[14] ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ความทรมานจากการสูญเสียต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า...แวมไพร์คือสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความตายและการสูญเสีย นั่นล่ะคือความทรมานที่แท้จริงของพวกเขา
และฉันกำลังจะกลายเป็นแวมไพร์...
ตัวฉันในตอนนี้กำลังล่อยลองในเศษเสี้ยวความทรงจำของใครบางคน มันต่างจากของจอห์นและอีเลียตตรงที่ว่าฉันจะได้เห็นบางอย่างในตัวพวกเขา ความสุขที่พวกเขาเคยมีก่อนจะถูกเปลี่ยน แต่ของอเล็กซ์...ฉันไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิดและว่างเปล่า เหมือนตัวฉันกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ เป็นดาวเคราะห์น้อยในวงโคจรของจักรวาลอันไร้สิ้นสุดแห่งนี้
'เจ้าคงเป็นคนที่ชายทหารม้าช่วยไว้'
เสียงของหญิงสาวสะท้อนขึ้นในความมืด และฉันก็ได้พบกับสาวโรมันในชุดนักรบลีเจนยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวนักรบ...เธอช่างสวยและงดงามจนฉันเองยังจ้องโดยไม่ละสายตา ทำไมฉันถึงมาเจอเธอแทนที่จะเป็นหน้าขรึมๆ ของอเล็กซ์ล่ะ?
"อะไรนะคะ?"
'ชายคนนั้น น่าเศร้าที่ปีศาจร้ายสาปส่งให้เขาต้องรับความเป็นนิรันดร์ไปตลอดกาล ทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้'
"คุณหมายถึงอเล็กซ์ใช่มั้ย?"
'เจ้าอาจเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาได้พบความสงบ อเลสซ่า'
ฉันตื่นขึ้นโดยไม่มีผิวหนังซีดๆ หรือเขี้ยวงอกออกมาให้ตัวเองตกใจเล่นและพบเซตที่ทำหน้าเป็นกังวลยิ้มออกเมื่อเห็นฉันยังไม่ตาย...อีกครั้ง ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่มานั้นเขรอะกรังเหมือนอาบบ่อเลือดมา มีทั้งเลือดของปีเตอร์และของฉันนองอยู่บนพื้นคอนกรีตจนดูน่าสะอิดสะเอียน
"เธอโอเคนะ?"
"อเล็กซ์ล่ะ..."
"หายไปแล้วเมื่อกี้ คงหนีหน้าเธอล่ะมั้ง"
นักล่าหนุ่มพยุงตัวฉันให้ยืนขึ้นและวิ่งไปปลดปลอกคอหนามที่พันธนาการจาเวียร์ออก มนุษย์หมาป่าหนุ่มลูบแผลที่ถูกหนามแหลมเสียบรอบคอก่อนจะมองฉันด้วยความเป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันเป็นห่วงเขามากกว่า...ตรงที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเนี่ยแหละ ส่วนคริสตัลที่ฉันยังไม่วางใจนั้นถูกเซตป้อนเลือดเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนัก
"อาการหล่อนไม่โอเคแล้วนะ!" อดีตนาวิกพยายามคุมร่างของแวมไพร์สาวผิวเผือกไม่ให้คลุ้มคลั่ง เซตจำใจต้องหยิบเข็มยามาฉีดเพื่อระงับอาการของคริสตัลไปก่อน "ต้องรีบหาเลือดก่อนที่ร่างเธอจะปรับสภาพไม่ไหว"
"ที่บ้านฉัน...มีเลือดสำรองเก็บไว้อยู่" ฉันส่งเสื้อและกางเกงที่จาเวียร์ฝากไว้กลับคืน "คงพอจะช่วยได้"
จากนั้นจาเวียร์ก็เป็นคนที่แบกคริสตัลออกมา และเราก็เดินผ่านแวมไพร์หนุ่มตัวเดิมที่ยังถูกล่ามกับโซ่ตรวนโดยมีสภาพไม่ต่างจากคริสตัลเท่าไหร่นัก แวมไพร์หนุ่มตัวซีดพยายามเงยหน้าขึ้นมองพวกเรา ความกวนประสาที่เขาเคยมีในตอนแรกนั้นลดลงตามเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ "ได้โปรด...แก้โซ่ตรวนที"
ฉันมองเซตที่ยังคงไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ความช่วยเหลือจนฉันต้องขอร้องเขา "ปล่อยเขาไปเถอะนะ เซต"
"โธ่เว้ย" นักล่าหนุ่มผมแดงถอนหายใจและสบถออกมา แต่ก่อนที่จะแก้กุญแจมือให้เซตก็ผลักฉันออกมา "นายติดหนี้พวกเรา...โดยเฉพาะเธอ ถ้าเราอยากให้นายช่วยนายต้องโผล่หัวออกมา...เข้าใจใช่มั้ย?"
แวมไพร์หนุ่มซึ่งไร้ทางเลือกพยักหน้าตอบรับคำขอในทันที จากนั้นเซตก็เป็นคนที่ถอดกุญแจมือให้ แวมไพร์แปลกหน้ามองฉันและกลืนน้ำลาย แต่สายตาของเซตที่มองเขานั้นเป็นการบอกว่าให้เขารีบไปให้พ้นๆ หน้าซะ และร่างของแวมไพร์หนุ่มแปลกหน้าก็หายไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว "เราไว้ใจเขาได้ใช่มั้ย?"
"อย่าห่วงเลย แวมไพร์มีข้อยึดมั่นในการให้คำสัญญานะรู้มั้ย เธอเคยได้ยินคำสัญญาจากเจ้าของถุงเลือดมั้ยล่ะ?" ฉันส่ายหน้า "นั่นล่ะ พวกเขาจะไม่ชอบให้คำสัญญากับใคร เพราะถ้าทำไม่ได้ล่ะก็..."
เซตต้องจำใจทิ้งความสงสัยของฉันไว้เพียงเท่านั้นเมื่อคริสตัลไอออกมาเป็นเลือดมากขึ้น เราใช้รถของปีเตอร์ที่จอดทิ้งไว้ขับมุ่งหน้าไปยังบ้านของฉัน ในก่อนรุ่งเช้าของวันที่ฉันนัดพ่อและแม่ตัวเองให้มาทานอาหารกับว่าที่แฟนกำมะลอ แน่นอนว่าฉันยังไม่ได้คิดหาคำสวยหรูมาบอกพวกเขาหรอกว่าฉันจะเอาเลือดที่เก็บไว้ไปทำอะไร แต่ถ้าแวมสาวผิวเผือกนี่ตายล่ะก็จอห์นคงโกรธฉันแน่ ว่าแต่เขานี่ชอบหายหัวไปเวลาที่มีเรื่องสำคัญอยู่เรื่อยเลย
เลือดที่คริสตัลไอออกมาเปื้อนเลอะอยู่ทั่วเบาะหลัง จนเมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้านฉันและอีกสองหนุ่มก็พาร่างแวมไพร์สาวเข้าไป ฉันเห็นพ่อกับแม่ที่กำลังดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่นมองพวกเราที่บุกเข้ามา ใช่...ฉันรู้ว่าตัวเองทำทุกอย่างที่พวกเขาวาดฝันไว้พังจนหมด และรู้ว่าคงต้องรับมือกับคำถามที่ว่า 'ลูกพาตัวอะไรเข้ามาในบ้านเรา' หรือที่มากกว่านั้น แต่หน้าที่ฉันในตอนนี้คือหาเลือดให้คริสตัลและยื้อไม่ให้เธอตายซะก่อน
"พ่อคะ! หนูต้องการเลือดเดี๋ยวนี้เลย" ฉันและเซตย้ายของที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวและวางตัวแวมไพร์สาวที่อาการร่อแร่ลง ในตู้เย็นไม่มีถุงเลือดเหมือนอย่างที่เคยมี "ถุงเลือดหายไปไหน? แม่คะ! เห็นถุงเลือดที่เก็บไว้มั้ย?"
"เธอเป็นอะไรน่ะ" แม่ที่จะยื่นมือไปแตะแก้มคริสตัลถูกเซตคว้ามืออย่างรวดเร็ว เหมือนมันเป็นสัญชาตญาณของเขา "เรื่องมันซับซ้อนน่ะครับ หล่อนเสียเลือดมากและกำลังจะตายถ้าไม่มีเลือดให้ดื่ม"
"พ่อเอาเลือดกลับไปไว้ที่โรงพยาบาลหมดแล้ว" พ่อเดินมาพร้อมเครื่องฟังเสียงหัวใจในมือก่อนจะเงียบไปเมื่อลองแตะที่อกคริสตัล "ชีพจรหล่อนอยู่ไหนเนี่ย? แอนนา! เลือดในห้องใต้ดิน"
ฉันเห็นแมทที่เดินลงมาเงียบๆ มองคริสตัลที่นอนอยู่ พ่อวิ่งหายไปยังห้องใต้ดินเพื่อช่วยหาเลือดและทิ้งพวกเราไว้ เซตหันมากระซิบ "ให้เลือดหล่อนไม่ได้รึไง"
'"นายช่วยดูสภาพฉันก่อนได้มั้ย? ขืนเธอคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมาล่ะ"
น้องชายฉันเดินเข้ามาดูคริสตัล มันแปลกที่ว่าน้องชายฉันกลับมองเธอเหมือนคนคุ้นเคย ที่จริงก็เคยสงสัยมาตั้งแต่สองคนนี้เจอกันครั้งแรกแล้วล่ะว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนรึเปล่า ไม่นานข้อสงสัยก็กระจ่างเมื่อแมทตี้ น้องชายฉันที่เป็นถึงหนุ่มฮอตที่สุดในรุ่นดึงแขนเสื้อขึ้น "เธอติดหนี้ฉันยัยเขี้ยวยาว"
"อะไรนะ..."
แวมไพร์สาวคว้าหมับที่ข้อมือของน้องชายฉันและกัดเข้าไปเต็มแรง นั่นสร้างคำถามให้เรื่องแปลกที่สองกับฉันที่ว่าแมทไม่ได้ทำหน้าเหยเกเหมือนพวกที่โดนกัดครั้งแรกหรืออย่างที่ฉันเคยโดน เขาชินแล้ว...แมทเป็นถุงเลือดให้แวมไพร์เหมือนอย่าที่ฉันเป็น คริสตัลที่ใกล้ตายในตอนแรกสลบเหมือดไปเมื่อรับเลือดของน้องชายฉันเข้าไป
"พระเจ้า...นี่มันอะไรกันแมท?"
ฉันมองพ่อและแม่ที่จ้องเราที่อยู่ในห้องกินข้าวเหมือนพวกตัวประหลาด จะว่าไปมันก็จริงอยู่นะ มีทั้งแวมไพร์ หมาป่า นักล่าและถุงเลือดอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ เราพูดไม่ออก จนแม่ที่รับไม่ได้ล้มพับกองกับพื้น น้องชายฉันวิ่งไปดูอาการแม่ ส่วนฉันและจาเวียร์เข้าไปสบทบทีหลัง "คริสตัล ฉันว่าตอนนี้ฉันอยากให้เธอ..." แวมไพร์สาววาร์ปหายออกไปแล้ว ไม่มีคำขอบคุณจากปากของเธอแม้แต่คำเดียว "บ้าเอ้ย"
"ฉันควรต้องไปบอกอีเลียต" ฉันหันไปพูดกับจาเวียร์และมองน้องชาย "ฝากดูแลแม่ก่อนนะ"
พ่อที่ยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นพยายามจะห้ามฉันไว้ แต่จาเวียร์รั้งตัวพ่อและกระซิบกับเขา เพียงแค่เสียงกระซิบ ก่อนที่อดีตนาวิกร่างใหญ่จะหันมาพยักหน้า "ไปเถอะ ฉันจัดการตรงนี้เอง"
ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรที่จะต้องทำยังไงหลังจากนี้ ไม่รู้ว่าต้องไปขอความช่วยเหลือใครด้วยซ้ำ ไอ้แวมไพร์เฮงซวยก็หายหัวไปเลยหลังจากวันที่เราทะเลาะกัน เหลือแค่อีเลียตคนเดียวที่ฉันจะไปขอความช่วยเหลือได้ ขออย่าให้เขาผลักไสฉันอย่างที่คนอื่นทำเถอะนะ
"จะออกไปไหนคนเดียวน่ะ?" สาวนักล่าผมแดงทักทายฉัน สงสัยคงแอบรออยู่หน้าบ้านนานแล้วซะด้วย "เธอนี่น่าจับไปทำเป็นเครื่องรางดึงดูดพวกตัวดูดเลือดดีนะว่ามั้ย"
"ว่างมากก็ไปจัดการเรื่องวีเดล่าซะสิ"
ฉันมองเดนน่าอย่างไม่สบอารมณ์นักและกำลังจะเดินออกมา แต่เธอกลับเข้ามายืนขวางไม่ให้ฉันไปง่ายๆ ไม่เคยคิดอยากจะต่อยหน้าใครหงายหลังมาก่อนจนเจอเธอนี่ล่ะ แม่สาวนักล่าหัวรั้นจ้องฉันตาไม่กะพริบโดยที่ฉันก็จ้องเธอไม่ละสายตาเช่นกัน จนเมื่อเซตเดินออกมาและเห็นเราสองคนยืนเล่นสงครามจิตวิทยากันอยู่
"เดนน่า? พี่มาทำอะไรที่นี่"
"ไม่เอาน่ะเซต พี่ก็มีงานต้องทำนะ เรามีงานต้องทำ" ใบหน้าเย็นชานั้นยิ้มเสแสร้ง "ฉันมาหาความช่วยเหลือ"
"เธอนี่มันนิสัยเสียกว่าพวกแวมไพร์อีก"
ฉันผลักร่างเดนน่าที่ขวางทางอย่างหงุดหงิด แต่ดูเหมือนฉันคงไปสะกิดต่อมน้ำโหของเธอเข้าให้โดยไม่ได้ตั้งใจ เดนน่าหยิบหมุดเงินมาจ่อที่คอฉันไว้ ความโกรธในดวงตาคู่งามนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าแวมไพร์หรือวีเดล่าบางตัวซะอีก "อย่า...เอาฉันไปเปรียบเทียบกับตัวประหลาดพวกนั้น ถ้าเธอยังกล้าดีมาพูดแบบนี้กับฉันอีก ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าพวกมันกับเราต่างกันยังไงให้ดู"
"เดนน่า!"
ร่างเล็กปล่อยฉันและเดินเข้าไปในบ้านฉัน "ให้เซตไปกับเธอคงจะดีกว่า ฉันจะดูแลครอบครัวเธอเอง"
"ขอบใจ..."
เราสองคนพักศึกไว้เพียงเท่านี้และแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เซตถอนหายใจเอือมระอาและมองฉันเป็นการบอกว่าเสียใจขนาดไหนที่พี่สาวของเขาเกือบจะฆ่าฉัน คงจะจริงที่ว่าพี่กับน้องจะมีนิสัยที่ต่างกันลิบลับเสมอ ฉันกับแมทยังเป็นแบบนั้นเลย ทำไมเซตกับเดนน่าจะไม่ล่ะ?
นักล่าหนุ่มผมแดงและฉันใช้เวลาไม่นานในการนั่งรถมาที่คลับแวมไพร์อีกครั้ง แต่ก่อนจะเข้าไปฉันก็ยืนนิ่งอยู่หน้าร้าน นานมากจนเซตที่กำลังจะเดินนำไปก่อนต้องหันมามอง "มีอะไรรึเปล่า?"
"นายจะโอเคใช่มั้ย? แบบว่านายเป็นนักล่าแวมไพร์..."
"และในนั้นก็มีฝูงแวมไพร์รออยู่" นักล่าจอมทะเล้นชี้ประตูด้านหน้าและยิ้มเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเขาก็อ้าแขนให้ฉัน "ขอกอดเสริมกำลังใจหน่อยสิ"
ฉันถอนหายใจและโอบกอดหนุ่มนักล่าร่างสูงโดยที่ไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ฉันกอดทำไม เซตดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ตื่นเต้นมากกว่าฉันที่เคยเจอแวมไพร์มาเพียงน้อยนิดซะอีก กระจกเบื้องหน้าที่เป็นจริงในตอนนี้เงียบสงบเหมือนเช่นทุกๆ เช้า แต่อีกฝั่ง...กระจกสะท้อนสีดำนั้นไม่เคยหลับไหล กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกแวมไพร์ไปซะแล้ว เซ็กส์ ยา ความกระหาย เป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอะไรได้บ้าง และวิเวียนก็เข้ามาทักทายฉันอีกครั้ง
"คงจะมาหาคริสตัลสินะ" แวมไพร์สาวผมสั้นร่างเล็กชายตามองที่นักล่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างฉัน "ไม่ได้เจอพวกนักล่ามานานเลยแฮะ ไม่นึกว่าจะยังเหลือพวกที่หล่อน่าหม่ำอยู่มานานขนาดนี้...พวกดรูอิคใช่มั้ย?"
"คุณก็คงจะอยู่มานานเหมือนกัน จะว่าไป...ผมก็ไม่เคยเจอแวมไพร์ที่ดูมีเสน่ห์เท่าคุณมาก่อนเลย พระเจ้าน่าจะให้ผมเจอคุณเร็วกว่านี้ว่ามั้ยครับ?"
"อย่าดีกว่า ไม่งั้นฉันคงตายเพราะหน้าหล่อๆ ของนาย ตามมานี่ทั้งคู่เลย"
ฉันเดินตามวิเวียนมาโดยหวังว่าจะได้เจอกับจอห์นที่หายไปตั้งแต่เมื่อวานซีน จากความโกรธที่เขาเคยตวาดใส่ฉันและเซตเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วง ไม่ว่าเรื่องจะแย่ขนาดไหน เขาจะหาฉันเจอเสมอ แต่จากเหตุการณ์ที่ฉันเกือบตายในโรงงานร้างเมื่อวานและจอห์นไม่โผล่หัวมาช่วย มันต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา...ฉันรู้สึกแบบนั้น
"อเลสซ่า" แวมไพร์หนุ่มผมดำที่กำลังปลอบคนตรงหน้าหันมาหาฉัน จนเมื่อเขาเดินห่างออกมา ฉันก็เห็นว่านั่นเป็นคริสตัลที่ร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดอยู่บนโซฟา "ฉันกับคริสตัลไม่รู้สึกถึงจอห์นตั้งแต่เมื่อวาน เหมือนเขา...ตาย แต่ไม่ใช่แบบนั้นนะ แค่เปรียบเทียบว่าเป็นแบบนั้น" แวมไพร์สาวผิวเผือกสะอึ้นหนักกว่าเดิมเมื่ออีเลียตพูดแบบนั้นออกไป "หุบปากซะทีคริสตัล!"
"เรื่องที่ปีเตอร์เอาเลือดแวมไพร์ไป...ไม่ว่ายังไงมันต้องเกี่ยวกับการที่เขาหายไปแน่" เซตเสนอสมมติฐานของเขา คงจะเป็นอย่างนั้น
'อเลสซ่า...'
ฉันชะงักและหันมองรอบห้อง "จอห์น?" เสียงของเขาแว่วอยู่ในโสตประสาทของฉัน ฉันกำลังรับรู้ถึงเขา "จอห์นคุณอยู่ที่ไหน?"
'ถ้าเธอได้ยิน อย่า...ตามหาฉัน ถ้าเจอหน้าฉันเมื่อไหร่ เธอต้องฆ่าฉัน'
"จอห์น? หมายความว่าไงน่ะ คุณอยู่ที่ไหน? จอห์น...เฮ้!"
เซตและอีเลียตมองฉันด้วยความแปลกใจ คงคิดล่ะว่าจอห์นคุยกับฉันได้ยังไงทั้งๆ ที่ตัวผู้สร้างเองยังทำไม่ได้ เซตยื่นมือมาแตะหน้าผากฉันที่กำลังมีเหงื่อเม็ดเล็กหยดลงมา "โอเครึเปล่า?"
"ฉันต้องไปแล้ว"
ร่างกายฉันในตอนนี้เริ่มร้อนผ่าวหลังจากที่สัมผัสได้ถึงจอห์น หัวใจเต้นเร็วจนทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด และฉันก็วิ่งออกจากห้องของอีเลียตโดยไม่มีสาเหตุมาจนถึงหน้าคลับแวมไพร์ หลังจากนั้นความทรมานในร่างกายฉันก็หายไป ทุกอย่างไม่เข้าท่าเลย ทำไมจอห์นต้องขอร้องให้ฆ่าเขาด้วย
"อเลสซ่า!" ฉันหันกลับไปมองเซตที่คงวิ่งตามอกมายืนหอบอยู่ "จะวิ่งออกมาทำไม...ตกใจแทบแย่รู้มั้ย?"
"จอห์นกำลังแย่ ฉันรู้สึกได้ว่าเขา...เจ็บปวด" ฉันนึกย้อนถึงคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน "จอห์นขอร้องให้ฉันฆ่าเขาซะ"
"แล้วทำไมเขาต้องพูดแบบนั้นกัน?"
ยังไม่ทันที่เราจะได้คิดว่าเหตุผลที่จอห์นบอกฉันไปแบบนั้นคืออะไร รถตู้ขนสินค้าคันหนึ่งก็ขับเข้ามาช้าๆ และจอดที่หน้าคลับ ฉันกับเซตรออยู่นาน ไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติ จนเมื่อใครบางคนโผล่มาด้านหลังและใช้ผงบางอย่างเป่าใส่เราสองคน ร่างสูงของเซตล้มกองกับพื้น ส่วนฉันที่พยายามฝืนร่างกายไม่ให้ล้มลงแอบหยิบเข็มยาที่วิกเตอเรียให้ไว้และเซไปหาแวมไพร์หนุ่มที่รอรับอยู่ และร่างเขาก็ล้มลงโดยมีเข็มยาปักอยู่กลางอก
เซตถูกลากเข้าไปด้านหลังรถ ส่วนฉันที่เริ่มอ่อนแรงถูกแวมไพร์อีกคนอัดหมัดเข้าเต็มลิ้นปี่จนร้องไม่ออก สัมผัสเย็นเฉียบคล้องบนข้อมือทั้งสองข้างของฉันและเซตซึ่งแน่นิ่งไปแล้วอย่างรวดเร็ว จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกจากคลับไปอย่างเงียบเชียบ ฉันหันไปมองคนขับและนึกจำเขาได้...คนของวิกเตอเรีย ไหนว่าเธออยู่ข้างเดียวกับฉันไง
"ทำไมต้องทำแบบนี้...วิกเตอเรียจะทำอะไร?"
"ไม่เบื่อคำถามแบบนั้นรึไง" ดวงเนตรสีดำสนิทและเขี้ยวของเขากระทบกับแสงแดดยามเช้าโดยไร้ผลข้างเคียงใดๆ "เดี๋ยวก็รู้เองน่ะ"
ฉันมีงานอดิเรกอย่างหนึ่งที่เคยเล่นกับฮันท์...แฟนเก่าเป็นประจำ ตอนนั้นเขาเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงานเป็นตำรวจได้เพียงอาทิตย์กว่าๆ หนุ่มหล่อในชุดตำรวจสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านทาโก้ของจาเวียร์ ฮันท์สบตาฉันในช่วงเวลาที่ฉันจดรายการอาหารให้เขา และหลังจากนั้นเราก็เข้ากันได้ดีอยู่เกือบปีเลย ข้อดีของการมีแฟนเป็นตำรวจคือกุญแจมือที่มีไม่จำกัด แอบหยิบของเขามาสะเดาะเล่นจนคล่องเลยล่ะ
และแน่นอน...ฉันมีตัวสะเดาะกลอนติดตัวมาด้วยตอนนี้
ฉันตัดสินใจไม่เพิ่มบทสนาทนากับคนของวิกเตอเรียและหันมองชายอีกคนที่โดนฤทธิ์ยาของแวมไพร์สาวเข้าไป คงจะเป็นแค่เลือดของพวกหมาป่าที่ทำให้พวกแวมไพร์อ่อนแรงเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาได้ระยะหนึ่งล่ะ ฉันเปลี่ยนให้ตัวเองนั่งอิงกับรถและใช้เท้าสะกิดร่างของนักล่าหนุ่มผมแดงให้ตื่น แต่ดูเหมือนเซตจะสูดผงยาเข้าไปเต็มฟอดเลยแฮะ...ทิ้งฉันไว้คนเดียวอีกแล้วสิ
หลังจากผ่านความเงียบอันน่าอึดอัด รถก็จอดที่ด้านในโกดังอีกครั้งโดยมีวิกเตอเรียรอต้อนรับอยู่ ร่างเซตถูกโยนลงโดยมีฉันที่โดนล็อกคอก้าวตามลงไป
"ไงอเลสซ่า รู้สึกเหมือนเพิ่งเจอกันเมื่อวานเลยว่ามั้ย?" สาวร่างเล็กผมยาวยกนิ้วที่สวมเล็บซึ่งลับมาจนคมลูบที่กกหูฉัน "จำได้มั้ยว่าฉันเคยบอกว่าอย่าไว้ใจคนอื่น"
"รวมทั้งเธอด้วย"
ความเชื่อใจที่วิกเตอเรียเคยให้ฉันกำลังแทงทะลุจากด้านหลัง มันเจ็บปวด...ความเชื่อใจไม่ใช่สิ่งที่จะมอบให้ใครง่ายๆ แต่ฉันเชื่อหมดใจว่าเธอจะช่วยกำจัดพวกวีเดล่าให้หมดไปจากเมืองนี้ และในตอนนี้ฉันก็พอเดาได้ว่าแผนหาเลือดของปีเตอร์ถูกใครเป่าหูมา แผนที่จะกำจัดพวกแวมไพร์มากที่สุดเท่าที่พอจะทำได้
"เดาว่าปีเตอร์คงได้คำแนะนำในการดูดเลือดแวมไพร์มาจากเธอ เลือดพวกนั้นคงไม่ได้ใช้ฆ่าแวมไพร์จริงๆ สินะ"
"อย่างน้อยก็ดีที่มีคนช่วย ก็แค่มนุษย์ที่จมอยู่กับความแค้น ควบคุมไม่ยาก"
"ทำไมถึงอยากกำจัดพวกเดียวกับตัวเองล่ะ โลกมันไม่น่าอยู่รึไงถึงอยากทำลายทิ้ง หรือมีปัญหาพ่อไม่รักถึงกลายมาเป็นคนเลว?"
วิกเตอเรียขมวดคิ้วฉงน และหล่อนก็แค่นหัวเราะออกมา "ใครว่าฉันเป็นแวมไพร์ล่ะ?"
"...วีเดล่า ทำไมฉันถึงไม่เคยแปลกใจเลยนะ?"
"พาหล่อนไปห้องกระจก"
ฉันที่จะวิ่งเข้าไปหาวีเดล่าสาวถูกกลุ่มนิวโฮปซึ่งเป็นแวมไพร์ซะส่วนมากอัดหมัดใส่กลางอกก่อนจะลากไปที่ลิฟท์ตัวเดิม พยายามตะโกนขอให้เซตช่วยเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมตื่น ฉันกำลังสัมผัสกับความสิ้นหวังอีกครั้ง จนในที่สุดก็มาถึงห้องกระจกที่วิกเตอเรียพูดถึง เป็นเพียงห้องโล่งที่มีกระจกเต็มบานติดอยู่บนผนังทั้งสองด้านเท่านั้น
"เลือดนักสู้ใช่มั้ยนังหนู" หนึ่งในพวกมันเชิดคางฉันขึ้นในขณะที่อีกสองคนกำลังล่ามโซ่ตรวนที่ข้อเท้า ดวงเนตรสีดำสนิทพร้อมเขี้ยวที่ปรากฏเริ่มทำฉันกลัว " ถ้านายหญิงไม่สั่งฉันคงจะกัดเธอไปแล้ว แต่อย่าห่วงเลย ฉันจะเป็นผู้สร้างให้เธอเอง...ร่างกายเธอคงจะบำเรอเราได้อีกหลายอาทิตย์เลยล่ะ"
แวมไพร์หนุ่มร่างสูงมองไปที่ไหล่ขวาของฉันและฉีกเสื้อที่เขรอะเลือดมาตั้งแต่เมื่อคืนจนขาดออก "โอ๊ะโอ...ดูเหมือนถุงเลือดจะมีเจ้าของแล้วสิ" ฉันจำไม่ได้ว่าจอห์นเคยกัดตรงหัวไหล่มาก่อน "ยิ่งน่าสนุก"
และกลุ่มนิวโฮปสามคนก็ออกไปจากห้องพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ถูกโยนเข้ามาแทนที่ ผมบลอนด์ที่เคยเป็นทรงชุ่มเหงื่อจนเรียบ ฉันรู้ทันทีว่านั่นคือจอห์น แวมไพร์เฮงซวยผู้เป็นเจ้าของฉัน โซ่ที่รั้งข้อเท้าไว้น่าหงุดหงิดจนฉันต้องหยิบตัวสะเดาะกุญแจออกมาปลดโซ่ที่ล็อกไว้ "จอห์น?"
"อเลสซ่า?" น้ำเสียงของเขาแหบพร่าจนดูน่ากลัว สภาพไม่ต่างกับคริสตัลที่โดนสูบเลือดจนเกือบตายนัก "เธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่"
"จอห์น...พระเจ้า"
ดวงตาแบบที่แวมไพร์ทั่วไปควรจะมีเปลี่ยนเป็นสีแดงขุ่นและแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา เหมือนในหนังสยองขวัญ...บางอย่างในตัวฉันกำลังบอกว่านั่นไม่ใช่สภาพที่ฉันควรจะเข้าไปเสวนากับเขา ถึงแม้จอห์นจะไม่เคยคิดอยากทำร้ายฉันก็ตาม แวมไพร์ผู้เคยช่วยชีวิตฉันกำลังมองมาเหมือนผู้ล่าที่หิวโหยพร้อมกับเขี้ยวที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนควบคุมไม่ได้
"จอห์น อย่าเข้ามานะ!"
[To Be Continued...]