมาถึงก็พบว่าประตูนั้นล็อกจากด้านใน จอห์นพยายามจะพังเข้าไปแต่ร่างกายเขากลับแสบร้อนจากบางอย่าง ไม่มีทางอื่นจะเข้าไปได้นอกจากการปีนขึ้นไปบนปล่องระบายอากาศ
เสียงกระแทกประตูระรอกแรกดังขึ้นในขณะที่ฉันและจอห์นวิ่งไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำหญิง ฉันเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์และส่องขึ้นไปบนเพดาน แวมไพร์หนุ่มปีนขึ้นบนฝาชักโครกและดึงซี่ระบายอากาศออก "ขึ้นมาเร็ว"
ฉันรีบปีนขึ้นไปและได้ยินเสียงประตูด้านหน้าถูกพังออก พ่อหนุ่มแวมไพร์มองหน้าฉันโดยที่เราสองนั้นรู้ดีว่าเขาต้องการจะทำอะไร เขาพร้อมจะฆ่าคนที่บุกเข้ามาพอๆ กับที่คนพวกนั้นอยากจะฆ่าเขา "ความหวังอยู่ที่เธอแล้วอเลสซ่า"
"อย่านะจอห์น" รอยยิ้มบนใบหน้าซีดขาวนั้นทำให้ฉันกลัวที่จะเสียเขาไป จอห์นวาร์ปหายออกไปยังด้านนอก "โธ่เว้ย!"
เสียงปะทะจากโถงกลางเริ่มดึงเอาความหวังออกไปจากฉันทีละน้อยมือข้างหนึ่งถือไฟฉายไว้ ส่วนอีกข้างมีปืนฉีดน้ำ ฉันคลานมาเรื่อยๆ จนถึงส่วนที่เป็นห้องกระจายเสียงก่อนจะถีบฝาปิดจนกระเด็นออกในครั้งเดียว ฉันมองปืนฉีดน้ำที่อยู่ในมืออย่างลังเลและตัดสินใจอมน้ำมนต์ในปริมาณเล็กน้อยก่อนจะกระโดดลงไป
"รู้มั้ยว่ามันสนุกยังไงเวลาเรากลายเป็นผู้ล่า" ฉันหันหลังกลับและถูกเจ้าหน้าที่สองคนซึ่งโดนวิกเตอเรียควบคุมคว้าตัวไว้จนล้มลง พวกเขาล็อกมือทั้งสองข้างของฉันให้ติดกับพื้น วีเดล่าสาวดึงเล็บที่ติดปลายมีดออกจากเหยื่อผู้โชคร้าย "ฉันเคยโดนจับไปขายเป็นทาสในตลาดมืด พวกแวมไพร์นี่แหละ รู้มั้ยว่าการที่โดนข่มขืนพร้อมกับฝังเขี้ยวไปด้วยมันเจ็บปวดขนาดไหน"
วิกเตอเรียย่อตัวลงก่อนจะใช้ใบมีดกรีดที่ต้นคอฉัน และเธอก็ชิมเลือดจากปลายใบมีด "ความกลัวมันทำให้เลือดมีรสชาติ พวกมนุษย์มักจะคิดตลอดว่าถ้ายอมทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงจอมซื่อ ฉันจะยอมปล่อยพวกเขาไป" วีเดล่าสาวที่เห็นว่าฉันไม่ตอบกลับใช้เล็บติดใบมีดเชิดคางขึ้นมา "ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดแบบนั้น"
ไม่รอช้า ฉันพ่นน้ำมนต์ที่อยู่เต็มปากใส่วีเดล่าที่ยื่นหน้าเข้ามา ยัยเขี้ยวกุดกรีดร้องอย่างทรมานก่อนที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองจะหมดสติไป ฉันใช้จังหวะนี้วิ่งไปเปิดเครื่องประกาศเสียง "ชาวเมืองทุกคนคะ นี่เป็นเสียงประกาศจากศาลากลาง ขอประกาศว่าอย่าดื่มน้ำจากท่อประปาเด็ด--"
ร่างของฉันถูกกระชากจากเครื่องกระจายเสียงและถูกโยนอัดจนบานประตูหลุดออก ใบหน้าของหล่อนที่สวยงดงามดั่งเทพีสี่สิบเปอร์เช็นต์นั้นกลืนหายไปกับน้ำมนต์เรียบร้อย สถาพไม่ต่างจากเฟรดดี้ ครูเกอร์ที่มีใบมีดสวมอยู่ที่นิ้วมากนัก แต่ก่อนที่วิกเตอเรียจะได้ชิงฆ่าฉันก็มีใครบางคนโผล่เข้ามาบีบคอเธอไว้ ฉันมองจอห์นที่มีแผลอยู่ทั่วทั้งร่าง ที่ดูโดดเด่นกว่าส่วนอื่นคงจะเป็นแผลที่ลากยาวจากริมฝีปากจนถึงใบหูเหมือนรอยยิ้มของตัวตลก
"ดูสวยขึ้นนี่ที่รัก" แวมไพร์ผมบลอนด์คว้าใบมีดเอาไว้ก่อนจะแยกเขี้ยว "เอาล่ะ...ยิ้มสวยๆ นะ"
จอห์นกัดเข้าที่ต้นคอยัยวีเดล่าตัวแสบและกระชากเศษเนื้อออกจนเลือดสีดำสนิทพุ่งออกมาจากบาดแผล และเขาก็โยนร่างของวิกเตอเรียทิ้งไปเหมือนขยะไร้ค่า แวมไพร์หนุ่มหันกลับมาและฉีกยิ้มให้ แต่ทว่าร่างของหล่อนที่ควรตายห่าไปแล้วกลับลุกขึ้นมาและตรงเข้าหาจอห์นที่ยืนหันหลังอยู่ ทันใดนั้นอเล็กซ์ที่โผล่มาแบบไร้ปี่ขลุ่ยก็บีบคอวีเดล่าสาวไว้
"บางทีเจ้าควรจะแยกแยะระหว่างคำว่าอยากอยู่กับดื้อรั้นที่จะอยู่ได้แล้วนะ วิกเตอเรีย"
ฉันมองแสงอาทิตย์ที่เริ่มสาดส่องเข้ามาพร้อมกับร่างกายของวิกเตอเรียที่ถูกแสงแดด ครึ่งตัวล่างของหล่อนสลายเป็นฝุ่นอย่างรวดเร็วในขณะที่แวมไพร์อัลฟายังยืนนิ่ง และเขาก็เริ่มก้าวเท้า หนึ่ง...สอง...สาม ร่างของเธอก็หายไปในพริบตาในท้ายที่สุด
"ลาขาดล่ะยัยหนู" ฉันมองอเล็กซ์ที่ทรุดลง "คืนนรกนะว่ามั้ย"
"คุณหายหัวไปไหนมา?"
แวมไพร์ร่างสูงไม่พูดแต่มองไปที่ประตู ที่ฉันเห็นคือชายหนุ่มคนหนึ่ง น่าจะอายุประมาณแมท...เดี๋ยวก่อน ฉันจำเขาได้ เขาคือลูอิสเพื่อนสนิทของน้องชายฉัน เราเคยเจอกันล่าสุดก็ตอนที่แมทพาเขามาเปลี่ยนชุดที่บ้านเมื่อวันฮาโลวีนปีก่อน ถึงจะจำหน้าไม่ได้ แต่ผิวสีแทนแบบหนุ่มสเปนนั่นใช่แน่ๆ
'อเลสซ่า!'
ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องของเซตสะท้อนอยู่ภายในร่างของฉัน ไม่มีวี่แววของเขา...ฉันตัดสินใจวิ่งออกไปที่รถเพื่อดูว่าเขายังอยู่ดีรึเปล่า แต่ทว่านักล่าผมแดงไม่ได้นอนอยู่ที่เบาะหลังเหมือนชั่วโมงก่อน ฉันต้องโดนเดนน่าฆ่าตายด้วยมือเปล่าแน่ ฉันพยายามตะโกนชื่อเขาออกไป แต่ไม่มีเสียงกวนประสาทของเขาตอบกลับมา
"เซต!"
[To Be Continued...]