[13] ทุกอย่างหนาวเหน็บ เคว้งคว้างและว่างเปล่า นั่นคือสิ่งที่จะได้รับจากการเป็นแวมไพร์ ชีวิตที่ผ่านไปจะไร้ความหมายและถูกครอบงำด้วยความหิวกระหายแบบสุดขีด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บางครั้งเราก็แบ่งจำพวกเป็นสัตว์ชั้นสูงกับเดรัจฉานไม่ได้สักที เรามีสมอง สื่อสารรู้เรื่อง แต่จำใจต้องล่าเหยื่อด้วยสัญชาตญาณของผู้ล่า นั่นเป็นสิ่งที่ผู้สร้างไม่เคยบอกก่อนที่ผมจะถูกเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
จนกระทั่งเธอคนนั้นเข้ามาในชีวิตผม อเลสซ่า มาร์สัน หญิงสาวที่มีสภาพบอบช้ำไม่ต่างจากพวกเรานัก ผมรู้จักครอบครัวของเธอพอๆ กับที่รู้จักเมืองนี้มา แต่ไม่รู้ทำไมอเลสซ่ากลับทำให้ผมนึกถึงใครบางคน ทำไมกันนะ?...
ผมเป็นทหารในช่วงปฏิวัติอเมริกา ถ้าให้นับจนถึงตอนนี้ผมคงอายุสามร้อยกว่าปีแล้วล่ะ...อะไรนะ มีคนบอกว่าหนึ่งพันงั้นหรอ? งั้นคนที่บอกมาแบบนั้นคงจะโดนสูบเลือดมากไปจนสมองขาดเลือดแล้วกระมัง ระหว่างการเดินทางไปที่บอสตัล พวกบริเตนก็เข้าโจมตีพวกเรา ไม่มีอะไรยืดยื้อและยาวนานในสนามรบ แต่ความสูญเสียนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้ง ศพของเพื่อนทหารและศัตรูนอนเกลื่อนบนพื้น ผมโชคดีที่ไม่เป็นหนึ่งในนั้น
ระหว่างการนับศพทหาร ผมได้เจอกับชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อของฝ่ายบริเตนกำลังทำอะไรบางอย่างกับศพที่นอนอยู่บนพื้น และเมื่อเขาหันมาผมก็ได้พบกับสัตว์ร้าย...ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นทักทายผมด้วยเขี้ยวแหลมๆ สองซี่และดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น และเขาก็ไปโผล่บนหุบเขา จงใจมองเหมือนอยากจะให้ตามไป ความมืดเริ่มปกคลุมจนฟ้าสีส้มกลายเป็นสีครามพร้อมกับลมพายุที่กำลังใกล้เข้ามา ผมพยายามมองหาชายคนนั้น
"ตามหาฉันอยู่สินะไอ้หนุ่ม" ปืนในมือผมเกือบหล่นลงเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า "ไม่คิดเลยว่านายจะตามฉันมาไกลขนาดนี้"
ชายทหารบริเตนมุ่งหน้าเข้ามาด้วยท่าทางน่ากลัวจนผมต้องถอยเพื่อตั้งหลัก แต่เขาก็โผล่มาด้านหลังและดึงอาวุธในมือผมออก "กลัวงั้นหรอ?"
ผมมองปืนติดดาบพร้อมกับใบหน้าเย้ยหยั่นของเขาที่กำลังขู่แยกเขี้ยวให้ผมกลัว อะดรีนาลีนสูบฉีดจนทำให้วิ่งเร็วขึ้น แต่ก็ไม่มากพอจะหนีจากปีศาจตนนั้น เขาโผล่มาอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับใช้เท้าเหยียบปืนไว้ ดวงตาสีดำและเขี้ยวน่ากลัวหายไป เขากำลังพยายามใช้ไม้อ่อนกับผม
"แกเป็นตัวอะไร..."
"ฉันดูนายสู้อยู่ในสนามรบ ไม่เคยเจอใครที่สู้ได้แข็งแกร่ง...สวยงามเหมือนพวกเรามานานมาก" ชายคนนั้นดึงดาบที่ติดเข็มขัดให้ผม "ทำให้ฉันประทับใจหน่อย"
ดวงตาเย้ยหยั่นปนความคาดหวังมองดาบเล่มนั้น ผมรีบหยิบมันขึ้นมาและแทงเข้ากลางอกของทหารคนนั้นโดยไม่รอให้เขาเชิญชวน แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไร ดวงเนตรสีดำสนิทจ้องผมด้วยความพอใจก่อนจะถีบเข้าที่ท้องจนผมหงายหลัง แทบจะลุกขึ้นไม่ทันเมื่อเขากระทืบเท้าลงมา ดาบที่เสียบคาร่างชายคนนั้นถูกดึงออกมาอย่างง่ายดาย
"เพื่อนทหารของนายคงทำให้เราอิ่มไปหลายเดือนเลยนะ รวมถึงเลือดนายด้วย"
"อย่าบังอาจทำร้ายพวกเขา" ผมหยิบมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าบู้ตมาป้องกันตัว "ถ้าจะทำ นายต้องฆ่าฉันซะก่อน"
ผมพุ่งเข้าหาสัตว์ร้ายโดยไร้ความเกรงกลัว แต่เขากลับทำผมแปลกใจโดยการหายตัวมาอยู่ด้านหลังและหักแขนที่ผมใช้ถือมีดอยู่จนได้ยินเสียงกร๊อบ ก่อนที่มีดจะหล่นลง ผมใช้มือซ้ายรับมันไว้และแทงเข้าที่ต้นคอของปีศาจตนนั้นจนสุดแรง เสียงหัวเราะที่เขาแค่นออกมาเป็นการบอกว่าไม่มีอะไรสามารถทำอันตรายเขาได้แม้แต่น้อย
"แกเป็นตัวอะไรกันแน่..."
"เราคือคำสาปของลูซิเฟอร์ เจ้ามนุษย์"
เสียงของชายอีกคนอยู่ด้านหลังผม แต่ก่อนจะได้ทันป้องกันตัวเขาก็ล็อกคอผมไว้ ส่วนทหารบริเตนที่มีมีดปักคออยู่เพียงแค่ดึงมันออกและเดินมุ่งหน้ามา แน่นอน...คราวนี้ควรเป็นเวลาที่ผมควรเริ่มกลัวได้แล้ว
"ข้าไม่เคยเห็นใครสู้รบอย่างบ้าระห่ำเท่าเจ้ามาก่อน...แรงผลักดันประเภทไหนกันที่ทำให้เจ้าพิเศษเช่นนี้?"
ผมได้ยินเสียงบางอย่างที่เสียดสีจากด้านหลังก่อนที่คมเขี้ยวของชายอีกคนจะฝังเข้ามาในร่าง เขาเลือกที่จะปล่อยให้ผมได้กรีดร้องแทนที่จะปิดปากเงียบอย่างที่ทำกับทหารคนอื่นๆ ไอเย็นวาบวิ่งแล่นในเส้นเลือดจนความทรมานหยุดชะงักลง และร่างผมที่ถูกดูดเลือดก็โดนโยนลงพื้นอย่างไร้ความปราณี เลือดยังคงไหลออกจากบาดแผลที่ลำคอ ทันใดนั้นผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าผมกำลังจะตาย
และในท้ายที่สุดผมก็ได้เห็นใบหน้าของปีศาจร้ายที่สูบเลือดและดวงวิญญาณของตัวเอง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดทหารบริเตนเต็มยศ ผมสีบลอนด์ที่ถูกมัดรวบเป็นประกาย เป็นชายหนุ่มที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมได้พบเจอ เขามีดวงตาสีฟ้าสว่างที่อ่อนโยน...แต่แฝงความอันตรายไว้ในเวลาเดียวกัน ปีศาจร้ายทั้งสองย่อตัวลงและเฝ้ามองผมที่กำลังจะตายในไม่ช้า
"ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องมาเจอกับอะไร เสียเมีย...เสียลูกสาวที่รักไป มันทำให้เจ้าอยากตามพวกเขาไปสินะ"
"...ฆ่าผม...ขอร้องล่ะ"
"เจ้าอยากจะแข็งแกร่ง รวดเร็วอย่างที่พวกเราเป็นรึเปล่า?" หนุ่มผมดำกัดข้อมือตัวเองในขณะที่อีกคนกำลังพูดกล่อมหัวผม "ร่างกายและวิญญาณของเจ้าจะกลายเป็นของข้า ข้าจะเป็นทั้งพ่อ ผู้ให้ความรู้ และสหายของเจ้า เดินผ่านโลกอันเป็นนิรันดร์ไปกับพวกข้า"
ข้อเสนอที่ผมไม่อาจยอมรับได้ถูกตอบรับในทันทีโดยที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลง ชายผมบลอนด์ที่กล่าวจบกัดที่ต้นคอของผมอีกครั้งโดยมีอีกคนป้อนเลือดเข้าปากผม ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลง...ผมหวังว่าจะได้ไปเจอลูกสาวตัวน้อยและเธออีกครั้ง
นาตาเลีย...
"ตื่นสิจอห์น"
เสียงของเธอปลุกผมจากความฝัน ผมตื่นขึ้นในโลงไม้เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวเลือดและบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ผมอยู่ในร้านขายเลือดของพวกขี้ยาในถนนสายแปด มักจะมาที่นี่ทุกครั้งเมื่ออยากที่จะหลีกหนีจากบางอย่าง แค่นอนและรับเลือดเพียงสิบห้านาที ผมไม่เคยเมาเพราะยามาก่อนที่จะกลายเป็นแวมไพร์เช่นนี้ แต่บอกได้เลยจากการที่รับเลือดคนพวกนี้มาคือมันเป็นอะไรที่วิเศษ นาเลีย ชอนเดอรา แวมไพร์ผิวสีที่งดงามที่สุดต้องคอยเตือนผมตลอดว่าอย่า 'ดื่ม' เลือดคนพวกนี้เข้าไปเด็ดขาด
"นาตาเลีย.."
ผมหัวเราะขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนั้น นาเลียที่อยู่หน้าร้านถึงกับต้องเดินมาดูผมที่เมาอยู่ก่อนจะเดินกลับไป เธอไม่เคยสนหรอก ผมก็ไม่สนเหมือนกันที่ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ ช่วงเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง...ภาพหลอนของหญิงที่รักของผม
'โจนาธาน'
"เฮ้...ที่รัก"
ดวงตาสีเขียวอมฟ้าคู่งามที่กลมโตพร้อมรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของเธอ หญิงสาวผู้เป็นรักแรกของผม ผมรับรู้ว่าทุกอย่างคือภาพหลอนที่เกิดจากเลือดของขี้ยาพวกนั้น แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ผมเคยคิดที่จะเอาหมุดปักเข้าหัวใจตัวเองอยู่เหมือนกันตอนที่เรื่องมันแย่ลง แต่ผมไม่อยากลืมเธอ...ถ้านรกและสวรรค์เป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาล่ะ? ถ้าเกิดการตายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางอย่าง ผมเลยเลือกที่จะมีชีวิตเช่นนี้ต่อ รักและถูกพรากจากไปครั้งแล้วครั้งเล่า
"สภาพนายนี่ดูไม่จืดจริงๆ"
ผมมองหญิงสาวที่แต่งตัวด้วยชุดหนังสีดำแบบสตรีนิยมกำลังใช้เข็มฉีดบางอย่างเข้าสู่ร่างกายของผม วิกเตอเรีย ธานาทอส เธอไม่ชอบให้ถูกเรียกด้วยสรรพนามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าตัวประหลาด ที่จริงเราก็ไม่ต่างจากคำนั้นมากหรอก ผมรู้ว่าเธอเป็นคนที่แอบลักพาตัวอแลสซ่าไป มันทำให้ผมโกรธที่ปกป้องเธอไม่ได้ และผมคงทำให้แม่สาวคนนั้นผิดหวัง ภาพหลอนของภรรยาสาวอันเป็นที่รักหายไปอีกครั้ง
"มาทำบ้าอะไรที่นี่?" ผมพยายามลุกขึ้น สุดท้ายก็ล้มก้นจ้ำพื้น "ฉันเกลียดหน้าเธอ...ทำไมถึงตามตื้อจังห๊ะ"
"ฉันก็ไม่ได้อยากมาเห็นสภาพขี้ยาของนายเหมือนกัน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย"
"ไม่คุย"
วิกเตอเรียรับร่างผมที่กำลังจะล้มหน้าทิ่มลงพื้นและพยุงตัวผมผ่านแวมไพร์สาวนาเลียออกไปจากร้าน อาการของภาพหลอนนั้นหายไปแล้ว แต่ผมยังคงอ่อนแรงเกินกว่าจะพยุงตัวเองไว้ได้จนในที่สุดก็ถูกลากเข้ามาในรถสีดำคันหรูของเธอ "ตามหาฉันเจอได้ไง"
"ถามอีเลียตแล้ว บอกว่านายชอบมาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้" เธอถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่เก็บเข้ากระเป๋า "ฉันอยากคุยกับนายเรื่องสาวน้อยคนนั้น"
"คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง แวมไพร์...วีเดล่า กับมนุษย์ตัวน้อยคนเดียว ปล่อยให้โลกนี้มันเน่าเฟะไปซะสิ"
"นายไม่เชื่อสิ่งที่ฉันเคยบอกนายใช่มั้ย? เรื่องที่เราหาทางกลับไปเป็นมนุษย์?"
ผมส่ายหน้า ทั้งที่เอาตรงๆ ก็เคยหวังเหมือนกันว่ามันจะมีทางรักษา แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า...ความหวังนั้นก็ริบหรี่ลงจนกลายเป็นความสิ้นหวังอย่างที่พวกเรากำลังเจออยู่ทุกวัน ผมทำงานให้กับเธอเมื่อหลายปีก่อนจะออกมาอยู่กับผู้สร้างของผมที่บาร์แห่งเดิม เป็นไปไม่ได้ที่จะรอให้นรกเย็นลงหรอก เราคือคำสาปของพระเจ้า ลูซิเฟอร์ หรืออะไรก็ตามที่ฟังดูงี่เง่ามากกว่านั้น และเราก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกว่าโลกนี้จะพินาศลง
"บางทีเลือดของเธออาจจะช่วยเราได้ โจนาธานคนเดิมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง คนที่ฉันรู้จักหนีไปไหนกัน" วิกเตอเรียจงใจโน้มน้าวผมโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน "นายไม่อยากรู้สึกเหมือนมนุษย์อีกครั้งหรอ?"
อยากสิ...ทั้งกลิ่นอาหาร ความกระหายเลือดที่อยากจะทำให้มันหายไป ผมอยากกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้งและได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น ชีวิตที่ไม่ใช่การเอาตัวรอด ผมอยากสัมผัสไออุ่นจากแสงแดดและสายลมบนพื้นทราย อยากสัมผัสว่าชีวิตที่ผู้คนเขามีนั้นมีรสชาติเป็นเช่นไร
"ฉันยอมไปก็ได้ แต่เธอต้องบอกมาว่าพวกวีเดล่ามันออกมาอาละวาดได้ยังไง"
"ไม่ใช่ตอนนี้โจนาธาน ไม่ใช่ตอนนี้"
รถเคลื่อนตัวออกจากร้าน ณ ถนนสายแปดอย่างเงียบเชียบเพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งที่ตั้งของพวก นิวโฮป พวกที่ยังคงเชื่อว่าสักวันแวมไพร์ทั้งหลายจะกลับมาใช้ชีวิตเช่นมนุษย์ได้ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมตัดออกจากเป้าหมายชีวิตมาได้หลายปีแล้ว วิกเตอเรียรู้เรื่องนั้นดี แต่ทำไมวันนี้ถึงอยากจะดึงผมกลับเข้าไป? มีแค่เธอคนเดียวที่มีเหตุผลมาตอบได้
เมื่อเข้าสู่สภาวะเมาจากเลือดเช่นนี้ เวลาที่ผ่านไปทุกนาทีนั้นจะยาวนานจนเหมือนผ่านไปทั้งคืน หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเพราะยาที่วิกเตอเรียฉีดให้จนสามารถเดินออกมาโดยไม่เอาหน้าคะมำลงพื้นไปซะก่อน ทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิมเราสองคนเดินมาถึงห้องทำงานของวิกเตอเรีย ห้องที่ผมเคยมารับงานหาของที่ใช้ผสมยาและ...ทำอย่างอื่น
"จะบอกได้รึยังว่าพามาคุยเรื่องอะไร"
"นายก็รู้นี่ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ไหนจะเรื่องที่พวกแวมไพร์หายไปในเมือง มันฟังดูผิดปกติสำหรับนายรึเปล่า?"
"เธอรู้เรื่องที่วีเดล่าออกมาอาละวาดใช่มั้ย?"
เธอไม่ตอบและยื่นแก้วมาตินี่ผสมเลือดให้ "ดื่มสิ" วิกเตอเรียที่ถือแก้วอยู่จิบมาร์ตินี่และเดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ อืม...รสชาติดีเลยทีเดียว ดีกว่าที่บาร์ของอีเลียตซะด้วย "สูตรพิเศษน่ะ เฉพาะสำหรับนายเลยนะ"
"หมายความว่าไงที่ว่าเฉพาะสำหรับฉัน--"
ผมมองแก้วมาตินี่ที่ตัวเองถือไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลง เลือดในร่างกายผมมันร้อนจนแทบเดือดเป็นแก๊สหลังจากดื่มของที่วิกเตอเรียให้มา เลือดของพวกหมาป่า...ผมเคยดื่มมันเข้าไปและทำให้นึกถึงความรู้สึกอันแสนทรมานนั้นขึ้นมาในความทรงจำ ภาพของเลือดที่ไหลออกมาทางทุกส่วนของร่างกาย และตัวของผมที่เหมือนจะหลอมละลายลง
สีหน้าเรียบเฉยของวิกเตอเรียนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่า ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงวางยาผม ไม่นานเกินรอชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา กลิ่นมนุษย์...พวกนักล่า คนพวกนี้จะมีกลิ่นที่พิเศษกว่าคนทั่วไปเพราะการฆ่าแวมไพร์เป็นกิจวัตรประจำวัน เหมือนสัตว์ที่รับรู้ได้ว่ามีผู้ล่าซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อาหารที่สูงกว่ากำลังจ้องมองอยู่ และตอนนี้ผมก็กลายเป็นเหยื่อของเขา
หวังว่าผู้สร้างกำลังได้ยินเสียงกรีดร้องของผมอยู่ในตอนนี้...
[To Be Continued...]